ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
แข้งลีกเอิง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Jan 2014
ตอบ: 8924
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 10:26
14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด
หลังจากที่ปีที่แล้วได้เขียนกระทู้ 11 ปีจากเอเธนสู่เคียฟ เราผ่านอะไรกันมาบ้าง
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1643250

แล้วมีคอมเมนต์หนึ่งได้บอกไว้ว่า "น่าเสียดายนิด มันน่าจะเป็น 13 ปีที่รอคอย" ในที่สุดปีนี้ก็ได้ตั้งกระทู้เป็น 14 ปีที่รอคอยกันแล้วสักที ตั้งใจจะโพสต์ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแต่ว่าดันเขียนได้ไม่ถึงครึ่งทางวันนี้เลยกลับมาเขียนต่อ



ซึ่งบทความที่ได้เขียนในปีที่แล้วไปแทบจะมีแต่เรื่องราวความผิดหวังกับบทบาทพระรอง, การสูญเสียนักเตะตัวแบกหรือสัญลักษณ์ของทีมอยู่เป็นประจำ, การมีเจ้าของสโมสรที่แทบจะเอาทุกอย่างจากลิเวอร์พูลไป, การปลดโค้ชกลางฤดูกาล ฯลฯ โดยกระทู้นี้ขอรำลึกความหลังกลับไปยังช่วงฤดูกาล 2004-2005 กันบ้าง



ฤดูกาล 2004-2005 ลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจาก Gerard Houllier กุนซือชาวฝรั่งเศสที่เคยคุมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยมากมายในช่วงต้นของยุค 2000 สู่กุนซือชาวสเปน Rafael Benitez ซึ่งเคยพา Valencia คว้าแชมป์ La Liga รวมถึง Uefa Cup(Europa League ในปัจจุบัน) มาแล้วก่อนจะย้ายมายัง Liverpool พร้อมกับความหวังมากมายที่ต้องแบกเอาไว้



เราเปิดฤดูกาล 2004-2005 ด้วยการเสียซุปเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของทีมหรือจะเรียกว่าเดอะแบกในเวลานั้นอย่าง Michael Owen ที่เป็นส่วนสำคัญในการคว้าแชมป์ช่วงต้นยุค 2000 จนได้รางวัลบัลลงดอร์ไปครอบครองให้กับเรียลมาดริดด้วยราคาเพีัยงแค่ 8 ล้านปอนด์ + ปีกขวาโนเนมที่แฟนลิเวอร์พูลบ่นได้ทุกครั้งที่ลงสนาม Antonio Núñez แต่ก็ยังมีเรื่องให้น่าชืิ่นใจอยู่บ้าง เมื่อลิเวอร์พูลสามารถคว้ากองหน้าชาวฝรั่งเศส Djibril Cissé ซึ่งเซ็นสัญญาล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว และ Milan Baros ศูนย์หน้าตัวสำรองในขณะนั้นที่สามารถคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดจากทัวร์นาเมนต์ยูโร 2004 กับทีมชาติเชคมาได้ แต่สองคนนี้ก็แทบจะไม่ได้เล่นด้วยกันเนื่องจากหลายเหตุผลไม่ว่าจะเป็นการที่ซิสเซ่เจ็บยาวตั้งแต่ช่วงเปิดฤดูกาลและการที่ทีมใช้ระบบ 4-5-1 เป็นแผนหลัก





และการมาของราฟาก็ทำให้มีนักเตะจากสเปนตบเท้าเข้ามาเป็นจำนวนมากโดยการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดก็หนีไม่พ้น Xabi Alonso และ Luis Garcia ซึ่งในฤดูกาลนั้นยังมีนักเตะสเปนย้ายเข้ามาอีกคือ Josemi แบคขวาที่สุดท้ายแล้วไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัังจริงของ Steve Finnan ได้ และ Fernando Morientes ที่ย้ายเข้ามาช่วงมกราคม

เกมไฮไลท์แรกของฤดูกาลนั้นคือนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่มที่ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ Olympiakos เงื่อนไขของลิเวอร์พูลในนัดนั้นคือต้องชนะ 1-0 เพื่อเฮดทูเฮดที่เท่ากันและเข้ารอบไปได้ด้วยประตูได้เสียที่มากกว่า แต่สถานการณ์ในครึ่งแรกก็ไม่เป็นใจเมื่อตำนานนักเตะชาวบราซิลอย่าง Rivaldo ยิงฟรีคิกทะลุกำแพงเข้าไปแล้ว Chris Kirkland ได้แต่ยืนดู เงื่อนไขในขณะนั้นคือลิเวอร์พูลต้องชนะ 3-1 เท่านั้นเพราะถ้าชนะ 2-1 จะตกรอบด้วยกฎ Away Goal



เริ่มครึ่งหลัง Sinama Pongolle ยิงประตูตีตื้นเข้าไป นับว่าเป็นการจุดประกายที่ดี และเป็นฝั่งลิเวอร์พูลที่เล่นดีกว่ามากในครึ่งหลังแต่ก็ยังไม่ได้ประตูที่ 2 สักทีจนช่วงนาทีที่ 80 Neil Mellor ได้ซ้ำจ่อๆเข้าไป ลิเวอร์พูลขาดอีกเพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้นในการจะเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายถ้วย Uefa Champion League และผู้ที่ทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงก็คือกัปตันทีมวัย 24 ปีในขณะนั้น Steven Gerard ที่ยิงประตูสุดสวยจากนอกกรอบผ่านมือของ Antonios Nikopolidis ผู้รักษาประตูทีมชาติกรีซดีกรีแชมป์ยูโร 2004 เข้าไป



ก่อนจะกลับมาพูดถึงผลงานในถ้วย Uefa Champion League กันต่อขออนุญาตวกกลับเข้ามาที่สถานการณ์ภายในอังกฤษของฤดูกาลนั้น ถ้วย FA Cup สารภาพตามตรงว่าลืมครับ น่าจะตกรอบแต่หัววัน ก่อนที่ฤดูกาลถัดมาจะคว้าแชมป์แบบใจหายใจคว่ำเช่นกัน ส่วนถ้วย League Cup ก็มาได้ถึงรอบชิงชนะเลิศกับเชลซีโดยขึ้นนำก่อนตั้งแต่ต้นเกมจากประตูสุดสวยของ John Arne Riise แต่ก่อนจะหมดเวลาแค่ไม่กี่นาทีก็เป็นกัปตันทีมของเราเองโหม่งสกัดเข้าประตูตัวเองไป ก่อนที่จะแพ้ให้กับเชลซีในช่วงต่อเวลาไป 3-2 (เชลซีเป็นทีมที่ทำเอากัปตันในตำนานของเราเกิดการ Human Error จนส่งผลถึงประตูสำคัญหลายประตูจริงๆ TT) เกร็ดเพิ่มเติมแฟนลิเวอร์พูลส่วนใหญ่เริ่มไม่ชอบมูริญโญ่จากจังหวะดีใจด้วยท่าจุ๊ปากกับจังหวะตีเสมอในเกมนั้น





ส่วนสถานการณ์ในลีคปีนั้นก็เรียกว่าไม่สู้ดีเอาซะเลย ทั้งฤดูกาลไม่น่าจะมีจังหวะได้ขึ้นไปสัมผัสพื้นที่ Top 4 เลยด้วยซ้ำ ซึ่งทีมที่มายึดที่ 4 ไปในปีนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนบ้านของเรา Everton ภายใต้การคุมทีมของ David Moyes ซึ่งทำผลงานได้เหนือความคาดหมายมากๆจนระหว่างฤดูกาลแฟนบอลลิเวอร์พูลบางคนยังแทบจะอดทนกับผลงานของราฟาไม่ไหวเพราะว่าตอนเปลี่ยนจากอุลลิเย่ร์มาเป็นราฟาเนื่องจากเป้าหมายหลักคือพรีเมียร์ลีค แต่แล้วกลับกลายเป็นว่านอกจากจะสู้แมนยูฯไม่ได้แล้วยังสู้ไม่ได้แม้แต่เอฟเวอร์ตันอีกด้วย



สถานการณ์ของลิเวอร์พูลในการจะได้ไป UCL ในตอนนั้นมีทางเดียวคือต้องได้แชมป์UCLเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วตอนนั้นเองยังไม่มีกฎด้วยว่าแชมป์เก่าได้ไปโดยอัตโนมัติเนื่องจากทางยูฟ่าคงคิดไม่ถึงว่าทีมที่ได้แชมป์ UCL จะไม่สามารถจบ Top 4 ได้ ซึ่งระหว่างเส้นทางการลุ้นแชมป์ทางยูฟ่าก็ยังปฏิเสธการตอบคำถามมาโดยตลอดจนกระทั่งลิเวอร์พูลได้แชมป์ฤดูกาลถัดมายังต้องไปเตะรอบคัดเลือกตั้งแต่รอบแรก

ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายลิเวอร์พูลเอาชนะทีมห้างขายยา Bayer Leverkusen ไปได้โดยไม่ยากเท่าไหร่ ก่อนที่รอบต่อมาจะต้องเจอกับ Juventus ซึ่งดูตามรายชื่อแล้วลิเวอร์พูลเป็ํนรองพอสมควร แต่ว่านัดแรกลิเวอร์พูลก็เอาชนะไปได้ 2-1 ด้วยประตูสุดสวยจาก Luis Garcia ที่ยิงลูกใบไม้ร่วงผ่านมือ Buffon เข้าไปซึ่งจะว่าไปแล้วลิเวอร์พูลแทบไม่ได้เปรียบอะไรเลย เพราะว่านัดที่สอง Juventus แค่ชนะ 1-0 ก็จะเข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือนทันที ซึ่งรูปเกมนัดที่สองผมแทบจำไม่ได้แล้วแต่จำได้ว่า Zlatan Ibrahimovic มีโอกาสยิงจ่อๆตั้งแต่ช่วงต้นเกมแต่ข้ามคานออกไป



จบนัดที่สองไป 0-0 ลิเวอร์พูลผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศพบกับเชลซีซึ่งลิเวอร์พูลแพ้มาแล้วถึง 3 นัดในการเจอกันโดยเป็นเกมลีคคัพหนึ่งเกมที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้และอีกสองนัดในลีค 1-0 จากลูกยิงของโจโคลทั้งสองนัด พูดง่ายๆคือลิเวอร์พูลแทบจะผูกปีแพ้เชลซีไปแล้วในฤดูกาลนั้นโดยในรอบรองชนะเลิศนัดแรกเสมอกันที่ Stamford Bridge 0-0 ไม่มีไฮไลท์ใดๆทั้งสิ้น ก่อนที่นัดที่สองก็มีจังหวะปัญหาตั้งแต่ช่วงเริ่มเกมเมื่อ Luis Garcia ยิงประตูปัญหาที่เถียงกันอยู่หลายปีจนมั่นใจเลยว่าชาตินี้ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าข้ามเส้นไปแล้วหรือยังและหลังจากประตูดังกล่าวเกิดขึ้นก็เป็นฝั่งเชลซีที๋โหมเข้าบุกอยู่เกือบตลอด 90 นาที แต่ก็ไม่สามารถเจาะประตูลิเวอร์พูลได้ ชอทที่ทำให้ผมถึงกับช๊อคสุดคือจังหวะที่ Eider Gudjohnsen ยิงจ่อๆผ่านหน้าปากประตูไปอย่างไม่น่าเชื่อ




ผมสารภาพตามตรงว่าในรอบที่ต้องเจอกับยูเว่และเชลซีนี่ไม่มั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่การที่พลิ๊กล๊อคชนะสองทีมนี้มาได้ทำให้ในรอบชิงกับ AC Milan นั้นมั่นใจมากๆว่าเราจะสามารถคว้าแชมป์ได้ และถ้วยนี้ก็สำคัญมากๆเพราะว่าถ้าพลาดแพ้ขึ้นมานอกจากเราจะไม่ได้แชมป์แล้วในปีต่อไปเรายังไม่มีโอกาสมาแก้ตัวด้วย และจบครึ่งแรกไปด้วยการโดนนำที่สกอร์ 3-0



มันช่างเป็นสกอร์ที่น่าหดหู่มาก และในประสบการณ์การดูบอลของผมก่อนหน้านั้นไม่เคยเห็นการกลับมาได้หลังจากสกอร์ห่างขนาดนี้มาก่อนเลยแต่ตอนนั้นก็เลือกที่จะดูต่อนะ คือมาได้ขนาดนี้แล้วถ้ามันจะแพ้ก็ขอดูอีก 45 นาทีที่เหลือก่อนที่จะไม่ได้ดูทีมรักเตะอีกหลายเดือน(สมัยนั้นค่าสมาชิคดูทุกแมตช์ในลีคไม่ได้ถูกเหมือนเดี๋ยวนี้ด้วย) และภาวนาว่าเราอย่าโดนยับเยินไป 4-0 5-0 6-0 เลยพร้อมกับหวังเล็กๆบนบ้าๆบอๆไปว่าถ้ากลับมาชนะได้นะ......

ลิเวอร์พูลแก้เกมด้วยการเปลี่ยนมิดฟิลด์มากประสบการณ์ Dietma Hamann ลงแทน Steve Finnan ที่มีอาการบาดเจ็บพร้อมปรับแผนจาก 4-5-1 มาเป็น 3-6-1 เพื่อสู้กับเกมตรงกลางของ AC Milan และไม่ถึง 10 นาทีในครึ่งหลังประตูของความหวังก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ Steven Gerrard โหม่งบอลสบัดเข้าเสาสองไปได้ พร้อมกับความหวังเล็กๆก่อนที่ Vladimir Smicer จะมากดประตูที่สองเข้าไป ซึ่งถึงตรงนี้มันเต็มไปด้วยทั้งความหวังที่จะตีเสมอให้ได้หรือว่าถ้าจบลงตรงนี้ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
Xabi Alonso ก็ยิงซ้ำลูกจุดโทษเข้าไปตีเสมอเป็น 3-3



ลิเวอร์พูลใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีตีเสมอเอซี มิลานได้ ซึ่งน่าจะเป็นแค่ 6 นาทีใน 120 นาทีที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีกว่าในคืนนั้น ยิ่งช่วงท้ายของการต่อเวลาที่ Jersey Dudek ดับเบิ้ลเซฟลูกโหม่งและลูกซ้ำระยะจ่อๆของ Andriy Shevchenko ไว้ได้อย่างเหลือเชื่อจนผมเองมั่นใจเลยว่าถ้าลูกแบบนี้เรายังไม่เสียประตูเกมคืนนี้เราจะชนะ และช่วงบีบหัวใจที่สุดก็มาถึงในการดวลจุดโทษและนี่คงไม่ใช่วันของยอดศูนย์หน้าชาวยูเครนจริงๆเมื่อเขาไม่สามารถยิงผ่านมือ Dudek ในการยิงเป็นคนสุดท้ายของ AC Milan ทำให้ Liverpool คว้าแชมป์ Uefa Champion League กับสุดยอดปาฏิหารย์ในปี 2005 ณ กรุงอิสตันบูลไปได้ในที่สุด





นับเป็นเวลากว่า 14 ปีในการได้เฉลิมฉลองถ้วยหูโตใบใหญ่สัญลักษณ์ของการได้เป็นเจ้ายุโรปอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่ารูปที่มุมภาพ บรรยากาศแทบจะเหมือนกันทุกประการกับใช้เวลาห่างกันกว่าทศวรรษ จากนี้ก็เหลืออีกแค่ถ้วยเดียวแล้วที่เรายังไม่เคยได้สัมผัส ที่ฤดูกาลนี้เราแพ้แชมป์ไปแค่แต้มเดียวเท่านั้น หวังว่าช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2020 ผมจะได้มีโอกาสมาตั้งกระทู้ "30 ปีที่รอคอย" เป็นกระทู้ยาวๆแบบนี้บ้างนะ เชียร์ไปด้วยกันครับผม You'll Never Walk Alone

ปล.ขอขอบคุณทุกคนมากที่อ่านมาถึงตรงนี้
หากมีข้อความและข้อมูลผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับผม
แก้ไขล่าสุดโดย SudsoiFC เมื่อ Mon Jun 10, 2019 16:03, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
นักบอลไทยพรีเมียร์ลีก
Status: Exclusive Member
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 3355
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 11:35
Top Comment [RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
ถ้วยครั้งนี้มันพิเศษมาก เพราะมันส่งผลต่ออะไรหลายอย่างจริงๆ

- ผิดหวังจากนัดชิงปีก่อน ซึ่งอาจจะเป็นแผลเป็นในใจ กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับแก้ไขอีก
- ผิดหวังจากความพยายามในการไล่ล่า EPL ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเฉียดมาหลายครั้งแต่ก็พลาดหมด และครั้งนี้คือ 97 แต้ม + ดาวซัลโว + ถุงมือทองคำ + PFA มีทุกอย่างแต่ขาดแค่ถ้วย
- ความพยายามครั้งที่ 7 ของ Klopp ลองคิดดูสภาพจิตใจของคนที่พ่ายแพ้นัดชิงมา 6 ครั้งรวด

ถ้วย UCL ใบเดียว ลบความผิดหวัง ความกลัว และรอยแผลในอดีตได้ทั้งหมด
ถ้าคุณไม่เป็น The Kop คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า
วินาทีที่ชูถ้วย หัวใจเรามันพองโตขนาดไหน ❤️

จากทีมที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร มาสู่ยุคตกต่ำจนเกือบล้มละลาย
ผ่านร้อน ผ่านหนาว และลุกขึ้นสู้จนวันนี้ได้

กูรักมึงหว่ะ
Liverpool

แก้ไขล่าสุดโดย Lordphoenix เมื่อ Mon Jun 10, 2019 21:46, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ออฟไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Sep 2017
ตอบ: 16957
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 10:32
14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด
ขนลุกครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ผู้จัดการทีมชาติ
Status:
: 3 ใบ : 1 ใบ
เข้าร่วม: 13 Mar 2018
ตอบ: 41294
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 10:35
ถูกแบนแล้ว
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
Tumurin พิมพ์ว่า:
ขนลุกครับ  


เพราะซาบซึ้งกินใจ ?
3
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 03 Mar 2019
ตอบ: 958
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 10:37
ถูกแบนแล้ว
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
ลิเวอร์กะถ้วยนี้ถูกโฉลกกันจริงๆ
เชื่อว่าปีต่อๆไปก็ต้องไปอย่างน้อยรอบ8หรือรอบรอง ได้ตลอดๆแน่
ผิดกับบางทีม ไม่เคยถูกกะถ้วยยุโรปเลย ไปเล่นก็ตกแต่รอบ16 เดี๋ยวนี้เลยไม่ไปเล่นเลย 555
6
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งลีกเอิง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Jan 2014
ตอบ: 8924
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 10:39
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
Cafe1n พิมพ์ว่า:
Tumurin พิมพ์ว่า:
ขนลุกครับ  


เพราะซาบซึ้งกินใจ ?  


ว่าจะมาชงเองไม่ทันแล้ว 5555
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งลีกเอิง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Jan 2014
ตอบ: 8924
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 10:41
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
iceicezz พิมพ์ว่า:
ลิเวอร์กะถ้วยนี้ถูกโฉลกกันจริงๆ
เชื่อว่าปีต่อๆไปก็ต้องไปอย่างน้อยรอบ8หรือรอบรอง ได้ตลอดๆแน่
ผิดกับบางทีม ไม่เคยถูกกะถ้วยยุโรปเลย ไปเล่นก็ตกแต่รอบ16 เดี๋ยวนี้เลยไม่ไปเล่นเลย 555  


ตอนแรกผมนึกว่าแฟนหงส์คอมเมนต์กำลังจะบอกเลยว่าอย่าหางานได้ไหม

พอดูรูป....ขอให้อาร์เซนอลกลับมาเป็นอาร์เซนอลอย่างที่ควรจะเป็นโดยเร็วครับผม
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Jun 2018
ตอบ: 876
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 10:48
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
iceicezz พิมพ์ว่า:
ลิเวอร์กะถ้วยนี้ถูกโฉลกกันจริงๆ
เชื่อว่าปีต่อๆไปก็ต้องไปอย่างน้อยรอบ8หรือรอบรอง ได้ตลอดๆแน่
ผิดกับบางทีม ไม่เคยถูกกะถ้วยยุโรปเลย ไปเล่นก็ตกแต่รอบ16 เดี๋ยวนี้เลยไม่ไปเล่นเลย 555  


ทีมอะไรครับน่าสงสารจัง
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งดัทช์ลีก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Sep 2017
ตอบ: 15626
ที่อยู่: รากมะม่วง
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 10:54
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
iceicezz พิมพ์ว่า:
ลิเวอร์กะถ้วยนี้ถูกโฉลกกันจริงๆ
เชื่อว่าปีต่อๆไปก็ต้องไปอย่างน้อยรอบ8หรือรอบรอง ได้ตลอดๆแน่
ผิดกับบางทีม ไม่เคยถูกกะถ้วยยุโรปเลย ไปเล่นก็ตกแต่รอบ16 เดี๋ยวนี้เลยไม่ไปเล่นเลย 555  


เออจริงด้วยแหะ เมื่อก่อนก็แอบติดตามน่อลบ่อยอยู่นะ (ไอทีวี ช่อง3 ชอบถ่ายน่อล บอล UCL)

ไปได้ไม่ไกลจริงๆนั้นแหละ ขนาดยุคฟูลทีมทั้ง วิเอร่า อองรี เบิร์กแคม มีไปไกลสุดก็ที่ชิงกับ บาร์ซ่า นัดนั้นผมอุตสาห์เชียร์โคตรเฟล

แอมโบเนียทำพิษ

แต่ชอบตอนเจออินเตอร์โคตรสุด ผมมีโอกาสได้ดูทั้งสองนัดเลย สะใจ

แก้ไขล่าสุดโดย วัยรุ่น 90's เมื่อ Mon Jun 10, 2019 10:57, ทั้งหมด 1 ครั้ง
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออนไลน์
ผู้ช่วยแมวมอง
Status: You only Live once
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 May 2011
ตอบ: 26454
ที่อยู่: Spion Kop
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 11:14
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
iceicezz พิมพ์ว่า:
ลิเวอร์กะถ้วยนี้ถูกโฉลกกันจริงๆ
เชื่อว่าปีต่อๆไปก็ต้องไปอย่างน้อยรอบ8หรือรอบรอง ได้ตลอดๆแน่
ผิดกับบางทีม ไม่เคยถูกกะถ้วยยุโรปเลย ไปเล่นก็ตกแต่รอบ16 เดี๋ยวนี้เลยไม่ไปเล่นเลย 555  


ปี 06 โคตรน่าได้แชมป์เลย

ถ้า 11 คนเท่ากันน่าจะสนุกกว่านี้ แต่ตอนนั้นโรนัลดินโญเอย เดโก้เอย เอโต้เอย มันเหลือกินจริงๆ
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
I choose to live, not just exist.


ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 3016
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 11:27
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
ความแข็งแกร่งในการเล่นในบ้านคือจุดแข็งของหงส์แดงทุกยุคทุกสมัย จนมีป้ายข่มขู่ผู้มาเยือน "this is anfield" บวกกับเสียงเชียร์แฟนบอลทำให้บรรยากาศ "European nights"
ใครมาเยือนก็เล่นลำบาก
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลไทยพรีเมียร์ลีก
Status: Exclusive Member
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 3355
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 11:35
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
ถ้วยครั้งนี้มันพิเศษมาก เพราะมันส่งผลต่ออะไรหลายอย่างจริงๆ

- ผิดหวังจากนัดชิงปีก่อน ซึ่งอาจจะเป็นแผลเป็นในใจ กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับแก้ไขอีก
- ผิดหวังจากความพยายามในการไล่ล่า EPL ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเฉียดมาหลายครั้งแต่ก็พลาดหมด และครั้งนี้คือ 97 แต้ม + ดาวซัลโว + ถุงมือทองคำ + PFA มีทุกอย่างแต่ขาดแค่ถ้วย
- ความพยายามครั้งที่ 7 ของ Klopp ลองคิดดูสภาพจิตใจของคนที่พ่ายแพ้นัดชิงมา 6 ครั้งรวด

ถ้วย UCL ใบเดียว ลบความผิดหวัง ความกลัว และรอยแผลในอดีตได้ทั้งหมด
ถ้าคุณไม่เป็น The Kop คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า
วินาทีที่ชูถ้วย หัวใจเรามันพองโตขนาดไหน ❤️

จากทีมที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร มาสู่ยุคตกต่ำจนเกือบล้มละลาย
ผ่านร้อน ผ่านหนาว และลุกขึ้นสู้จนวันนี้ได้

กูรักมึงหว่ะ
Liverpool

แก้ไขล่าสุดโดย Lordphoenix เมื่อ Mon Jun 10, 2019 21:46, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 03 Mar 2019
ตอบ: 958
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 11:49
ถูกแบนแล้ว
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
วัยรุ่น 90's พิมพ์ว่า:
iceicezz พิมพ์ว่า:
ลิเวอร์กะถ้วยนี้ถูกโฉลกกันจริงๆ
เชื่อว่าปีต่อๆไปก็ต้องไปอย่างน้อยรอบ8หรือรอบรอง ได้ตลอดๆแน่
ผิดกับบางทีม ไม่เคยถูกกะถ้วยยุโรปเลย ไปเล่นก็ตกแต่รอบ16 เดี๋ยวนี้เลยไม่ไปเล่นเลย 555  


เออจริงด้วยแหะ เมื่อก่อนก็แอบติดตามน่อลบ่อยอยู่นะ (ไอทีวี ช่อง3 ชอบถ่ายน่อล บอล UCL)

ไปได้ไม่ไกลจริงๆนั้นแหละ ขนาดยุคฟูลทีมทั้ง วิเอร่า อองรี เบิร์กแคม มีไปไกลสุดก็ที่ชิงกับ บาร์ซ่า นัดนั้นผมอุตสาห์เชียร์โคตรเฟล

แอมโบเนียทำพิษ

แต่ชอบตอนเจออินเตอร์โคตรสุด ผมมีโอกาสได้ดูทั้งสองนัดเลย สะใจ

 

นัดนี้อย่างมันส์
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 03 Mar 2019
ตอบ: 958
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 11:51
ถูกแบนแล้ว
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
Radiant พิมพ์ว่า:
iceicezz พิมพ์ว่า:
ลิเวอร์กะถ้วยนี้ถูกโฉลกกันจริงๆ
เชื่อว่าปีต่อๆไปก็ต้องไปอย่างน้อยรอบ8หรือรอบรอง ได้ตลอดๆแน่
ผิดกับบางทีม ไม่เคยถูกกะถ้วยยุโรปเลย ไปเล่นก็ตกแต่รอบ16 เดี๋ยวนี้เลยไม่ไปเล่นเลย 555  


ปี 06 โคตรน่าได้แชมป์เลย

ถ้า 11 คนเท่ากันน่าจะสนุกกว่านี้ แต่ตอนนั้นโรนัลดินโญเอย เดโก้เอย เอโต้เอย มันเหลือกินจริงๆ  

นิดเดียวจริงๆอะ โค่ดเสียดาย ไม่งั้นถ้าได้มาสักครั้งก็เป็นไทแล้วววว
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: อยากไปหา ตอนนี้เลย!
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 17505
ที่อยู่: ทุกที่ที่มีเธอ
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 11:58
[RE: 14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด]
เหมือนโดนตอกย้ำ แมตช์นั้นโดนนำ3-0 ผมเลิกดู กลับบ้านนอนเลย
เช้ามาเพื่อนบอกไม่ดีใจเหรอว่ะ? แชมป์นะเว้ย
ผมยังเถียง เอ็งอย่ามาอำข้า ข้าไม่เชื่อ
ต้องได้เห็น ss สมัยนั้น สยามกีฬาสตาร์ซอคเกอร์
ถึงได้เชื่อ 555 เอ๊ย 666
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
Dave Grohl NIRVANA (1990–1994)
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 30 Jan 2011
ตอบ: 7587
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Jun 10, 2019 12:01
[RE]14 ปีที่รอคอยจากอิสตันบูลสู่มาดริด
แฟนหงส์ให้กำลังใจกันครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
i mania
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel