เมสซี, ดรอกบา, โรนัลโด้, อองรี, โรนัลดินโญ่, เครสโป, เอโต้, โซล่า, อาเดรียโน่, แกเรต เบล เหล่านี้คือยอดกองหน้าที่
ไอเดอร์ กุดยอนเซ่น เคยเล่นด้วยในอาชีพค้าแข้ง 22 ปี ซึ่งนักเตะเหล่านี้กลับไม่ใช่คนที่เขาชื่นชอบ แล้วใครละ ???
เขาเลือก
จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลแบงก์
ทั้งคู่เข้าสู่รั้วเดอะบริดจ์เมื่อปี 2000 และเข้ากันได้อย่างลงตัวในเวลารวดเร็วทั้งในและนอกสนาม เปรียบเหมือนน้ำแข็งและไฟ ถ้าจิมมีเป็นหยิน กุ๊ดก็คงเป็นหยาง
“เคมีของเราเข้ากันได้ดี”
“เราเคารพซึ่งกันและกัน เราส่งเสริมกัน ผมรู้สึกดีที่ได้มอบเป้าหมาย (ส่งบอล) ให้เขา” กุ๊ดเล่า
บุคลิกและความสำเร็จที่ดูเหมือนจะไม่น่าเป็นไปได้ระหว่างผู้เล่นสองคน แต่ด้วยลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกันและพื้นที่ใกล้เคียงกันในสนาม จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะเข้าขากัน
ถ้านึกไม่ออกก็ลองดู Carlos Tevez กับ Wayne Rooney เป็นตัวอย่าง
กุ๊ดที่มีสไตล์เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง การเคลื่อนที่พลิ้วไหวอย่างเป็นธรรมชาติ และมีทักษะจ่ายบอลที่ยอดเยี่ยม ส่วนจิมมีแน่นอนด้วยความร้อนแรงยังกับ FIRE เขามีดีด้านสรีระ ความเด็ดเดี่ยว และที่ฉมังสุดคงเป็นเท้าขวาสายฟ้าฟาด เมื่อจับคู่กัน จิมมีก็ทำประตูได้มากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากคู่หูที่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างกุ๊ด เหมือนกับท่อนหนึ่งของเพลง Not Perfect ที่ว่า “every answer that you find is the basis of a brand new cliché” ของ Tim Minchin
ทั้งสองคนเคยมีความเกี่ยวโยงกับเชลซี
จิมมีได้บอกปัดการย้ายไปสิงห์บลูตอนปี 1999
ส่วนกุ๊ดนั้นเคยได้เสื้อของวิอัลลีซึ่งได้รับต่อจากพ่อมาอีกที พ่อของกุ๊ดเล่นให้อันเดอร์เลชในนัดชิงชนะเลิศกับซามโดเลียในปี 1990 โดยลาซามป์ชนะไป 2-0 และพ่อเขาก็ได้แลกเสื้อกับจิอันลูกา วิอัลลี ผู้ทำประตุชัยในนัดนั้น และนี่ก็ทำให้วิอัลลีเป็นไอดอลของกุ๊ดเมื่อวัยเด็ก จึงไม่แปลกที่เขาจะเข้ามาอยู่ที่เดอะบริดจ์ตามรอยไอดอลอย่างไม่ลังเล
กุ๊ดย้ายจากโบลตันมาด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่จิมมีตกลงค่าตัวกับเดอะบลูส์ได้ราวๆ 15 ล้านปอนด์ (ตอนนั้นตราหมีจะเอา 17 ล้าน) โดยพวกเขาได้เข้ามาประสานกับโซล่าและอังเดร โฟล และเป็นตัวแทนของคริส ซัตตันที่ย้ายออกไปเซลติก
“ชายชาวดัตช์ผิวดำกับหนุ่มผมทอง มันดูต่างใช่ไหมละ แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันต่างเลยแฮะ” ซึ่งคำพูดของจิมมีก็ตรงกับกุ๊ด
“ผมกับเขามีวิธีการเล่นต่างกันนะ แต่ถ้าอยู่ในสนามแล้วละก็มันกลมกล่อมทีเดียว”
จิมมีเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างรวดเร็วเมื่อเขายิงประตูได้ในการแข่ง Charity Shield ที่พบกับยูไนเต็ด และนัดเปิดสนามกับเวสต์แฮม โดยมีกุ๊ดคอยสนับสนุนอยู่เรื่อยๆ เรือยๆ และเรือยๆ
เรื่องนี้การันตีได้จากคำพูดของ David Speedie “ทั้งคู่มีสไตล์เล่นคล้ายผมกับ Kerry Dixon เป็นคู่ที่ร้ายกาจโดยไม่ต้องสงสัยเลย จิมมียิงรุนแรงกว่า ส่วนกุ๊ดก็มีคุณสมบัติรอบด้านเช่นกัน”
พวกเขาทั้งคู่สร้างความลำบากให้คู่แข่ง เล่นกันได้ดีมากขึ้น ทั้งการทำชิ่ง การเข้าทำที่รวดเร็ว เคมีมันเข้ากันได้ชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่เชื่อก็ไปดูเกมที่ชนะแมนยูได้ถึงถิ่นในปี 2001 สิ
โดยหลังเกมนั้น เซอร์ได้บอกกับลูกทีมว่า คู่ปรับจากลอนดอนน่ะ ไม่มีอะไรจะมาทัดเทียมเราได้ แต่..... ทุกๆ คนในทีมรู้ว่า มันคือคำปลอบใจของเฮดโค้ช ที่เขารู้อยู่เต็มอกว่า เจ้าน้ำแข็งและไฟนี้แหละจะยกระดับเชลซีขึ้นมาทาบทีมของเขาได้
จากนั้นไม่นาน สิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมลอนดอนตะวันตกก็ดูจะเข้าทางไปหมด โดยช่วงเวลาที่รุ่งเรืองของน้ำแข็งและไฟคือปี 2002/03 พวกเขายิงรวมกันได้ 25 ประตู และยึดหัวตารางไปถ้วยยุโรปได้สำเร็จ แต่ใครจะรู้ว่า อุปสรรคกำลังเยื้องย่างเข้ามาแบบช้าๆ เริ่มจากการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายของจิมมี ตามมาด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีของทั้งคู่กับโค้ช “อ่อนภาษา” เคลาดิโอ รานิเอรี
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ถูกใส่ไข่เพราะทั้งคู่ได้ออกมาบอกหลังจากที่แขวนเกือกแล้วว่าไม่ชอบสไตล์การฝึกซ้อมแนวๆ อิตาลีและการหมุนเวียนกองหน้า “เหมือนเขากำลังทดสอบความรู้สึกของผมกับเขา ซึ่งผมก็ไม่ได้บ่นเรื่องนี้กับเขาหรอก แต่มันน่าหงุดหงิดมากนะ เพราะมันเหมือนผมไม่ได้รับความเชื่อใจจากเขาเลย ผมควรได้รับมัน”
และเมื่อการเข้ามาของเครสโป ทำให้ตอนนั้นเชลซีมีกองหน้าถึง 4 คน คือ กุ๊ด ฮัสเซลแบงก์ โซล่า และเครสโป แน่นอนรานิเอรีสลับกองหน้าลงอย่างต่อเนื่อง ทีมเริ่มแย่ จนเขาได้รับฉายา Tinkerman (คนคิดมาก) และนี่คือจุดจบของ The Fire & Ice
จากนั้นจิมมีก็เกือบจะได้ย้ายไปร่วมงานกับฟาน ฮาล ในทีมบาซ่า แต่ข้อเสนอต้องก็ถูกเขี่ยทิ้งไป เพราะชายชื่อ รานิเอรี เช่นเคย “มันยังห่างไกล มันมีแค่การพูด พูด และพูด ถ้าบาซ่าต้องการเขา ง่ายเลยๆ แค่เดินเข้ามาและจ่ายเงินให้ผม”
และมันก็เหมือนเรื่องราวที่บทมันเขียนเอาไว้ กุ๊ดได้ย้ายไปแคมป์นูในปี 2006 ส่วนจิมมีย้ายจากโบโร่ไปชาร์ลตัน
--------------------------------------------------------------
ในช่วงปีสุดท้ายของทั้งคู่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่เดอะบริดจ์ ก่อนที่ฮัสเซลแบงก์จะย้ายออกไป ด้วยความไม่ลงรอยกับผู้จัดการทีม เสี่ยหมี “โรมัน อบราโมวิช” ก็เข้ามาซื้อสโมสร และพาทีมก้าวเข้ามายืนหยัดเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษและยุโรป ซึ่งมีคู่หูน้ำแข็งและไฟเป็นผู้วางรากฐาน
ในปีนั้นพวกเขาได้ที่ 2 และได้ไปเล่น UCL แต่มันก็ไม่พอจะยื้อชะตาของรานิเอรีในเดอะบริดจ์ ไม่นานนักพวกเขาก็นำเข้าโค้ชใหม่ไฟแรงอย่างมูริญโญ่ และฮัสเซลแบงก์ก็กลายเป็นส่วนเกินของทีมทันที
“เขาคิดเอาเอง ผมเห็นเขาที่สนามซ้อม แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับผม ตอนนั้นผมอยากจะบอกเขาว่า ผมทำอะไรให้คุณได้มากกว่าที่คุณคิดนะ” จิมมีเสียใจที่ไม่ได้รับโอกาส
จากนั้นเขาก็ย้ายไปเล่นคู่กับวิดูก้าที่โบโร่ จากสิงห์น้ำเงินมุ่งสู่สิงห์แดง โดยมีผู้คุมบังเหียนเป็น สตีฟ แมคคลาเรน โดยที่อีกฝั่งก็ไม่รอช้าจัดดรอกบากับเคซมันเข้ามาแทนที่ทันที
“หลายเดือนต่อมาผมได้คุยกับโชเซ่ เขาบอกว่า เขาน่าจะเก็บผมไว้ แล้วไงล่ะ !!!”
ส่วนเจ้าน้ำแข็งกลับกลายเป็นที่รักของ “Special One” เขาเล่นได้โดเด่นจนกลายเป็นที่หมายปองของมหาเศรษฐีจากแคว้นคาตาโลเนียในสเปน และแล้วสินสอดจำนวน 8 ล้านปอนด์ก็ถูกใส่ห่อมาวาง
นับตั้งแต่ออกจากเชลซี ทั้งคู่ได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเป็นคู่หูที่เชลซีเป็นอะไรที่สนุกที่สุด แม้จะได้เล่นคู่กับกองหน้าระดับโลกมากมาย
จนถึงวันนี้พวกเขาก็จะยังคงถูกล่าวถึงในฐานะคู่กองหน้าที่แฟนเชลซียกย่อง
Spoil
https://thesefootballtimes.co/2018/08/29/the-fire-and-ice-of-jimmy-floyd-hasselbaink-and-eidur-gudjohnsen/
แปลไม่เก่งนะครับ แค่ชื่นชอบกองหน้าสองคนนี้เลยแปลมาให้อ่านกัน
ผิดถูกยังไงชี้แนะด้วย