เห็นใน เพจแชร์กัน เขียนได้ดีมากๆ เลยเอามาให้ แฟนๆ เชลซีอ่านครับ
นึกถึง ปีเตอร์ แกเลย ตอนนั้น ผมก็เป็นคนนึงนะ ที่ไม่อยากให้ปล่อยไป
แต่ทำไงได้ สโมสร เลือกที่จะฝากความหวัง ไว้กับ ดาวรุ่ง และอนาคต ซะมากกว่า
[imgr]
share images[/imgr]
ในฤดูกาลแรก ที่โชเซ่ มูรินโญ่ พาเชลซีเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก เขาได้สร้างสถิติเหลือเชื่อขึ้นมา 1 อย่าง
นั่นคือ พาทีมคว้าแชมป์ ด้วยการเสียประตูแค่ 15 ลูกเท่านั้น
แข่ง 38 นัด แต่เสียไปแค่ 15 ลูก เป็นสถิติที่มหัศจรรย์มาก ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ไม่เคยมีทีมไหน มีเกมรับแข็งแกร่งขนาดนี้
คนที่เป็นหัวใจอันดับหนึ่ง ในเกมรับของเชลซียุคนั้น คือนายทวารที่ชื่อ ปีเตอร์ เช็ก
เช็กโชว์ฟอร์มมหัศจรรย์ ไม่เสียประตูถึง 24 เกมทั้งซีซั่น เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของฟุตบอลอังกฤษจนถึงวันนี้
จากนั้น ฤดูกาลต่อมา 2005-06 เช็ก ก็พาเชลซีป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกสมัย จบฤดูกาลคว้าตำแหน่งนักเตะแห่งปีของสาธารณรัฐเช็ก และได้รับการต่อสัญญาระยะยาวถึงปี 2010
"ปีเตอร์ เช็ก คือนายทวารอันดับหนึ่งของโลก" มูรินโญ่เคยบอกเอาไว้แบบนั้น
ชีวิตของเช็กกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทุกอย่างรุ่งโรจน์สุดขีด มีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยรู้เลยว่า กำลังจะเจอเหตุการณ์สำคัญ ที่จะเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล
-----------------------------------------
14 ตุลาคม 2006 เชลซี ไปเยือนเรดดิ้ง ที่สนามมาเดจสกี้ สเตเดี้ยม ปีเตอร์ เช็ก ลงเฝ้าเสาตามปกติ
เกมเริ่มได้แค่ 15 วินาที สตีเฟ่น ฮันท์ ปีกซ้ายเรดดิ้ง เข้าปะทะปีเตอร์ เช็กอย่างจัง เอาเข่าบวกไปที่ศีรษะของเช็ก อย่างน่าหวาดเสียว
เช็ก ลงไปกองกับพื้น เขาลงเล่นต่อไมได้แล้ว และต้องโดนเปลี่ยนตัวทันที
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลรอยัล เบิร์กไชร์ รพ.ท้องถิ่น ในเมืองเรดดิ้ง แพทย์ระบุว่า ปีเตอร์ เช็ก กะโหลกร้าว และทางโรงพยาบาลไม่มีแพทย์ที่มีทักษะพอจะรักษาได้ ทำให้เชลซี ต้องพาเช็กเปลี่ยนโรงพยาบาลทันที
เช็กเข้ารับการรักษาที่ แรดคลิฟฟ์ อินเฟอร์มารี่ ในอ็อกซ์ฟอร์ด ที่เป็นสถาบันรักษาคนไข้ที่ชำนาญการทางสมองโดยเฉพาะ
"อาการของเขาตอนนี้ เราบอกไม่ได้จริงๆว่าจะคัมแบ็กกลับมาได้เมื่อไหร่ เราหวังแค่ให้เขาปลอดภัยเท่านั้น" แถลงการณ์ของเชลซี ระบุเอาไว้
-----------------------------------------
อาการของปีเตอร์ เช็ก หนักมากกว่าที่หลายคนคิด
แพทย์เปิดเผยว่า เป็นจังหวะที่มีการกระแทกอย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบไปถึงสมองด้วย
การผ่าตัด เริ่มจากการเปิดกะโหลกศรีษะ เพื่อลดความดันของสมอง เนื่องจากเวลาสมองบวม อาจไปถูกกะโหลกกดทับ จนเลือดไปเลี้ยงสมองไมได้
จากนั้น ก็ทำการเอาเศษกะโหลกเล็กๆที่แตกร้าวออกมา ก่อนที่จะใช้โลหะ 2 ชิ้น เชื่อมกะโหลกเอาไว้
นี่เป็นการผ่าตัดที่อันตราย เพราะเศษกะโหลก มันเกือบจะเข้าไปถึงสมองฝั่งซ้าย แพทย์ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ถ้าหากผิดพลาดไปแค่นิดเดียว เขาอาจกลับมาเล่นฟุตบอลไม่ได้อีก
อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี แต่แพทย์ระบุว่า อยากให้เช็กพักจากการแข่งฟุตบอลไปสักระยะก่อน อย่างน้อยก็ราวๆ 1 ปี เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา เขากลัวว่าจะกะโหลกที่เพิ่งผ่าตัดมา มันอาจอ่อนไหวเกินกว่าจะโดนกระแทกอีกครั้ง
ตอนผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ แค่พูดปกติ เช็กยังพูดแทบไม่ได้ หรือแค่ให้ดูโทรทัศน์ ราวๆ 5 นาที เขาก็ปวดหัวจนดูไม่ได้ ดังนั้นจะหวังลงเล่นหรอ มันเป็นไปได้ยากจริงๆ
แพทย์ไม่อยากให้เช็กเป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนก็ล้วนเป็นห่วงเขากันหมด
-----------------------------------------
สำหรับเชลซี การขาดปีเตอร์ เช็ก มันส่งผลโดยตรงกับทีม
จริงอยู่คาร์โล คูดิชินี่ เป็นนายทวารสำรองที่มีฝีมือไม่เลว แต่เขาไม่สามารถเทียบเคียงกับปีเตอร์ เช็กได้เลย โดยเฉพาะการเซฟในจังหวะสำคัญ ยิ่งนายทวารมือ 3 เฮนริค ฮิลลาริโอ ยิ่งแล้วใหญ่ มีลูกเหวอให้เห็นบ่อยมาก
8 เกมแรกของฤดูกาลที่ปีเตอร์ เช็กลงสนาม เชลซี เสียประตูไปแค่ 4 ลูกเท่านั้น
แต่พอไม่มีเช็ก พวกเขาโดนยิงนัดละ 1-2 ลูก เป็นปกติ
เกมแพ้สเปอร์ส , ชนะเอฟเวอร์ตัน , ชนะวีแกน, เสมอเรดดิ้ง , เสมอฟูแล่ม 5 เกมนี้ เชลซี เสียนัดละ 2 ประตู ไม่มีเช็ก ทีมก็มีเกมรับอ่อนยวบลง ใครๆก็เจาะเชลซีได้
และในที่สุด พวกเขาก็โดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำอันดับแซงได้สำเร็จ
ซึ่งถึงตรงนี้ ปีเตอร์ เช็ก ก็รู้สึกว่า ทำไมเขาต้องมานอนพักรักษาตัว ทั้งๆที่เขาผ่าตัดหายแล้ว เขาสมควรจะอยู่ในสนามเพื่อช่วยทีมมากกว่าไม่ใช่หรอ
-----------------------------------------
ปัญหาคือ เขาไม่สามารถลงซ้อมกับเพื่อนได้ เพราะ ทีมระดับพรีเมียร์ลีก เวลาคุณซ้อม คุณก็ต้องจริงจังเกินร้อย ดังนั้น มันย่อมมีการกระแทกกันเป็นเรื่องปกติ
แต่ศีรษะของเช็กตอนนี้ มันกระทบกระเทือนไม่ได้ ซึ่งเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
หลังจากเริ่มหายปวดหัว เช็กกัดฟัน เริ่มจากการซ้อมเบาๆ ด้วยตัวเอง เช่น วิ่งในบ้าน และเข้ายิม เพื่อรักษาสภาพความฟิตเอาไว้ก่อน
ระหว่างนี้ ก็ปรึกษากับแพทย์ของสโมสร ว่าทำอย่างไร เขาจะกลับมาซ้อม และกลับมาเล่นได้อีกครั้ง โดยมีผลกระทบต่อศีรษะน้อยที่สุด
"ผมอยากลงซ้อมแล้ว ผมอยากทำหน้าที่ของผมแล้ว" ปีเตอร์ เช็กเผย
และในที่สุด แพทย์ ก็ได้คำตอบว่า การใส่หมวกรักบี้แบบปิดครอบทั้งหัว (Scrum cap) น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการช่วยเซฟ ปีเตอร์ เช็ก เพราะ หมวกใบนี้ สามารถรับแรงกระแทกได้
แม้ใจจริงแพทย์จะไม่อยากให้เขากลับมาลงสนามเร็วนัก แต่ไม่มีอะไรหยุดปีเตอร์ เช็กได้อีกแล้ว
"การใส่หมวกรักบี้ลงซ้อม มันทำให้ผมลำบากใจเหมือนกัน เพราะหูของผมจะโดนครอบหมด จนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่ผมก็ต้องพยายามทำตัวให้เคยชินกับมัน"
18 มกราคม 2007 หลังจากผ่าตัดมา 3 เดือนเต็ม เขากลับมาซ้อมได้อย่างเต็มรูปแบบ
หลายคนบอกว่า มันเร็วเกินไปที่เขาจะกลับมา แต่เขาไม่สน เขาอยากกลับมาช่วยทีมแล้วจริงๆ
ร่างกายของเช็ก ฟิตสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว เพราะเขาดูแลตัวเองดีตลอด มันทำให้โชเซ่ มูรินโญ่ประหลาดใจมาก
20 มกราคม 2007 เพียง 2 วัน หลังจากเช็กเริ่มกลับมาซ้อมเป็นครั้งแรก เชลซี มีโปรแกรมพรีเมียร์ลีก เดินทางไปเยือนลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ และเช็กก็มีชื่อไปกับทีมด้วย
"นายอยากจะดูที่ม้านั่งสำรอง หรือ นายอยากจะเล่น เลือกเลย" โชเซ่ มูรินโญ่ หันมาถามปีเตอร์ เช็ก ก่อนจะส่งรายชื่อ 11 ตัวจริง
"ผมพร้อมแล้ว โชเซ่ เรามาลองกันเถอะ"
-----------------------------------------
นับจากวันที่เขากะโหลกร้าว เช็กยังอยู่กับเชลซี อีก 9 ปีเต็มๆ
สไตล์การเล่นของเขาเปลี่ยนไป จากเดิมก่อนเจ็บ จะมีความมั่นใจมากกว่านี้ และมีปฏิกริยาเร็วกว่านี้ แต่มันก็ถูกทดแทน ด้วยการอ่านเกมที่ดีขึ้น
สุดท้ายเช็ก ช่วยเชลซีคว้าแชมป์อีกมากมาย ทั้งพรีเมียร์ลีก ในซีซั่น 2009-10 รวมถึง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีกครั้งแรกของเชลซีในปี 2012
ขณะที่ หมวกรักบี้ มันกลายเป็นโลโก้ของเขาไปแล้ว
"ผมอยากถอดออกนะ แต่แพทย์ไม่อนุญาต เขาบอกว่า ถ้าผมถอดออกแล้วบาดเจ็บที่ศีรษะ คราวนี้ประกันจะไม่ยอมจ่ายเงินรักษาแล้วนะ เพราะถือว่าผมเอาตัวเองไปเสี่ยงเอง ดังนั้นผมก็เลยใส่หมวกรักบี้ไว้ตลอด"
ปีเตอร์ เช็ก สุดท้ายอำลาเชลซี หลังจากอยู่กับทีมมานาน 11 ปี และถือว่า แยกทางกันด้วยรักและอาลัยอย่างยิ่ง
ภาพของเขายืนเฝ้าเสา พร้อมหมวกรักบี้ เป็นสิ่งที่แฟนๆยังคงจดจำได้เสมอมา
-----------------------------------------
ความน่าทึ่งของปีเตอร์ เช็ก คือแม้เขาจะบาดเจ็บหนักขนาดนั้น แต่เมื่อเห็นทีมกำลังลำบาก เขาก็ต้องการกลับมาช่วยทีมให้เร็วที่สุด พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกลับมาลงเล่นให้ได้
ทั้งๆที่เขานอนอยู่เฉยๆกินเงินเดือนไปวันๆก็ทำได้ รอจนหายสนิทจริงๆค่อยกลับมา แต่เช็ก ไม่ทำแบบนั้น
เขาสู้สุดใจ แม้ในกะโหลกจะมีแผ่นโลหะฝังอยู่ก็ตาม
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ผมคิดถึง ธีโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารคนปัจจุบันของเชลซี
ฤดูกาลใหม่กำลังจะเปิดในอีกไม่ถึงสัปดาห์อยู่แล้ว เขายังไม่ยอมกลับมารายงานตัวกับสโมสร ล่าสุดมีคนเห็นเขาไปพักผ่อนสบายใจที่เกาะเตเนริเฟ่ วันเดียวกับที่เพื่อนๆเชลซี โดนแมนฯซิตี้ อัดยับ ในคอมมิวนิตี้ ชิลด์
ซึ่งดูก็รู้ว่า กูร์ตัวส์ ต้องการจะบีบสโมสรให้ขายเขาให้ได้ ก่อนซีซั่นจะเริ่มขึ้น
โอเค ว่าเป้าหมายของเขา อาจจะอยากย้ายไปเรอัล มาดริด หรืออะไรก็ตาม แต่ในวันนี้ เมื่อเขายังเป็นนักเตะของทีมอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบ เขาก็ควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จนถึงวันสุดท้าย
และนี่คือความแตกต่างกันของ 2 นายทวารมือหนึ่งของเชลซี
คนหนึ่งขอให้ได้ย้าย ก็พร้อมจะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องแคร์ความรู้สึกใครๆก็ได้
ส่วนอีกคน แม้ตัวเองจะเจ็บเจียนตาย ยังคิดถึงทีมก่อนอันดับแรก
2 คนนี้ สุดท้ายใครจะอยู่ในหัวใจของแฟนๆเชลซีมากกว่ากัน
คงตอบได้ไม่ยากเลย จริงไหม?
#CECH
Credit : วิเคราะห์บอลจริงจัง