บอล พิมพ์ว่า:
seven พิมพ์ว่า:
ผมว่าเลิกซะเถอะการแลกคู่นะ. มันอาจจะดูวินวิน.
แต่ผมว่ามันคือจุดเริ่มต้นของหายนะเลยนะ.
จขมไปมีอะไรกับหญิงอื่น. แฟนจขมไปมีอะไรกับชายอื่น.
ถ้าตอนคบกันใหม่แล้วแฟนจขมอยากมีอะไรกับคนอื่น จขมโอเคจริงๆ หรอ เรื่องตอนนี้ก็ไม่ต่างกันเลย. เห็นใครก็ไม่รู้มาเซ็กส์กับเมียตัวเอง. มีความสุขจริงๆ หรอ. ตัดเรื่องได้มีเซ็กส์กับหญิงอืนไปก่อน
ปล. ผมแนะนำสิ่งที่จขมควรทำคือเลิกพฤติกรรมนี้ซะ. แล้วพาภรรยาไปเปลี่ยนบรรยากาศทำเหมือนตอนจีบกันใหม่ๆ
ขอบคุณครับ ผมจะลองเอาไปทบทวนดูนะครับ
ผมเห็นต่าง ผมว่าเรื่องของท่านกับแฟนท่าน 2 คน ถ้าทำแล้วมีความสุขไม่เดือดร้อนใครก็จบ ระวังอย่าให้ลูกรู้ก็พอ หรือต่อให้บังเอิญลูกรู้ก็ต้องทำความเข้าใจกัน พ่อแม่ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตลูกฉันใด ลูกก็ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตพ่อแม่ฉันนั้น
ที่ต้องระวังคือเรื่องโรคติดต่อ ซึ่งไม่ได้มีแค่ HIV โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีหลายโรคที่สามารถติดผ่านการทำ oral sex ถ้าจะให้ดีก็ควรไปตรวจโรคของทั้ง 2 ฝ่าย แล้วเอาใบตรวจมายืนยันเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
ในฐานะที่เป็นคนศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์การเมือง สิ่งหนึ่งที่ผมบอกท่านได้คือ ความ "ปกติ" ของมนุษย์นั้นเป็นพลวัฒน์คือเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลาในแต่ละยุคสมัย โดยแปรเปลี่ยนตามปัจจัยทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม โดยที่แทบไม่ได้คำนึงถึงความ "ปกติ" ทางชีววิทยาเลยด้วยซ้ำ
การ romanticism เรื่องผัวเดียว-เมียเดียว มีรากฐานมาจากความเชื่อทางศาสนาคริสต์ เข้ามาในไทยราวๆ ช่วง 2460-2480 พระราชบัญญัติผัวเดียว-เมียเดียวออกมาตอน 2473 และพิธีแต่งงานแบบไทยก็เพิ่งจะเริ่มมีขึ้นหลัง 2475 ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตก
ผมคงไม่ต้องอธิบายนะครับว่าเมื่อก่อนสังคมไทยก่อนยุคล่าอาณานิคมอยู่ในลักษณะปิตาธิปไตย คือผู้ชายมีเมียหลายคน ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ