ได้คำตอบแล้วนะครับว่าถ้าจะผ่อนไหวหรือไม่ไหว

พอมีรถแล้วมันไม่ได้มีแค่ผ่อนรถอย่างเดียวนะครับ

เอาค่าน้ำมันเฉลี่ยปีนึง + ค่าบำรุงรักษา + ประกันรถ(เก็บไว้ของปีหน้า)
ลองหาร 12 ดูครับ

อย่างผมนอกจากค่าผ่อนรถ ก็มีค่าพวกนี้เพิ่มเดือนละ 5 พัน

ท่านอยู่ที่บ้านใช่มั้ยไม่มีพวกค่าที่จอดไรเนอะ เหมือนผ่อนรถแต่ไม่ค่อยใช้เพราะยังนั่ง bts อยู่ผมว่าไหวนะ หางานเสริมนิดหน่อย สอนพิเศษไรก็ได้

ตึงอยู่นะ ค่าประกัน พรบ ประจำปี น้ำมันรายเดือน ค่าบำรุงรักษา ค่าที่จอด รายจ่ายแฝงเยอะมาก 55555 ผมผ่อน 6500 ยังตึงๆเลย

อย่าลืมค่าน้ำมัน ค่าเข้าศูนย์ ด้วยนะครับ

แสดงว่าอยู่ กทม. ใช่มั้ยครับ เห็นมีค่า bts
ผมไม่รู้ว่าค่าครองชีพมันเป็นยังไง
ถ้าต่างจังหวัดผมว่าไหวนะกับเงินเดือน 24,000 ผ่อนรถ 7,800

เพราะผมออกรถตอนเงินเดือนประมาณนั้นแหละ
แต่ผมดาวน์เยอะผ่อนน้อย 5 ปี
มีเงินติดบัญชีอีก เกือบๆ 2 แสนเอาไว้ใช้ฉุกเฉิน

ต่อเดือน (ขับรถไปทำงาน + ผมอยู่บ้าน)
25000
-ค่าน้ำมัน 3000
-ค่าผ่อนรถ 10500
-ให้แม่ 5000
-ค่ามือถือค่าเน็ตค่าแพ็คเกจต่างๆ 2000

ที่เหลือก็เก็บไว้กิน เที่ยว เดือนไหนเหลือจะเอาไปเก็บ แล้วใช้เงินเดือนใหม่เลย

อันตรายมั้ย? คำถามตรงนี้
จะอันตรายก็ต่อเมื่อมีค่าซ่อมแซมครับ เข้าศูนย์ เปลี่ยนยาง หรืออะไรก็ตามแต่
จะฝืดสุดๆ ถ้าไม่มีเงินสำรองเลย

นี่คือยังไม่รวมค่าประกัน ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษารถอีกนะ

อยู่ได้มั้ยมันก็อยู่ได้ แต่บอกเลยว่าเหนื่อย เงินเก็บคุณจะไม่มีเลย สามสี่ปี

แล้วซื้อรถมา 6 เดือนเข้าศูนย์ทีหลักพัน ปีแรกอาจจะน้อยหน่อย พอปีที่สองปีที่สามมีเฉียดๆ 5000 ไหนจะต่อประกันอีกปีละเป็นหมื่น

ผมกับคุณเงินเดือน พอๆ กัน นะ
ของผมค่ารถ 6,666 บ.
ค่าน้ำมัน. 2,000 บ./เดือน
ค่าเช่าห้อง. 5500 บ.
ทุกวันนี้ เหลือใช้ กินข้าว กันล่ะ 80 บ./วัน ครับ
เอาจิงๆ ถ้าเป็นคนกิเลส ไม่เยอะ ก็พอไหวนะครับ
แต่ถ้าเป็นคน อยากได้อะไรก็ซื้อ ตายแน่นอน !!!

ก็หวังว่าปีที่ 2 ขึ้นปีที่ 3

ตำแหน่งจะเลื่อนขึ้น เงินเดือนจะดีขึ้นแหละครับ

เป็นการกดดันให้ตัวเองทำงานให้ดีด้วย จะได้เงินเดือนเพิ่มเร็วๆ 55

ผมแนะนำนะว่าผ่อนไหวไม่ไหว ลองเก็บเงินส่วนที่จะผ่อนไว้ 1 ปีดูสิว่าไหวไหม

สมมุติผ่อน 7000 บาทลองกันเงินส่วนนี้ไว้สัก 1 ปีโดนไม่ยุ่งเงินส่วนนี้ก็ไหว

แล้วเอาเงินเก็บ 1 ปีเป็นเพิ่มเงินดาวไปหรือเก็บเป็นค่าซ่อมบำรุงก็ได้ รถ 5 ปีแรกค่าซ่อมบำรุงไม่แพงหรอก จะไปหนักตอนทุก 40 KM ครับเปลี่ยนของเหลวทั้งหมดครับ

พอดีขั้น max ไม่เกิน 30% ของเงินเดือน ผมว่าไม่อันตรายนะ

ของผมก็เกือบ 30% ของเงินเดือน แต่ผมเงินเดือนเยอะกว่าพอสมควร

เลยดูเหลือใช้ต่อเดือนหารเป็นวันยังเยอะอยู่ พอมีกิน มีเก็บบ้าง

ถ้ามีวินัยในการใช้จ่ายเงิน ผมว่ามันได้หมดเเหละ ความจำเป็นในชีวิตเเต่ละคนมันไม่เท่ากัน ถ้าการมีรถมันจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้มาก หรือเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยทำให้หารายได้ได้เพิ่มเติม มันก็ถือว่าคุ้มค่าล่ะครับ เเต่ก็ต้องเเลกกับการที่จะต้องตัดสิ่งอื่นๆออกไปเกือบทั้งหมด รวมไปถึงอาจจะต้องยอมไม่เหลือเงินเก็บเลยในช่วงที่ผ่อนรถ การหารายได้เพิ่มเติมก็น่าจะเป็นอีกทางเลือก

เเต่อย่างที่หลายๆคอมเม้นว่ามา มีรถเเล้วต้องเผื่อค่าใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆที่จะตามมาด้วยนะครับ อย่างผมเองตอนนี้ก็ผ่อนรถอยู่ รถรุ่นมหาชนทั่วไป ฮอนด้า รุ่นเเจ๊สตัวกลาง เดือนละเบ็ดเสร็จประมาณ 8,000 เเต่ผมเลือกดาวน์เยอะหน่อยเเละผ่อนเเค่สี่ปี จะมีค่าน้ำมันอีกราวๆเดือนละ 3,000+- มีค่าประกันรถเมื่อหาร 12 เดือน อีกตกเดือนละ พันกว่าบาท (เเต่จะเริ่มจ่ายปีที่สองที่ผ่อนรถ เพราะปีเเรกประกันฟรี) เช็คระยะทุก 10,000 กม. หรือทุก 6 เดือน ก็เท่ากับปีละ สองครั้ง ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนปีของรถ ผมตีกลมๆเฉลี่ย 4 ปีเเรก ตกเดือนละพันเลย สรุปเเล้วเฉพาะค่าใช้จ่ายตลอด 4 ปีที่ผ่อนรถของผมจะตกเดือนละประมาณ 8,000 + 3,000 + 1,000 + 1,000 = 13,000 / เดือน

ซึ่งของผมเองผมไหวที่เท่านี้ เพราะหลังหักค่าใช้จ่ายอื่นๆประจำวันเเละให้ที่บ้านเเล้ว ผมจะยังมีเงินเก็บอยู่บ้าง ไม่ถึงกับตึงมือเกินไปไว้เผื่อต้องมีอะไรฉุกเฉินต้องใช้ตังด่วนผมก็ยังจะมีไว้รองรับได้ในระดับนึง ก้ต้องอย่าลืมเอามาคิดประเมินในการใช้จ่ายต่างๆด้วยนะครับ

คือถ้าเป็นผ่อนบ้านอยู่เอง จะแนะนำให้ผ่อนไป ตึงหน่อยแต่น่าจะไหว

แต่พอเป็นผ่อนรถ มันดูเป็นภาระเต็มๆ และยังมีค่าใช้จ่ายแฝงที่จะมาอีกเยอะ ผมว่าไม่ควรนะครับ แต่ถ้าจัดมาแล้ว ก็วางแผนดีๆ ครับ

เดือนชนเดือน​ ก็ต้องระวังครับ