ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออนไลน์
roo
นักเตะหมู่บ้าน
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 28 Apr 2009
ตอบ: 258
ที่อยู่: On the Pitch - ออน เดอะ พิช
โพสเมื่อ: Mon Apr 13, 2020 09:52
[เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)
ขอบคุณสำหรับกำลังใจใน Part แรกนะครับ ... วันนี้มาต่อกันที่ Part จบ ...

ถ้าชอบสามารถติดตามกันได้ครับ .... ช่องทางติดตามอยู่ด้านล่างนะครับ

Part (Part 1/2) >>> http://www.soccersuck.com/boards/topic/1872283 สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านพาทแรก

------------------------

15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)



12 กุมภาพันธ์ 2004 การไล่ซื้อหุ้นของครอบครัวเกลเซอร์ยังคงดำเนินต่อไป พวกเขาเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 16.31%

24 มิถุนายน ปีเดียวกัน พวกเขาซื้อหุ้นเพิ่มอีก 2.41 ล้านหุ้น รวมมีหุ้นทั้งหมด 50.27 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 19.2%

สำหรับการเจรจาซื้อขายหุ้นครั้งต่อไป พวกเขาและทีมที่ปรึกษาทางการเงินจากเจ.พี.มอร์แกน (J.P. Morgan) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินรายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องการเจรจาซื้อหุ้นของแม็กเนียร์และแม็กมานัสทั้งหมด เพื่อกำจัดคู่แข่งคนสำคัญและขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว หากพวกเขาทำได้ก็จะไม่มีใครสามารถมาขวางทางพวกเขาได้อีก

ถึงตรงนี้ผมขออธิบายเพิ่มเติมสักนิดนึงนะครับ การซื้อขายหุ้นโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 วิธี คือ

1. ซื้อขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ของประเทศนั้น ๆ นักลงทุนแต่ละคนไม่ต้องรู้จักกัน แค่ส่งคำสั่งซื้อขายเข้าไปในระบบ ราคาซื้อขายจะเป็นไปตามราคาตลาด แล้วระบบจะจัดการซื้อขาย โอนเงินกันให้เสร็จสรรพ ส่วนมากจะใช้ซื้อขายสำหรับดีลที่ไม่ใหญ่นัก

2. ซื้อขายผ่านการเจรจาโดยตรงกับผู้ถือหุ้นคนนั้น ราคาและปริมาณซื้อขายจะขึ้นกับการตกลงของทั้งสองฝ่าย โดยทั่วไปราคาเสนอซื้อจะสูงกว่าราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ มักจะใช้สำหรับการซื้อขายในดีลใหญ่ ๆ ในกรณีนี้ครอบครัวเกลเซอร์ เริ่มจากการซื้อหุ้นผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ จากนักลงทุนรายย่อย จากนั้นค่อยเข้าเจรจากับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ... ไปต่อครับ

หลังการวางแผนมานานร่วมเดือน การเจรจาเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2004 มัลคอล์ม พร้อมลูกชาย 2 คน โจล และอัฟราม เกลเซอร์ (ถือหุ้น 19.2%) เข้าร่วมโต๊ะเจรจากับสองเศรษฐีชาวไอริช (ถือหุ้น 28.7%) ดูเหมือนฝั่งชาวไอริชจะถือไพ่เหนือกว่าจากสัดส่วนการถือหุ้นที่มากกว่า เหมือนชกมวยคนละรุ่น

พ่อลูกเกลเซอร์ไม่รอช้ายื่นข้อเสนอขอซื้อหุ้นผีแดงที่ราคา 3 ปอนด์ต่อหุ้น มูลค่ารวมประมาณ 230 ล้านปอนด์ และชี้แจงว่าเงินที่นำมาซื้อสโมสรมาจากการกู้เงินเป็นหลัก

ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี พร้อมน้ำเสียงที่หนักแน่นของสองดูโอ้ไอริช ที่ว่า “การลงทุนในแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของพวกเราสองคน เป็นการลงทุนระยะยาว”

การเจรจาดำเนินไปอย่างตึงเครียด ยาวนานกว่า 11 ชั่วโมง ไม่มีฝ่ายไหนยอมลดราวาศอกกัน อีกทั้งบอร์ดบริหารของสโมสรยังแสดงความกังวลว่าเงินกู้ดังกล่าวจะสร้างภาระทางการเงินให้แก่ทีมในอนาคต ในวันนั้นการเจรจาก็สิ้นสุดลงพร้อมความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

--------------------

จากความล้มเหลวในการเจรจา พ่อลูกเกลเซอร์โกรธและเสียหน้ามาก พวกเขาต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงโมเมนตัมกลับมา

ในเช้าวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2004 มีรายงานว่าเงินสดมูลค่า 17 ล้านปอนด์ ถูกจ่ายเพื่อชำระค่าหุ้นของทีมผีแดง ส่งผลให้ครอบครัวเกลเซอร์ ถือหุ้นของทีม 28.11% ใกล้เคียงกับคู่หูชาวไอริชและเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้อีกฝ่ายว่าตอนนี้พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาชกในรุ่นเดียวกันแล้ว

การซื้อขายครั้งนี้ถูกเปิดเผยโดย เจ.พี.มอร์แกน บริษัทที่ปรึกษาของเกลเซอร์เอง ซึ่งหนึ่งในทีมที่ปรึกษาในการเจรจาซื้อขายนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เอ็ด วู๊ดเวิร์ด (Ed Woodward) ที่ในอนาคตจะกลายร่างมาเป็น CEO ของปีศาจแดงแห่งรั้วโอลด์แทรฟฟอร์ด

อย่างไรก็ตามกฏการซื้อขายหลักทรัพย์ของ LSE กำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเกิน 30% จะสามารถยื่นข้อเสนอ takeover ได้ ทำให้ข้อเสนอซื้อกิจการอย่างเป็นทางการของครอบครัวเกลเซอร์ยังไม่เกิดขึ้น

แต่ก้าวต่อไปของเกลเซอร์เพียงแค่ไล่ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อย ก็เป็นที่แน่นอนว่าจะทำให้พวกเขาถือหุ้นเกิน 30% ได้อย่างแน่นอน

กระนั้นการเข้าครอบครองกิจการของเกลเซอร์ถูกต่อต้านอย่างหนักจากสาวกผีแดง แฟนผีแดงบางส่วนเลิกซื้อตั๋วปี (Season ticket) ของสโมสร

บางคนให้สัมภาษณ์ออกสื่อว่า “เขาจะไม่ยอมให้เงินสักแดงแก่ครอบครัวเกลเซอร์”

และกลุ่มแฟนพันธ์ุแท้ของทีมภายใต้ชื่อ Manchester United Supporters' Trust หรือ Shareholders United เชิญชวนให้สาวกผีแดงร่วมกันซื้อหุ้นของสโมสรเพื่อป้องกันการถูก takeover ครั้งนี้

ในเดือนเมษายน 2005 บอร์ดบริหารของสโมสร นำโดยเซอร์รอย การ์เนอร์ และเดวิด กิลล์ CEO ของทีม ออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ถือหุ้นใจความว่า “บอร์ดบริหารของสโมสรมองว่าแผนธุรกิจของครอบครัวเกลเซอร์มีความเสี่ยงมากเกินไป จากการก่อหนี้ในระดับสูง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงแก่การดำเนินธุรกิจของทีมได้” แน่นอนว่าจดหมายฉบับนี้ ไม่ถูกใจครอบครัวเกลเซอร์

--------------------

แม้จะมีการต่อต้านจากลุ่มแฟนบอลและข้อกังวลจากบอร์ดบริหาร แต่แผนการครอบครองสโมสรของครอบครัวเกลเซอร์ก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยที่เส้นตายถูกกำหนดไว้ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2005 ทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้น

ก่อนการเปิดฉากการเจรจาครั้งสำคัญ พ่อลูกเกลเซอร์ ได้จดทะเบียนบริษัทใหม่ชื่อ “Red Football Limited” เพื่อเข้าถือหุ้นและบริหารงานของสโมสรในอนาคต

จากนั้นในวันที่ 12 พฤษภาคม 2005 ก่อนถึงกำหนดเส้นตายเพียง 5 วัน พวกเขาหันกลับไปเจรจากับสองนักธุรกิจไอริชอีกครั้ง

ครานี้จากสัดส่วนการถือหุ้นที่ทัดเทียมกันและการผิดใจกันกับท่านเซอร์อเล็กซ์ฯ ในเรื่องม้า ม้า (แน่นอนว่าบารมีของท่านเซอร์ฯ ยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้บอร์ดบริหารและแฟนบอลพร้อมจะหนุนหลังบรมกุนซือได้อย่างไม่ยากเย็นนัก)

แรงกดดันถาโถมกลับไปทางฝั่งสองเศรษฐีไอริช อีกทั้งพ่อลูกเกลเซอร์และทีมงานได้นำเสนอแผนการฉบับใหม่ที่ลดสัดส่วนการกู้ลง เพื่อคลายแรงกดดันจากบอร์ดบริหารของทีม แต่ก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนการกู้ที่สูงอยู่

ทำให้ดูเหมือนไม่มีอะไรจะหยุดครอบครัวเกลเซอร์ได้ Red Football Limited แถลงความสำเร็จในการซื้อหุ้นของสองมหาเศรษฐีชาวไอริช ในราคาหุ้นละ 3 ปอนด์ (ราคาเท่ากับที่เสนอซื้อครั้งก่อน) ทำให้พวกเขามีความเป็นเจ้าของทีมผีแดง 56.9% และสองเศรษฐีไอริช ฟันกำไรจากดีลนี้ ไม่ต่ำกว่า 80 ล้านปอนด์

ในวันเดียวกันหลังบรรลุข้อตกลงกับสองชาวไอริช เกลเซอร์ได้บรรลุข้อตกลงคว้าหุ้นอีก 6.5% ของกลุ่มของแฮร์รี่ ด็อบสัน ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ของทีม

และอีก 7% ของผู้ถือหุ้นรายย่อย มาไว้ในครอบครอง ภายในวันนั้นครอบครัวเกลเซอร์มีสัดส่วนการถือหุ้นทะลุ 70% ขาดอีกเพียงไม่ถึง 5% ก็จะครบ 75% ก็จะทำให้พวกเขาจะสามารถนำหุ้นของสโมสรออกจากการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้ทันที

อำนาจเงินของครอบครัวเกลเซอร์สร้างความกังวลและความไม่แน่นอนในตำแหน่งของทีมบริหารของยูไนเต็ดไม่ใช่น้อย

ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายน 2004 ขณะที่พวกเขาถือครองหุ้นอยู่ 28.11% เกลเซอร์จัดการปลดกรรมการบอร์ด 3 คนรวด เพื่อปูทางให้ลูกชายของเขาเข้ามามีบทบาทในสโมสรมากขึ้น

ภายหลังที่ครอบครัวเกลเซอร์ถือครองหุ้นกว่า 70% ของสโมสร เก้าอี้ของบอร์ดบริหาร CEO รวมไปถึงตำแหน่งผู้จัดการทีมของเซอร์อเล็กซ์ฯ ก็ไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไป

ด้วยอำนาจเงินและสัดส่วนความเป็นเจ้าของที่ทิ้งห่างผู้ถือหุ้นรายอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น ณ ตอนนี้พวกเขามีสิทธิเต็มที่ในการกำหนดทิศทางของสโมสร จะเปลี่ยนชื่อสโมสรก็ยังทำได้ แต่ยังโชคดีที่เหตุการณ์ทำร้ายจิตใจแฟนบอลแบบนั้นไม่เกิดขึ้น

เพียงไม่กี่วันจากวันที่ 12 พฤษภาคม บอร์ดบริหารถูกเจ้านายใหม่สั่งให้ออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ถือหุ้นรายที่เหลือให้ยอมรับข้อเสนอของครอบครัวเกลเซอร์

ซึ่งในจดหมายระบุว่า “บอร์ดบริหารแนะนำให้ผู้ถือหุ้นทุกท่านรับข้อเสนอของครอบครัวเกลเซอร์ เนื่องจากพวกเขาได้ครอบครองหุ้นส่วนใหญ่ของสโมสรแล้ว แต่บอร์ดบริหารไม่ได้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อดีลนี้แต่อย่างใด”

แน่นอนครับในเดือนมิถุนายน หนึ่งเดือนหลังจากที่เกลเซอร์ครอบครองหุ้นส่วนใหญ่ของสโมสร เซอร์รอย การ์เนอร์ หนึ่งในบอร์ดบริหารที่เป็นแกนนำในการร่อนจดหมายถึงผู้ถือหุ้น ประกาศลาออกจากตำแหน่ง

โดยถูกแทนที่ด้วยลูก ๆ ของมัลคอล์ม เกลเซอร์ จากนั้นครอบครัวเกลเซอร์ก็เข้าถือครองหุ้นจนเกิน 75% ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก พร้อมเดินเรื่องขอนำหุ้นของสโมสรออกจากตลาดหุ้นลอนดอนในทันที

การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกดดันให้ผู้ถือหุ้นส่วนที่เหลือต้องขายหุ้นให้ครอบครัวเกลเซอร์เท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะขายหุ้นให้นักลงทุนคนอื่น ส่งผลให้ภายในเวลาอีกไม่ถึงเดือนครอบครัวเกลเซอร์ก็ได้ครอบครองหุ้นของทีมกว่า 98%

ภายหลังที่ฝุ่นควันของการ takeover เริ่มจางลง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องแบกรับภาระหนี้เงินต้นกว่า 559 ล้านปอนด์ ที่ครอบครัวเกลเซอร์กู้มาซื้อสโมสร พร้อมทั้งภาระดอกเบี้ยอีกกว่า 460 ล้านปอนด์ รวมเบ็ดเสร็จสโมสรต้องผ่อนจ่ายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านปอนด์

แฟนบอลผู้ขายวิญญาณให้ทีมตราปีศาจสามง่ามทำแคมเปญต่อต้านเกลเซอร์อย่างหลากหลาย ทั้งเดินขบวนหน้าสโมสร เขียนป้ายสรรเสริญตระกูลเกลเซอร์

ตั้งทีมฟุตบอลใหม่ ชื่อ “Football Club United of Manchester” เพื่อจะมาแข่งกับทีมรักของพวกเขา

ร่วมกันใส่เสื้อทีมเหลืองเขียวเข้าไปเชียร์ในสนาม สีสัญลักษณ์สมัยก่อตั้งสโมสร เพื่อแสดงความรักในกีฬาฟุตบอลโดยไม่ได้หวังจะมาสูบเงินของสโมสรเหมือนเจ้าของใหม่

และเสียงตะโกน “Glazer out Glazer out Glazer out” ที่ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งโรงละครแห่งความฝัน ได้เริ่มดังกึกก้องทั้งในสนามตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้กว่า 15 ปี ที่สาวกผีแดงทั่วทุกมุมโลกหวังว่า “Glazer Out” จะกลายเป็นจริง

--------------------

- ถ้าชอบก็ช่วย กด Like Page + Share เรื่องเล่านี้ เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับเรื่องเล่าเรื่องต่อไปนะครับ

- หวังว่าจะมีความสุขกับการอ่านนะครับ #มือใหม่หัดเขียน

- Blockdit: onthepitchth >>>> https://www.blockdit.com/onthepitchth

- FB: OnthePitchTH >>>> https://www.facebook.com/OnthePitchTH/
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2017
ตอบ: 1603
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Apr 13, 2020 10:34
Top Comment [RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
เอาตรงๆนะครับ ถึงจะไม่ชอบที่เกลเซอ เข้ามาสูบกำไร และเอาหนี้มาใส่สโมสรเกือบ พันล้านปอน
แต่ เกลเซอไม่ลงมาล้วงลูก ผจก ไม่ลงมาวุ่นวายเลย แถมแต่งตั้งซีอีโอมือทอง อย่างเอ็ด มาฟามเงินอีก
ป๋าเองก็ผลักดัน สโมสรจนประสบความสำเร็จ ทุกๆอย่าง มันเลยช่วยให้เอ็ด ทำงานที่เขาถนัดง่ายขึ้น ในการผลัก
ดันแบรนสโมสร ให้เป็น 1ใน3ของโลกฟุตบอล
ข้อดีของเกลเซอ อย่างหนึ่ง คือเขารุ้ว่าเวลาไหน ที่ควรทุ่มเงินให้สโมสร ไม่ได้เอาแต่สูบอย่างเดียว เงินมีพร้อมลงทุนตลอด ดูได้เลยหลังจากป๋าวางมือ
ยุคมอย ที่ไม่ทุ่มให้ เพราะโค้ชโปรไฟลไม่ดีเท่าไร และเอ็ดยังใหม่มากๆ
ยุคฟานกัล นี่ทุ่มแหลก เกือบ สองร้อยล้าน
ยุคมูอีก ก้เกือบสองร้อยล้าน
ยุคโอเล่อีก ก้ราวร้อยกว่าล้านแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาก็พร้อมทุ่มเทให้สโมสรกลับไปสู่จุดเดิม
ลองเทียบกัลโคเอนเก้ หรือ เลวียดูสิ เกลเซอดูดีกว่าเยอะเลย
11
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะตำบล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1271
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Apr 13, 2020 10:33
[RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
เอ็ดนี่สมกับมาดตัวร้ายจริง ๆ


ปล. อ่านเพลินมากครับ ขอบคุณครับ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2017
ตอบ: 1603
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Apr 13, 2020 10:34
[RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
เอาตรงๆนะครับ ถึงจะไม่ชอบที่เกลเซอ เข้ามาสูบกำไร และเอาหนี้มาใส่สโมสรเกือบ พันล้านปอน
แต่ เกลเซอไม่ลงมาล้วงลูก ผจก ไม่ลงมาวุ่นวายเลย แถมแต่งตั้งซีอีโอมือทอง อย่างเอ็ด มาฟามเงินอีก
ป๋าเองก็ผลักดัน สโมสรจนประสบความสำเร็จ ทุกๆอย่าง มันเลยช่วยให้เอ็ด ทำงานที่เขาถนัดง่ายขึ้น ในการผลัก
ดันแบรนสโมสร ให้เป็น 1ใน3ของโลกฟุตบอล
ข้อดีของเกลเซอ อย่างหนึ่ง คือเขารุ้ว่าเวลาไหน ที่ควรทุ่มเงินให้สโมสร ไม่ได้เอาแต่สูบอย่างเดียว เงินมีพร้อมลงทุนตลอด ดูได้เลยหลังจากป๋าวางมือ
ยุคมอย ที่ไม่ทุ่มให้ เพราะโค้ชโปรไฟลไม่ดีเท่าไร และเอ็ดยังใหม่มากๆ
ยุคฟานกัล นี่ทุ่มแหลก เกือบ สองร้อยล้าน
ยุคมูอีก ก้เกือบสองร้อยล้าน
ยุคโอเล่อีก ก้ราวร้อยกว่าล้านแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาก็พร้อมทุ่มเทให้สโมสรกลับไปสู่จุดเดิม
ลองเทียบกัลโคเอนเก้ หรือ เลวียดูสิ เกลเซอดูดีกว่าเยอะเลย
11
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 Oct 2005
ตอบ: 4762
ที่อยู่: Coruscant
โพสเมื่อ: Mon Apr 13, 2020 10:39
[RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
อยากสอบถามแฟนผีว่า ได้ติดตามทีมFC United of Manchester กันบ้างมั้ยครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
roo
นักเตะหมู่บ้าน
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 28 Apr 2009
ตอบ: 258
ที่อยู่: On the Pitch - ออน เดอะ พิช
โพสเมื่อ: Mon Apr 13, 2020 10:45
[RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
l2emember พิมพ์ว่า:
เอาตรงๆนะครับ ถึงจะไม่ชอบที่เกลเซอ เข้ามาสูบกำไร และเอาหนี้มาใส่สโมสรเกือบ พันล้านปอน
แต่ เกลเซอไม่ลงมาล้วงลูก ผจก ไม่ลงมาวุ่นวายเลย แถมแต่งตั้งซีอีโอมือทอง อย่างเอ็ด มาฟามเงินอีก
ป๋าเองก็ผลักดัน สโมสรจนประสบความสำเร็จ ทุกๆอย่าง มันเลยช่วยให้เอ็ด ทำงานที่เขาถนัดง่ายขึ้น ในการผลัก
ดันแบรนสโมสร ให้เป็น 1ใน3ของโลกฟุตบอล
ข้อดีของเกลเซอ อย่างหนึ่ง คือเขารุ้ว่าเวลาไหน ที่ควรทุ่มเงินให้สโมสร ไม่ได้เอาแต่สูบอย่างเดียว เงินมีพร้อมลงทุนตลอด ดูได้เลยหลังจากป๋าวางมือ
ยุคมอย ที่ไม่ทุ่มให้ เพราะโค้ชโปรไฟลไม่ดีเท่าไร และเอ็ดยังใหม่มากๆ
ยุคฟานกัล นี่ทุ่มแหลก เกือบ สองร้อยล้าน
ยุคมูอีก ก้เกือบสองร้อยล้าน
ยุคโอเล่อีก ก้ราวร้อยกว่าล้านแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาก็พร้อมทุ่มเทให้สโมสรกลับไปสู่จุดเดิม
ลองเทียบกัลโคเอนเก้ หรือ เลวียดูสิ เกลเซอดูดีกว่าเยอะเลย  



อันนี้เห็นด้วยครับ ... ผมก็มองว่าเกลเซอร์ไม่ได้แย่นะ ... พวกเขาแค่ใช้เหตุผลทางธุรกิจเป็นหลัก มันเลยไปขัดใจแฟนบอลบางกลุ่มเท่านั้นเอง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: Don't worry be happy
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Mar 2009
ตอบ: 20748
ที่อยู่: reykjavik , Iceland
โพสเมื่อ: Mon Apr 13, 2020 11:00
[RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
จำได้เลยสมัยแฟนบอล แห่ใส่เสื้อเหลือง-เขียว ผมวังฝากเพื่อนซื้อผ้าพันคอ เหลือง-เขียว จากข้างสนามมาเหมือนกัน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Sep 2013
ตอบ: 1322
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Apr 13, 2020 11:34
[RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าผิดใจกับท่านเซอร์ ถ้าไม่ทะเลาะกันเรื่องม้าแข่ง สองนักธุรกิจคงถือหุ้นยาวๆ

บารมีสุดยอดจริงๆ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status: * KingCanto * GodZlatan - KnightRooney
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 12789
ที่อยู่: Theatre of Dream
โพสเมื่อ: Tue Apr 14, 2020 09:44
[RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
TheKopHero พิมพ์ว่า:
อยากสอบถามแฟนผีว่า ได้ติดตามทีมFC United of Manchester กันบ้างมั้ยครับ  


ยังห่างไกลกันเยอะครับ 555
ทีม ซัลฟอร์ด ของ แก๊งค์92 เรายังอยู่สูงกว่าเลยครับ 555

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

ตอนนี้อยู่ใน เนชั่นนัลลีก นอร์ท
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97
แก้ไขล่าสุดโดย T e r n G เมื่อ Tue Apr 14, 2020 09:46, ทั้งหมด 2 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
#ThankyouSirAlex
ออฟไลน์
ดาวซัลโวฟุตบอลโลก
Status: "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2014
ตอบ: 25979
ที่อยู่: รับบูชาพระเครื่อง วัตถุโบราณ ของแปลก PM
โพสเมื่อ: Fri Apr 17, 2020 01:54
[RE: [เล่าเรื่อง] 15 ปี “Glazer Out” (Part 2/2)]
l2emember พิมพ์ว่า:
เอาตรงๆนะครับ ถึงจะไม่ชอบที่เกลเซอ เข้ามาสูบกำไร และเอาหนี้มาใส่สโมสรเกือบ พันล้านปอน
แต่ เกลเซอไม่ลงมาล้วงลูก ผจก ไม่ลงมาวุ่นวายเลย แถมแต่งตั้งซีอีโอมือทอง อย่างเอ็ด มาฟามเงินอีก
ป๋าเองก็ผลักดัน สโมสรจนประสบความสำเร็จ ทุกๆอย่าง มันเลยช่วยให้เอ็ด ทำงานที่เขาถนัดง่ายขึ้น ในการผลัก
ดันแบรนสโมสร ให้เป็น 1ใน3ของโลกฟุตบอล
ข้อดีของเกลเซอ อย่างหนึ่ง คือเขารุ้ว่าเวลาไหน ที่ควรทุ่มเงินให้สโมสร ไม่ได้เอาแต่สูบอย่างเดียว เงินมีพร้อมลงทุนตลอด ดูได้เลยหลังจากป๋าวางมือ
ยุคมอย ที่ไม่ทุ่มให้ เพราะโค้ชโปรไฟลไม่ดีเท่าไร และเอ็ดยังใหม่มากๆ
ยุคฟานกัล นี่ทุ่มแหลก เกือบ สองร้อยล้าน
ยุคมูอีก ก้เกือบสองร้อยล้าน
ยุคโอเล่อีก ก้ราวร้อยกว่าล้านแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาก็พร้อมทุ่มเทให้สโมสรกลับไปสู่จุดเดิม
ลองเทียบกัลโคเอนเก้ หรือ เลวียดูสิ เกลเซอดูดีกว่าเยอะเลย  


ทุ่มน้อยไปครับ ต้องทุ่มเทียบเท่ากับ GDP ของ U.S.A ต่อ 1 รอบคลาด แฟนบอลที่ไล่ ถึงจะพอใจ
ทุกวันนี้ยังแชะเรื่องไม่ซื้อกองหลังให้มูรินโญ่ อยู่เลย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน






ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel