จักรพงษ์ ผลมาตย์ เด็กจากทุ่งนาบุรีรัมย์!!
เด็กหนุ่มลูกครึ่งชาวบุรีรัมย์ นามว่า จักรพงษ์ ผลมาตย์ (เจ) ที่มีคุณแม่เป็นคนไทย และ คุณพ่อเป็นคนกาน่า
เจเริ่มเล่าเรื่อง “ตั้งแต่เกิดมา, ผมไม่เคยเจอพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมอาศัยอยู่กับตายายมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ชีวิตในวัยเด็กของผมก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กบ้านนอกทั่วไป ที่มักวิ่งเล่นตามท้องไร่ท้องนาและเล่นฟุตบอลกับเพื่อนฝูงในละแวกบ้าน วันหนึ่งครูที่โรงเรียนประถมศึกษาบอกว่า สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเปิดคัดตัว จึงอยากให้ไปผมลองไปคัดตัวดู พอเลิกโรงเรียนผมก็กลับมาบอกตายายให้พาไป” นี่ถือว่าเป็นก้าวแรกในการเส้นทางลูกหนัง
“ถึงแม้ที่บ้านเราจะไม่มีรถยนต์ ไม่มีเงิน แต่ตายายก็เหมารถในหมู่บ้านพาผมไปคัดตัวพร้อมกับนั่งเฝ้าตลอดทั้งวันจนกระทั่งผมกลายเป็น 1 ใน 6 ที่ผ่านการคัดตัวจากที่ไปคัดประมาณ 3,000 คน
สุดท้ายผมอยู่กับทางบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ 3 ปี จนผมเรียนจบ ม.3 และ ผมได้รับรู้ว่าผมไม่ได้ไปต่อ ผมจึงโทรศัพท์บอกตากับยายว่า จะไปหาทีมเล่นฟุตบอลและเรียนต่อกับเพื่อนๆ ไม่ต้องเป็นห่วงผม” เส้นทางได้นำพาเจ้าเจ เข้ากรุงเทพฯ
“ผมไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนที่กรุงเทพแล้วเริ่มหาทีมและโรงเรียนไปพร้อมๆกัน จนมีอยู่วันหนึ่งผมลงอุ่นเครื่องกับทีมเยาวชนของชลบุรี เอฟซี แล้วทำผลงานได้ดี จึงมีโอกาสไปทดสอบฝีเท้าและกลายเป็นนักเตะเยาวชนของทีมชลบุรี เอฟซี ได้เรียนต่อชั้น ม.ปลาย ที่โรงเรียนท่าข้ามพิทยาคม ผมหวังอยู่เสมอว่าจะได้รับโอกาสขึ้นไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่ของสโมสร
แม้ที่นี่จะฝึกซ้อมอย่างหนักแต่ผมก็พยายามอดทนและพยายามมากที่สุดเพื่อหวังจะเป็นนักเตะอาชีพกับทีมให้ได้ จนวันที่เรียนจบชั้น ม.6 ไม่มีคำตอบที่คาดหวังหรือรอคอย นั่นคงเพราะผมยังดีไม่พอ ผมจึงตัดสินใจออกไปพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง” อีกครั้งที่ เจ ต้องเดินทางต่อในถนนสายนี้
“สุดท้ายเป็นทีมนนทบุรี เอฟซี ที่มอบโอกาสให้กับผม แม้จะเป็นทีมในลีกไม่สูงมาก แต่...ก็ยังให้ผมได้เล่นฟุตบอลอีกครั้ง สิ่งที่ผมตั้งใจตั้งแต่เด็กว่าจะต้องหาเงินจากการเล่นฟุตบอลเพื่อตอบแทนตายายให้ได้ พอมาถึงวันที่เริ่มมีรายได้จากฟุตบอล ผมจึงโอนเงินทุกบาททุกสตางค์จากการเล่นจากการเล่นฟุตบอลไปให้ตายาย แม้...มันจะทำให้ผมไม่เหลือเงินสักบาทเดียวเลยก็ตาม แต่ผมก็ยินดีที่จะทำมัน”
ชีวิตการเป็นนักฟุตบอลอาชีพปีแรกที่แม้จะไม่สามารถพาทัพอีกานนท์รอดพ้นจากการตกชั้นไปได้ แ
ต่ด้วยโอกาสในการทดสอบฝีเท้ากับทีมทหารบก เอฟซีในศึก Thai League 3 คือประตูทองที่นำเขาเข้าสู่โอกาสครั้งใหม่ในการค้าแข้ง
“รุ่นพี่แนะนำให้มาคัดตัวที่นี่ ชีวิตตอนนั้นสับสนไปหมด ไม่รู้วว่าจะเริ่มต้นที่ไหนอีกครั้ง เพราะต้นสังกัดก็พึ่งตกชั้น ทีมจะเล่นก็ไม่มี เงินก็เริ่มร่อยหรอ นึกอยู่อย่างเดียวว่าอย่ายอมแพ้ เพราะถ้าวันไหนยอมแพ้...จะไม่มีทางชนะอย่างแน่นอน เส้นทางลูกหนังอาชีพของผมเริ่มต้นอีกครั้งกับทหารบก เอฟซี ผมบอกเสมอว่าที่นี่คือโอกาส ตั้งใจ มุ่งมั่น พัฒนาการเล่นให้ดีและแข็งแกร่ง...นี่คือสิ่งที่ต้องทำ”
เจเล่าต่อก่อนจะทำผลงานได้ดีให้ต้นสังกัดจนได้รับโอกาสย้ายไปเล่นในศึก Thai League 2 กับทีมอาร์มี่ ยูไนเต็ด
การขึ้นไปเล่นกับ ทัพสุภาพบุรุษวงจักร ในวันที่ยังไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงให้กับทีมสู้ศึกลีกพระรองได้สำเร็จ แต่การเรียนรู้คือสิ่งที่เขามองว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้แข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต
“ไม่มีใครรู้ว่าโอกาสจะมาเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าความสำเร็จจะมีจริงหรือไม่ เมื่อวันนี้มีโอกาสได้ลงซ้อม ได้ลงแข่งขันไม่ว่าจะเป็นรายการใด ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ตนเองอยู่ในเส้นทางความฝัน ที่ไหนมีฟุตบอล ที่นั่นคือบทเรียนสำหรับผม วันนี้ยังไม่ดีพอที่จะเล่นตัวจริงให้กับทีม แต่การเรียนรู้จากนักเตะรุ่นพี่ชั้นดีรอบกายคือความโชคดีที่สุด ในเมื่อผมเลือกที่จะใช้ฟุตบอลเป็นเพื่อนร่วมเดินทางในชีวิต ทุกวินาทีคือช่วงเวลาที่สำคัญที่จะต้องทุ่มเทเพื่อให้ความฝันผมกลายเป็นความจริง”
ทุกครั้งที่ลงสนามผมตั้งใจจะทำผลงานให้ดีที่สุด
เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมได้สนามอย่างต่อเนื่องจนนำไปสู่ความฝันอันสูงสุดคือการเล่นให้ทีมชาติไทยเพื่อที่ว่าสักวัน...จะทำให้พ่อได้เห็นผมในสนามหรืออาจทำให้ใครต่อใครได้ไปเล่าให้พ่อผมฟังว่าผมกำลังเล่นฟุตบอลและนั่นอาจจะทำให้ผมได้เจอพ่อสักครั้งในชีวิต”
“ผมหวังว่าสักวัน ฟุตบอลจะทำให้สมหวัง” ความเชื่อจากหนุ่มที่ชื่อ จักรพงษ์ ผลมาตย์
เครดิตบทความจาก เพจ Total Football, isportAgent
https://www.facebook.com/isportagent/photos/a.2061696387251484/2589477694473348/?type=3&theater