**คำเตือน gif เยอะ (มากๆ)
--เกริ่น--
ผมว่านี่จะเป็นกระทู้ที่ทำให้เราเข้าใจตรงกันว่า แมนยูยุคเซอร์มีการเล่นแบบไหน แผนอะไร
และบางทีอาจจะตอบคำถามยอดฮิตของแฟนบอลยุค2020นี้ได้ด้วยว่า "แมนยูยุคเซอร์ มีทรงหรือไม่มีทรง"?
หมายเหตุ** ไม่ใช่กระทู้รายงานผล แต่จะออกแนวๆวิเคราะห์แผนการเล่น
ดังนั้น บางจังหวะที่คนเขียนยกมาอธิบาย อาจจะไม่ใช่จังหวะสำคัญภายในเกม
---เริ่ม---
หลังจากเดินทางกลับจากกรุงโรม ในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ แชมป์เปี้ยนลีก ปี2008
สามวันต่อมา พวกเขามีคิวไปเยือนสนามริเวอร์ไซด์ สเตเดี่ยม
เพื่อพบกับมิดเดิ้ลสโบรซ์ ทีมอันดับ13ของตาราง
ก่อนเกมที่ทั้งคู่จะลงเตะ แมนยูมีคะแนนนำเป็นจ่าฝูง
โดยถ้าหากพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะในเกมนี้ได้
แมนยูจะมีคะแนนทิ้งห่างเชลซีออกไปเป็น5คะแนน
วันนี้แมนยู มาในชุดทีมเยือนสีดำ กางเกงขาว
เริ่มกันที่รายชื่อของผู้เล่นทั้งสองทีม
จากกราฟฟิกแมนยูมาในระบบ 4-4-2
ในแดนกลางเป็นการจับคู่ ของพอล สโคลล์ และคาร์ริค
ส่วนโอเว่น ฮาร์กรีฟ และแอนเดอร์สัน ที่ได้รับโอกาสในเกมเจอโรม่า
นัดนี้พวกเขามีชื่อเป็นเพียงตัวสำรอง
เกมนี้แมนยูไม่มีชื่อปราการหลังคนสำคัญ อย่าง เนมันยา วิดิช
โดยคนที่รับหน้าที่แทน คือ จอห์น โอเชีย!!!
ลงจับคู่กับริโอ เฟอร์ดินาน
ที่น่าสังเกต คือ เซอร์เลือกที่จะเอากองหลังอาชีพอย่างเวสบราวน์
ขยับไปเล่นเป็นฟูลแบ็คแทนที่จะให้เล่นตรงกลางแทนโอเชีย
Kickoff
เริ่มเกม
1st Minute:
ทันทีที่เริ่มเกม เดอะ โบโร่ ส่งบอลกลับไปให้ผู้รักษาประตูประตู
โดยมีคารอซ เตเบซ วิ่งกดดัน
2nd Minute:
Whoa! เหมือนจะเห็นการยืนตำแหน่งแปลกๆ
ไรอัน กิ๊ก ขยับไปเล่นตรงกลางเป็นมิดฟิล์ด3ตัว!?
หรือมันอาจจะเป็นแค่บางจังหวะในเกมเฉยๆ
เพราะบ่อยครั้งแมนยูก็มักให้นักเตะเคลื่อนที่กันอย่างอิสระ
เดี๋ยวลองดูไปเรื่อยๆ น่าจะเริ่มชัด
จังหวะต่อมา ในระหว่างที่แมนยูทำเกมรุก ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญซะแล้ว
ไรอัน กิ๊ก ขยับเข้ามาเล่นตรงกลาง สวมบทผู้เล่นหมายเลข10
โดยให้รูนนีย์ขยับ ไปเล่นริมเส้นฝั่งซ้าย
หากดูจากลักษณะการยืน
(จะว่าไปแล้ว มันดูคล้ายแผน 4-2-3-1 ของแมนยูยุคนี้มากๆ)
9th Minute:
เริ่มเกมมาไม่ถึง10นาที แมนยูเป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อน
จากจังหวะเตะมุมฝั่งขวา ไรอัน กิ๊ก เปิดบอลข้ามมาเสาไกล
คาร์ริค เก็บบอลได้ ก่อนแต่งบอลหลบกองหลังหนึ่งจังหวะ
แล้วผ่านเรียดให้โรนัลโด้ซัดจ่อๆเข้าไป แมนยูนำเจ้าบ้านไปก่อน 1-0
11th Minute:
จากประตูขึ้นนำ ทำให้พวกเขาปรับไปใช้แผน 4-5-1 หรือ 4-4-1-1 ในทันที
ลักษณะการยืน เน้นยืนแบบnarrowหรือแคบๆ อัดแน่นกันตรงกลาง (ไม่เน้นพื้นที่ด้านข้าง)
จังหวะข้างล่างนี้ แมนยูเริ่มถอยไปตั้งรับในแดนตัวเอง
จากนั้นเมื่อพวกเขาสามารตัดบอลมาได้ พวกเขาก็จะสวนกลับเร็วทันที
(ป๊าด!! ดูสโคลล์เข้าบอล

)
โดยจังหวะนี้ จะเห็นการประสานงานของกลางสามตัว
สโคล์ตัดบอล ,ไรอัน กิ๊กเก็บจังหวะสอง แล้วคาร์ริคแทงบอลขึ้นหน้าให้เตเบซ
13th Minute:
จังหวะนี้ เดอะ โบโร่สามารถเจาะเข้าพื้นที่สุดท้ายได้สำเร็จ
ปัญหาในเกมรับของแมนยูเริ่มมีให้เห็น
จังหวะ3v3ทางขวา ไรอัน กิ๊ก , สโคลล์ ลงมาช่วยเอฟร่าปิดเกมริมเส้น
ทุกคนต่างมองที่บอล แต่ไม่มีใครระวังฟูลแบ็คคู่แข่งที่วิ่งเติมเกมขึ้นมา
โชคดีที่จังหวะสุดท้ายไรอัน กิ๊กเข้ามาบล็อคได้ทัน
15th Minute:
ระหว่างเกม กล้องจับภาพไปที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต
ผู้บรรยากาศภาษาอังกฤษ เริ่มพูดถึงเขาว่า
"เขา(เซาธ์เกต)เตรียมแผนมาค่อนข้างดีทีเดียว
แม้ว่าทีมของเขาอาจจะอยู่กลางๆตาราง แต่เขาน่าจะสัมผัสได้ว่า
พวกเขาเป็นทีมที่ดีกว่าซีซั่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด"
22nd Minute:
จังหวะนี้ เป็นเหมือนภาพจำลองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับแมนยูชุดปัจจุบัน
เมื่อไหร่ที่แมนยูฉวยโอกาสจากจังหวะสวนกลับไม่ได้
พวกเขามักจะเจอปัญหาในการเจาะเกมรับของเดอะ โบโร่ที่ลงไปตั้งรับกันหมด
22nd Minute:
การยืนตำแหน่งเกมรับของแมนยู วันนี้ย่ำแย่มาก
ใครที่ดูเกมนี้อยู่ในวันนั้น คงอยากจะเข้าไปจิกหัวของพวกเขา
จังหวะนี้ คนที่น่าโดนตำหนิสุด คือ พอล สโคลล์
ผู้เล่นโบโร่ด้านขวามีคาร์ริค ยืนปิดให้อยู่แล้ว
แต่สโคลล์ดันขึ้นขยับไปช่วย ปล่อยให้คู่แข่งทางซ้ายมือของเขายืนไร้ตัวประกบ
เดือดร้อนถึงโอเชียต้องออกจากตำแหน่งขึ้นมาบีบ ทำให้มีพื้นที่ด้านหลังเขา
โชคดีที่ฟาน เดอร์ ซาร์อ่านจังหวะนี้ออก เข้ามาปิดได้ทัน
ทำให้รอดจากการเสียประตู
27th Minute:
จอห์น โอเชีย เปิดบอลขึ้นหน้าไม่แม่น
แถมสกัดสะเปะสะปะมาก
อีกจังหวะนึง แสดงให้เห็นปัญหาของเกมรับแมนยูที่สกัดไม่ขาด
เริ่มจากจอห์น โอเชีย ต่อด้วยเอฟร่า
เดือดร้อนไปถึงฟาน เดอร์ ซาร์ต้องออกแรงโชว์ซุปเปอร์เซฟ
28th Minute:
ปัญหาอย่างนึงของเกมนี้ คือ เกมสวนกลับของพวกเขาไม่มีประสิทธิภาพ
พวกเขาปล่อยให้เดอะ โบโร่ ได้มีเวลาในการถอยไปตั้งเกมรับ
29th Minute:
คำพูดนึงของเซอร์อล็ก เฟอร์กูสัน คือ หากคุณต้องการที่จะเล่นเกมcounter attack
คุณต้องเริ่มจากการผ่านบอลแรกให้ดีที่สุดให้ได้ก่อน
ตัวอย่างเช่น จังหวะนี้
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมกองหลังสมัยใหม่ คนที่เล่นกับบอลได้ดี
จึงมีมูลค่าและเป็นที่ต้องการ
จังหวะนี้ ริโอ เฟอร์ดินาน ไม่เคลียร์บอลสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่เขาพักบอลให้เพื่อนนิ่มๆ เพื่อให้คาร์ริคสามารถเล่นต่อได้เลย
คาร์ริคจึงสามารถจ่ายตัดระหว่างไลน์ได้จากการผ่านบอลแค่ครั้งเดียว
29th Minute:
พระเจ้าช่วย! ดูจังหวะนี้ซะก่อนสิ คริสเตียโน่
โรนัลโด้เลี้ยงแหวกผู้เล่นสี่คน ก่อนเข้าไปยิงหลุดกรอบ
เรียกเสียงฮือฮากันทั้งสนาม
34th Minute:
แมนยูหลังหลวมเว่อร์! เดอะ โบโร่ ตีเสมอได้สำเร็จ
จากจังหวะที่ไม่น่ามีอะไร เดอะ โบโร่ ตัดบอลได้
โอนีลสาดบอลยาวขึ้นหน้าข้ามหัวจอห์น โอเชีย
เลยไปถึงอาลิยาดิแอร์ สกิดบอลไปให้อะฟอนโซ่ อัลเวส ที่วิ่งเติมมาจากข้างหลัง
หลุดไปยิงผ่านตัวฟาน เดอร์ ซาร์ เข้าไป เดอะ โบโร่ ตามตีเสมอได้สำเร็จ
44th Minute:
จังหวะนี้ให้ดูการรับผิดชอบกันเป็นทีม
คาร์ริค เติมขึ้นไปรับบอลข้างหน้า ทำให้เกมตรงกลางเหลือเพียงสโคลล์
แต่เป็นเดอะ โบโร่ที่เก็บบอลได้ และกำลังจะสวนกลับ
ทำให้เตเบซ ต้องรับผิดชอบในการตัดบอลแทนคาร์ริคที่เสียตำแหน่งไปแล้ว
อีกตัวอย่างหนึ่ง
เตเบซวิ่งจากเส้นกลางสนามเพื่อมามาสกัดคู่แข่ง
จากนั้นก็มีรูนนีย์ที่วิ่งจากแดนคู่แข่งลงมาช่วยเก็บจังหวะที่สอง
'รับทั้งทีม รุกทั้งทีม' มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดเวลาครึ่งแรก ทั้งคู่เสมอกันที่ 1-1
********************************************************
********************************************************
Half Time
เริ่มเกมครึ่งหลัง เซอร์อเล็ก เฟอร์กูซัน มีการปรับเกมรับ
ด้วยการขยับเอาเวสบราวน์ไปเล่นเซ็นเตอร์แบ็ค
แล้วเอาโอเชียมาเล่นเป็นฟูลแบ็คทางขวาแทน
50th Minute:
จังหวะนี้ริโอ เฟอร์ดินาน โชว์คลาสของกองหลังระดับโลก
เขากล้าครองบอล กล้าเล่นกับบอล
เมื่อเขาเอาตัวรอดมาจากพื้นที่แคบๆมาได้
เขาสามารถผ่านบอลขึ้นหน้า
ทำให้แมนยูสามารถเปลี่ยนจากเกมรับเป็นเกมรุกได้ในทันที
นักเตะแบบModern defender คือคุณสมบัติของกองหลังที่เซอร์อต้องการ
ดังนั้น หากกรณีที่เฟอร์ดินาน ลงเล่นไม่ได้
จึงเป็นเหตุให้เซอร์เลือกที่จะใช้ไมเคิล คาร์ริคไปยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คแทน
เซอร์เคยให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจส่งคาร์ริคลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คเอาไว้ว่า
"Michael Carrick was absolutely brilliant with his passing the ball and his interceptions."
"ไมเคิล คาร์ริค มีการผ่านบอลที่ยอดเยี่ยม และสามารถตัดบอลได้ดี"
52nd Minute:
กลับมาที่เกมของเรา แมนยูยังเสมอกับเดอะ โบโร่ 1-1
การย้อนดูเกมเก่าๆมันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน
เพราะคุณจะได้เห็นจังหวะที่น่าทึ่งของแมนยูชุดนี้ในทุกๆนาที
จังหวะนี้แมนยูโชว์จังหวะการสวนกลับอย่างรวดเร็ว
เริ่มจากการขว้างบอลยาวของฟาน เดอร์ ซาร์
ไปให้โรนัลโด้รับบอลแล้วกระชากยาวจากครึ่งสนาม
ก่อนจะแทงทะลุช่องให้รูนนีย์ได้ตวัดบอลเข้ามาตรงกลาง
น่าเสียดายที่บอลมันย้อนหลังเตเบซไปซะแล้ว
แม้จะจบสกอร์ไม่ได้ แต่ก็แสดงให้เห็นเกมสวนกลับที่ยอดเยี่ยมของแมนยู
โดยพวกเขาใช้เพียง2-3จังหวะเท่านั้น ในการพาบอลเข้าสู่เขตโทษ
54nd Minute:
รูนนีย์โชว์ความมุ่งมั่นทุ่มเท
วิ่งสปริ้นท์ตามไปเล่นบอลจังหวะที่คู่แข่งส่งบอลคืนหลังไปให้ผู้รักษาประตู
แต่มาร์ค ชวาร์เซอร์ คว้าบอลไว้ได้ก่อน แรงเฉี่อยทำให้รูนนีย์เข้าปะทะกับผู้รักษาประตู จนได้รับใบเหลืองไป
56th Minute:
อ่าวเห้ย! แมนยูโดนยิงแซงเฉย
กองหลังแมนยูยังแจกโชคต่อเนื่อง
เริ่มจากเฟอร์ดินาน ขึ้นโหม่งจังหวะแรกบอล
ไปเข้าทางผู้เล่นมิดเดิ้ลสโบรซ์เตะโด่งกลับไปข้างหน้า
เวสบราวน์ ขึ้นโหม่งแพ้ ทำให้บอลไปเข้าทางอัลเวส หลุดเข้าไปยิง
สถานการณ์เริ่มลำบาก แมนยูกลับเป็นฝ่ายตามหลัง 2-1
59th Minute:
เดอะ โบโร่ เล่นเหมือนบอลได้ใจ
ยังโหมบุกเข้าใส่ต่อเนื่องจนเกือบได้ประตูหนีห่าง จากจังหวะนี้
มาจากการพยายามเล่นบอลเร็ว แต่รูนนีย์พลาดท่าเสียบอลกลางสนาม
เอฟร่าหลุดตำแหน่ง ทำให้เวสบราวน์ต้องขยับไปปิดริมเส้น
ทำให้ตรงกลางเหลือแค่เฟอร์ดินานคนเดียว
บอลลอยผ่านมาถึงผู้เล่นของมิดเดิ้ลสโบรซ์โหม่งย้อนไปให้เพื่อนที่เติมขึ้นมา
โชคดีที่ริโอ เฟอร์ดินานกระโดดกลับตัวสกัดเอาไว้ได้ทัน
คนเดียวแบกกองหลังทั้งแผงจริงๆ
60th Minute:
ผู้บรรยายภาษาอังกฤษเริ่มพูดกันว่า เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันจะจัดการกับเกมรับที่ปวกเปียกนี้ได้อย่างไร
63rd Minute:
แมนยูตัดสินใจเปลี่ยนตัวคนแรก ด้วยการถอดคาร์ลอส เตเบซออก
แล้วส่งปาร์ค จีซอง ลงไปแทน
เป็นการเปลี่ยนตัวที่น่าสนใจ
ดูเหมือนแมนยูจะเปลี่ยนไปเล่นเป็น 4-4-2 ที่ตัวเองถนัด
โดยการขยับเอารูนนีย์เข้ามาเล่นตรงกลางมากขึ้น จับคู่กับโรนัลโด้
ปาร์ค ขยับไปเล่นฝั่งขวา แล้วขยับไรอัน กิ๊กไปเล่นตำแหน่งปีกซ้ายธรรมชาติ
65th Minute:
ถัดจากนั้น2นาที แมนยูขยับเปลี่ยนตัวที่2ทันที
ด้วยการถอดกองหลังอย่างจอห์น โอเชีย ออกแล้วส่งโอเว่น ฮาร์กรีฟลงไปแทน
69th Minute:
ภายในไม่กี่นาที แมนยูต้องใช้โควต้าเปลี่ยนตัวจนครบ
เนื่องจากริโอ เฟอร์ดินานมีอาการบาดเจ็บ
ทำให้ต้องส่งกองหลังดาวรุ่งอย่าง เคราร์ด ปิเก้ ลงมาแทน
73rd Minute:
แมนยูตามตีเสมอได้สำเร็จ!!!
การปรับมาเล่นเกมรุกมากขึ้นของเซอร์อเล็กได้ผลทันทีในนาทีที่73
คาริค แทงบอลให้ปาร์ค วิ่งควบไปเอาบอล ก่อนจะแตะหลบหนีกองหลังมิดเดิ้ลสโบรซ์มาได้
แล้วบรรจงผ่านบอลให้รูนนีย์ซัดจ่อๆไม่เหลือ แมนยูตีเสมอได้สำเร็จ 2-2 เหลือเวลาอีกไม่ถึง20นาที
การขาดคนที่มีวิชั่นในการผ่านบอลแบบคาร์ริค
คือสิ่งที่แมนยูชุดปัจจุบันขาดไปในฤดูกาล2020นี้
ตัวที่ทำได้ ก็ดันเจ็บไปซะยาว
77th Minute:
แกเร็ธ เซาธ์เกต ต้องขยับแก้เกมบ้าง
โดยเขาถอดเอากองหน้าอย่างอะฟอนโซ่ อัลเวส คนทำสองประตูให้กับทีมออกไปพัก
แล้วส่งมิดฟิล์ดลงไปแทน ตอนนี้เดอะ โบโร่ มีกองกลางทั้งหมด5ตัวอยู่ในสนาม
เป็นอย่างที่เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันเขียนเอาไว้ในหนังสือ
ถึงเหตุผลที่ทำให้ทีมเขาสามารถยิงได้ในช่วงท้ายเกมได้บ่อยๆ
นั่นก็เพราะคู่แข่งมักถอดเกมรุกออก ทำให้เซอร์สามารถเพิ่มผู้เล่นเกมรุกได้โดยไม่ต้องห่วงเกมรับ
85th Minute:
สกอร์2-2 เหลือเวลาไม่ถึง5นาทีก่อนทดเวลา
จังหวะนี้ โรนัลโด้ กระชากหนีผู้เล่นมิดเดิ้ลสโบรซ์ทีเดียวสองคน
ก่อนจะถูกสกัดล้มลงบริเวณกรอบเขตโทษ สุดท้ายผู้ตัดสินให้เป็นแค่ลูกฟรีคิกนอกกรอบ
สังเกตจังหวะนี้ เซอร์สังให้ผู้เล่นแมนยูทุกคนดันขึ้นสูง
รวมถึงโอเว่น ฮาร์กรีฟที่เล่นตำแหน่งฟูลแบ็คฝั่งขวาก็เข้าไปลุ้นบริเวณกรอบเขตโทษด้วย
Full Time
สุดท้าย จบเกมด้วยสกอร์ 2-2 แมนยูเก็บได้เพียงหนึ่งคะแนน
แต่ยังนำเป็นจ่าฝูง โดยทิ้งเชลซีเป็น3คะแนน โดยที่เหลือเกมให้เล่นอีก5เกมเท่านั้น
ที่มา (แปลจาก) :
https://thebusbybabe.sbnation.com/2020/4/17/21223933/retro-diary-middlesbrough-vs-manchester-united-premier-league-2008