เมื่อเรามีอาการปวดท้อง พ่อหรือแม่ จะพาไปหาหมอ
หมอจะถามอาการต่างๆ และตรวจดู เสร็จแล้ว
หมอจะให้ยามารับประทาน พร้อมทั้งแนะนำ
เรื่องอาหารและการพักผ่อน การรักษาแบบนี้
เรียกว่า การรักษาทางอายุกรรม
แต่ถ้าเมื่อเอายาไปรับประทาน และปฏิบัติตัว
ตามที่หมอสั่งแล้ว อาการปวดท้องกลับเป็นมากขึ้น
มีคลื่นไส้ อาเจียน พ่อหรือแม่ จึงพามาให้หมอดูอีก
ตามที่สั่งเอาไว้ คราวนี้หมอตรวจใหม่และบอกว่า
สงสัยจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ต้องผ่าตัดเอาออก
การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคนี้ เรียกว่า การรักษาทางศัลยกรรม
ความรู้ทางศัลยกรรมเรียกว่า วิชาศัลยศาสตร์
.
วันนี้จะนำวิธีการ ศัลยศาสตร์ รักษาโรคชนิดหนึ่ง
มานำเสนอ ซึ่งวิธีนี้ เป็นการรักษาเมื่อนานมาแล้ว
ไม่ใช้นานธรรมดา แต่นานถึงหลายพันปี
และวิธีการรักษาก็โหดด้วย แต่น่าเหลือเชื่อ
วิธีการนี้ปัจจุบัน ยังอุตส่าห์นำมาใช้กับแพทย์สมัยอีก
.
วิธีการนี้เรียกว่า เทรพเพนเนชั่น ( Trepanation )
.
เทรพเพนเนชั่น เป็นวิธีการรักษา
โดยการเจาะกะโหลกเป็นรูกลม โดยใช้เครื่องมือเจาะ
ที่มีความแม่นยำสูง ทึ่เรียกว่า....
ค็อตแมน เครเนี่ยล เพอร์ฟอร์เรเตอร์
(Codman Cranial Perfator)
ซึ่งเครื่องมือไฮเทคนี้ จะปิดรูกะโหลก โดยอัตโนมัติ
หลังจากที่ทำการเจาะเข้าไป เพื่อทำการรักษาแล้ว
.
ความจริงวิธีการเจาะกะโหลกแบบนี้ มีมาตั้งนานแล้ว
ทั้งในยุโรปเอเชียและชาวอินเดียนแดง ในยุคหินใหม่
เมื่อ 7,000 ปีที่แล้ว มีหลักฐาน พบการใช้เครื่องมือโบราณ
เพื่อเจาะกะโหลกศรีษะ ทั้งสองข้างให้เป็นรู
ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า trepanation
หลักฐานยืนยัน จากการขุดพบโครงกระดูก
ว่า มีการผ่าตัดกะโหลกศีรษะที่เรียกว่า การเจาะกะโหลก
ซึ่งกระทำโดยการ เจาะรูเข้าไปในกระดูกหุ้มสมอง
การศึกษายังพบอีกว่า ผู้ป่วยบางคน
สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายปี หลังจากการเจาะกะโหลก
.
สำหรับในประเทศไทย เท่าที่มีการศึกษา
โครงกระดูกหลายแห่ง เช่น....
การศึกษาของศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร
พบว่า ที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี
พบร่องรอยของกระโหลก ที่มีการถูกเจาะ (Trepanation)
โรคกระโหลกหนา ที่เกิดจาก
คนเป็นโรคธาลาสเสเมีย (Thalassemia)
.
สำหรับการเจาะกะโหลกนั้น ในสมัยก่อน
มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป ในแต่ละท้องถิ่น
เช่น จุดประสงค์เพื่อการรักษาชีวิต
ชาวอินเดียนแดงเมื่อกว่า 3000 ปี มาแล้ว
มีร่องรอยของการเจาะกะโหลก สันนิษฐานว่า
เพื่อรักษาโรคปวดหัว ลมชัก หรือเสียสติในสมัยนั้น
มีความเชื่อว่า การทำเช่นนี้ จะสามารถ
รักษาอาการปวดหัวและความผิดปกติ ประเภทต่างๆ
นอกจากนั้นการเจาะกะโหลกบางครั้ง
อาจกระทำด้วยเหตุผล ทางความเชื่อและศาสนา
เนื่องจากเชื่อว่า รูที่กะโหลกนี้ จะเป็นช่องทาง
ปลดปล่อยวิญญาณร้าย ออกจากร่างกายผู้ป่วยด้วย
.
ตัวอย่างการเจาะกะโหลกในสมัยปัจจุบันก็เช่น
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 52 นายแพทย์เดวิด ไทแนน
และนายแพทย์ร็อบ คาร์สัน แพทย์ประจำ
โรงพยาบาลในเมืองแมรีเบอโรห์ เมืองเล็กๆ
ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเมลเบิร์น
ได้ตัดสินใจ ใช้สว่านบ้านเจาะกะโหลกศีรษะ
เด็กชายนิค วัย 13 ขวบ ที่ประสบอุบัติเหตุ
ตกจักรยานเพื่อนำเลือดคั่ง ในสมองออก
จนสามารถช่วยชีวิตหนูน้อยเอาไว้ได้
.
ข่าวระบุว่า ก่อนหน้านั้น วันศุกร์ เด็กชายนิค
ขี่จักรยานและเกิดอุบัติเหตุ หัวกระแทกพื้นคอนกรีต
แม้ว่าภายนอก จะดูเหมือนไม่เป็นอะไร
แต่กลับมีอาการเลือดออกในสมอง
โดยนางคาเรน ภรรยาของเขา ตัดสินใจ
พาลูกไปโรงพยาบาลหลังจาก
พบก้อนด้านหลังใบหูของลูกชาย
.
หลังจากนั้นอาการของเด็กชาย ก็แย่ลงเรื่อยๆ
เริ่มหมดสติบ่อยครั้ง จนถึงขั้นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ทำให้แพทย์ 2 คนตัดสินใจเปลี่ยนห้องฉุกเฉิน
ของโรงพยาบาลเป็นห้องผ่าตัด
โดยนายแพทย์ไทแนนกล่าวว่า
หากไม่ทำอะไรเพื่อลดแรงดันในสมองแล้ว
เด็กชายนิคจะต้องเสียชีวิตแน่ๆ แต่แผนกศัลยกรรม
ของโรงพยาบาล ไม่มีสว่านที่มีกำลังพอ
ที่จะเจาะกะโหลกเด็กชาย พวกเขาจึงไปเอา
สว่านจากแผนกซ่อมบำรุงมาใช้แทน
แล้วทำการผ่าตัดโดยรับฟังคำแนะนำ จากศัลยแพทย์
ด้านระบบประสาทในสมอง ที่เมลเบิร์นทางโทรศัพท์ไปด้วย
.
"มันน่ากลัวมาก เพราะคุณจะเอาแต่กังวล
ว่าตัวเองกดสว่านแรงไปหรือเปล่า
แต่เมื่อเลือดทะลักออกมา หลังจากที่คุณเจาะกะโหลก
เข้าไปได้แล้ว เราทั้งคู่ก็ตระหนักว่า
เราตัดสินใจถูกแล้ว" นายแพทย์ไทแนนกล่าว
.
หลังจากที่ต่อท่อ เพื่อนำเลือดออกมา จากสมองแล้ว
เด็กชายนิค ก็ถูกนำตัวขึ้นเครื่อง ไปรักษาต่อ ที่เมิลเบิร์น
แล้วก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
ตรงตามกำหนด ซึ่งเป็นวันเกิดครบ 13 ปีของหนูน้อยพอดี
.
แต่นั้นคือการรักษา แต่คุณเคยเห็น
คนเจาะกะโหลกเล่นๆ ไหมล่ะ ?
.
มีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า กาเจาะกะโหลก
จะเป็นการทำให้ปริมาณเลือด ไหลเวียนเข้าสู่สมอง
เพิ่มมากขึ้นและทำให้ มีสติและนึกคิด เพิ่มขึ้น
หลายเปอร์เซ็นต์ พวกเขาอธิบายตามหลักการแพทย์
ว่าการเจาะกะโหลกศีรษะนั้น มีส่วนทำให้สามารถ
ลดความเครียด และทำให้เส้นเลือด ที่หล่อเลี้ยงสมอง
เดินสะดวกยิ่งขึ้น มีผลทำให้ปริมาณออกซิเจน
และกลูโคส วิ่งเข้าไปพื้นที่สมองมากขึ้น
ทำให้ผู้ที่ได้รับการเจาะสมองนั้น มีความสดชื่น
และเป็นสุขตามไปด้วย โดยไม่มีอาการ
ทางประสาทแต่อย่างใด ... !
.
ชายคนหนึ่งชื่อเล่นว่า “โจ” อดีตนักเรียนอีตัน
(โรงเรียนกินนอนชื่อดังของอังกฤษ)
ไม่รู้อะไรที่นึกสนุกขึ้นมา เมื่อเขาเห็นอุปกรณ์เจาะกะโหลก
ชื่อ เทรเพน(Trepan) เป็นเครื่องเจาะกะโหลก
ที่รูปร่างคล้ายจุกขวดไวน์ มีขายตามร้าน
ขายอุปกรณ์การแพทย์ โดยชิ้นส่วนหลัก
ของเครื่องเจาะนี้ จะมีลักษณะเป็นเดือยโลหะแหลมคม
โดยมีวงแหวน ที่เป็นฟันเลื่อยล้อมรอบอยู่
เมื่อเวลาจะใช้งานก็แทงเจาะเดือยแหลม
(ที่มีฟันเลื่อยวงแหวน)นี้เข้าไปที่กะโหลก
พร้อมกันนั้นต้องจับให้มั่นคงด้วย
.
ขึ้นชื่อว่าหัวของมนุษย์แล้ว ถือได้ว่า
เป็นอวัยวะที่บอบบางที่สุด และรับรู้ความรู้สึก ได้ดีสุด
การเจาะหรือขุดผ่านกระดูกกะโหลก เข้าไป
โดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อสมองได้รับความกระทบสะเทือนนั้น
หรือได้รับความอันตรายนั้น ถือได้ว่า
เป็นความระมัดระวังอย่างสูงยิ่ง
.
เมื่อดันเดือยแหลมลึก เข้าไปจนส่วนที่ฟันเลื่อยนั้น
แตะที่กระดูกกะโหลก ส่วนที่เป็นวงเลื่อย
จะเกาะติดเนื้อกะโหลกและทำให้สามารถ
ดึงแผ่นวงกะโหลกศีรษะออกมาได้
ทำให้เห็นเนื้อสมองเต้นตุบๆ อยู่ภายในอย่างน่าสยอง
.
ในคราวที่โจ ทำการเจาะกะโหลกด้วยตนเองนั้น
เขาถือเข็มฉีดยาและยาสลบอยู่ในมือด้วย
แต่เขาไม่มีแรงพอในการกดเดือยแหลม
เข้ากะโหลกตนเอง เขาเลยต้องมีผู้ช่วย
และก็พบว่าการเจาะกะโหลกของโจ นั้น
ประสบความล้มเหลว เลือดไหลจากรูกะโหลก
มากมายพลุ่งพล่าน ไปทั่วบริเวณ
โจสลบคาที่ ต้องส่งเข้าโรงพยาบาลโดยด่วน
.
โจปลอดภัยในเวลาต่อมา แต่ดูเหมือน
โจ จะไม่สนใจ กับการรอดตายครั้งนี้นัก
ในเวลาต่อมา เขาก็เริ่มพยายาม
เจาะกะโหลกตัวเองอีกครั้ง .... !!!
.
“มันเหมือนมีเสียงอะไรบางอย่าง ที่เร่งเร้า
ให้ผมเจาะกะโหลกตัวเอง ผมจึงดึงเครื่องมือเจาะออกมา
และเริ่มต้นเล่นงาน หัวกะโหลกของผม ตามต้องการ
คราวนี้ผมรู้สึกเหมือนมี ฟองอากาศในสมอง
พากันเต้นอยู่ตุบตับในยามที่ กะโหลกโดนกดดันเรื่อยๆ”
.
“แต่จะว่าไปแล้ว การเจาะครั้งที่สอง
แม้จะไม่เป็นไปตามที่ต้องการ แต่ปลายเครื่องเจาะ
ก็ทะลวงลึก จากปากรูกะโหลก เข้าไปตั้งหนึ่งนิ้ว
และเท่านั้นก็มากพอ ที่จะทำให้เลือดทะลักออกมา
และกระเด็นไปเปรอะเปื้อน กระจกเงา
ที่ผมเตรียมไว้ส่องการ ปฏิบัติการของตนเอง
จนทำให้ผมตะลึงไปเหมือนกัน ผมเห็นรู้สึกดี
ที่มีเลือดพุ่งพล่านออกมา ราวกับน้ำพุตลอดเวลา"
โจพูดถึง ความจริงที่น่าทึ่ง ราวกับว่า
นี้เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง ... !!
.
แต่แล้วการเจาะกะโหลก ครั้งที่สองของโจ
ไม่ประสพความสำเร็จมากนัก เพราะเครื่อง
เจาะไม่ตรงตำแหน่งที่ต้องการ รูที่เจาะได้จึงเล็กเกินไป
.
“การเจาะที่ไม่เหมาะสมครั้งนั้น ทำให้ผมลังเลใจ
ที่จะดำเนินการเจาะครั้งต่อไป ผมกลัวว่า
มันจะเป็นการทำลายเนื้อเยื่อสมอง บอกตามตรง
ถ้าตอนนี้ ผมมีเครื่องเจาะกระโหลกไฟฟ้าละก็
งานเจาะจะง่ายขึ้นเยอะเลย ( เออ ดูมัน จะโหดไปไหน )
.
ในปี 2000 มีข่าวว่ามีชาวอเมริกัน
ทำแบบเดียวกับโจราว 12 คน โดยการไปผ่า
เจาะกะโหลกในเม็กซิโก พวกเขายินยอมจ่าย
การเจาะกะโหลกที่ว่านี้ ถึง 2500 ดอลลาร์ แบบไม่เสียดาย
.
ลิลลี่ บริดจ์ อายุ 28 ปี คือผู้หนึ่ง
ที่เข้ารับการเจาะกะโหลก เพื่อเพิ่มพลังความคิด
เธอไปเจาะกะโหลก ที่เมื่อมอนเทอร์เรย์ เม็กซิโก
เธอกล่าวว่าการเจาะกะโหลกนั้นทำสั้นๆ
แค่ 15 นาทีเท่านั้น เธอบอกว่า ทำเสร็จแล้ว
เหมือนมีเฮลิคอปเตอร์ บินวนอยู่รอบหัว
.
“หนูพอใจกับการเจาะกะโหลกค่ะ
หลังจากเจาะกะโหลกแล้ว หนูรู้สึก
มีพลังความคิดเพิ่มขึ้น” เธอกล่าวส่งท้าย
.
แต่กระนั้นแพทย์แผนปัจจุบัน ต่างออกมาปฏิเสธ
การรักษานี้ เพราะยังไม่มีการยืนยัน
ว่าการเจาะกะโหลก สามารถทำให้ เพิ่มความนึกคิดขึ้น
แพทย์อังกฤษปฏิเสธ ที่จะเจาะกะโหลกให้คนไข้
เพราะว่าการเจาะกะโหลกนั้น อาจส่งผล
ให้มีอาการเสี่ยงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
เส้นเลือดอุดดัน อาการบาดเจ็บทางสมอง
รวมไปถึงอาการไขสมองอักเสบได้ด้วย
.
ท้ายสุด มันก็ขึ้นอยู่กับวิจารญาณ ของแต่ละคน
ว่าการเจาะกะโหลกนั้น ทำให้เพิ่มความสดชื่น
อารมณ์ดี และให้พลังแก่ผู้ถูกเจาะจริงหรือ !?
...