ถ้าเงินไม่หนาผมว่าอย่าไปเล่นอะไรเยอะเลยพวกเครื่องเสียง ถ้าไม่ใช่หูฟังแพงๆ ที่มีความต้านทานเยอะๆ แค่หูฟังก็พอแล้ว.



ปล. หูฟังถูกๆ 2-300 บาท เสียงไม่ได้เทพแต่ฟังแล้วมันเพราะผมว่าเพียงพอแล้ว

ตอนแรกฟัง apple music เดือนละ 129 แต่ตอนนี้มาฟังฟรีใน joox แทนละ
แสดงว่าผมจะลงทุนซื้อ DAC มาเสียบก็คงไม่คุ้มตังสินะ

มันก็ไม่เชิงนะครับ ถ้าท่านชอบฟังเพลงอย่างจริงจังก็ลองซื้อมาใช้ก็ได้ครับผมกำลังจะลองเหมือนกัน พอดีได้ iphone 6 64G มาเครื่องนึงว่าจะลองเอามาเล่นกับ spotify แล้วซื้อ dac/amp Audioquest DragonFly ตัวสีดำมาต่อฟังอยู่หลายคนยืนยันว่าได้เสียงที่ดีขึ้นจริงๆ บางคนงบมากก็จัด dac/amp Chord Mojo มาต่อ มีคนทำเยอะอยู่ครับแต่ผมงบไม่ค่อยมีไปลงหูฟังซะมาก สรุปคือ
player ที่ใช้ stream ไฟล์ความละเอียดที่ดีที่สุดที่ทำได้ + DAC/AMP + หูดีๆ เสียงก็ออกมาดีมากแล้วครับ แต่ก็ไม่สามารถสู้ไฟล์ lossless ได้อยู่ดีครับ
ค่อยๆ ดูค่อยๆ เล่นไปครับอย่างที่ท่านบนๆ บอกไปอย่าพึ่งไปลงทุนมากทีเดียวถ้าอยู่ กทม.หาเวลาไปนั่งฟังที่ร้านครับแนะนำร้านมั่งคง

อย่าไปบ้ามากครับ อุปกรณ์อะไรก็ฟังเพลงเพราะได้

ไอที่ซื้อๆนี่อยากมีล้วนๆ พอซื้อมาเยอะๆ หูมีสองข้างใช้ยังไงก็ฟังไม่ได้ทุกตัว

ซื้อแล้วเสียงดี จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่พอ มีหมื่นหมดหมื่น มีแสนหมดแสน จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่จบ

ผมเล่นมาเยอะ เจ็บมาเยอะ เคยไปสุดขนาดทำ custom iem มาแล้ว

สุดท้ายทุกวันนี้ใช้แต่ airpod เน้นสะดวกไว้ก่อน

มายืนยันครับ Spotify พรีเมี่ยมปรับ คุณภาพเสียงสูงสุด คุ้มมาก เดือน 129 บาทเอง ผมนี่เปิดทิ้งไว้ในคอมทั้งวันทั้งคืนเลย แจ่มแมว

AK 240 เจ็บแต่จบิ

จบสิ้นชีวีไม่มีไรแหลกแน่ๆ

ปล.เล็งzx300ไว้ เพราะจะเล่นbalance4.4ฮะ ซื้อหูมารอล่ะ

เจ็บจนกล้าพูดว่าเปลืองนี่หล่ะครับ

ที่บอกไปทั้งหมดเอาจริงๆเลยนะครับ เครื่องเล่นพวกนี้หรือแม้แต่ไฟล์เพลงที่ว่าเอาให้เห็นภาพกันสุดๆไปเลยมันก็เหมือนเราเอาหนังเก่ามาทำ 4k ที่เล่าในภาคของความคมชัดเพราะมันต่างได้ระดับสายตา เราจะดู Forrest Gump 4K หนังมันก็ถูกสร้างในระบบ Analog ตามยุคสมัยและเทคโนโลยีที่ทำได้ ซึ่งที่เราเห็นๆกันเพราะไฟล์มันถูกมาทำใหม่ทั้งหมดจาก master ของมันเลยให้คุณภาพที่ดีที่สุดอย่างที่เห็นแต่ต้นทุนก็สูงมากๆ ภาคเสียงก็ทำใหม่หมด แต่เพลงเนี่ยยังไงมันก็ถูกสร้างมาบนการอัดให้หูเราได้ยินชัดที่สุดในรายละเอียดข้างขวาและซ้ายที่หลายๆคนอาจเคยได้ยินกันว่าหูสองข้างเราได้ยินไม่เท่ากันนี่หล่ะครับ

เพลงที่ฟังแล้วเห็นทุกรายละเอียดจริงๆของหูเทพๆมันก็ไม่พ้นแนว edm ยุคนี้หล่ะครับเพราะ dj ทั้งหลายก็เป็น producer มือทองกันทั้งนั้นทำให้รายละเอียดของเพลงที่ย่อยออกมาในไฟล์ปกติไม่หายเยอะเพราะมันอัดแยกชิ้นกันอัตโนมัติก็พูดง่ายๆทำในโปรแกรมนั่นหล่ะครับ เพลงแนว hiphop มาเพราะส่วนหนึ่งหูฟังยุคนี้ทำให้ฟังบีทเพราะ ต่างจากฟังม้วนเทปสมัยก่อนที่เป็น mono

หูแพงแต่ฟังเพลงไม่ตรงแนวหูฟังก็แย่ครับ burn ไม่ถึงยิ่งแล้วหนัก มันอยู่ที่ความพอดีของเรานี่หล่ะ

หูแบบพวก monitor หรือเกรดแบบที่นักร้องดังๆใช้กันที่มันต้องหล่อให้เข้ากับหูเพราะมันเอาไว้กลบเสียงหลอกที่มาจากเวทีใหญ่ๆทำให้ฟังจังหวะเพี้ยน ร้องไม่ตรงคีย์กันง่ายๆ มันเลยมาแก้ปัญหาตรงนี้สังเกตุดูว่ามันไม่ได้ใส่สบายขนาดนั้นครับบอกเลย

เก็บตังค์ใช้หูเลือกรุ่นที่เหมาะกับเพลงที่เราฟัง พวก In-ear นี่มีทริกง่ายๆครับ พยายามลองจุกทุก size ที่ใช้ได้เพื่อหาความเพราะของหูได้แบบเต็มประสิทธิภาพ บางคนยืม In-ear เพื่อนมาลองแล้วบอกกาก ลองเปลี่ยนจุกยางดูครับ เปิดโลกเลย

เก็บตังค์ไว้เถิดครับ งานสายฟังไม่มีที่สิ้นสุดครับ
รถบ้านญี่ปุ่น กับ super car ปลายทางเดียวกันครับ รายละเอียดที่ได้ feeling ล้วนๆ ของฟุ่มเฟือยไม่มีเพิ่มครับ พวกบ้าแผ่นไวนิลก็เช่นกัน คือกูมีตังค์นะ กูต้องแตกต่างไง ไม่งั้นไม่ cool

กิเลสครับ กิเลส

สุดครับ
ผมนี่ใดล้ละครับ campfire andromeda s ใกล้จะเข้าบ้านละ

พวกหูที่ Driver ดีๆเนี่ยผมสรุปแบบของผมละกันนะครับว่าสิ่งที่ท่านจะได้นอกจากการเสียเงินก็คือ ความกว้างของเสียงผมอธิบายไงดี คือเสียงมันจะไม่อู้อี้เหมือนโดนบีบอัดสัญญาณมาเอาง่ายๆคือ Driver มันช่วยให้ช่องเสียงทุกเครื่องเล่นมันชัด เสียงสะอาด ได้ความกว้างมาเป็นของแถม เลยทำให้เวลาฟังแล้วมันเพราะขึ้น หูแบบดีๆอย่างนี้แค่ฟังจากพวก Streamming ทั้งหลายนี่ก็งมได้ทุกเพลง อีกอย่างคือ In-ear ตามท้องตลาดเวลาฟังพวก rock หรือ alternative มันจะรู้สึกงานหยาบ แต่พวกนี้ใสมาเลยแยกตัวๆได้

อย่าๆๆครับ ท่องไว้ scoops 1 คัน scoopy 1 คัน

ทำใจยากมากเลยครับ ปกติชุดประจำผม Sony zx100 + grado 225 หรือพกก็ยังเบาๆ แค่ shure 215 แต่เห็นรีวิว campfire andromeda s แล้วคันมากเลยครับ ไม่กล้าไปร้านมั่นคงเลยครับ กลัวใจ