BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออนไลน์
หัวหน้าแมวมอง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Dec 2013
ตอบ: 40785
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Jul 12, 2018 20:55
สาเหตุทางสยามไปต้อนครัวที่เวียงจันทน์ยุคกรุงธนบุรี , กบฎ, สยามเผาเวียงจันทน์?

พระธาตุหลวง หรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองประเทศลาว ณ เวียงจันทน์

เดิมเมืองเวียงจันทร์เป็นเอกราช เรียกว่าอาณาจักรล้านช้างบ้าง กรุงศรีสัตนาคนหุตบ้าง ครั้นกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเคยเป็นข้าศึกกับกรุงศรีอยุธยาบ้าง เคยยอมเป็นประเทศราชขึ้นกรุงศรีอยุธยาบ้าง และเป็นสัมพันธมิตรหรือเป็นแต่ไมตรีกันบ้าง ตามเหตุการณ์ที่มีมาในเรื่องพงศาวดาร จนกระทั่งสมัยกรุงธนบุรี ครั้งนั้นพระเจ้าสิริบุญสารครองกรุงศรีสัตนคนหุตอยู่เป็นเอกราช ได้มาเจริญพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงธนบุรี (เรื่องราวมีแจ้งอยู่ในหนังสือพระราชวิจารณ์โดยพิสดาร) แต่ต่อมาพระเจ้าสิริบุญสารไม่รักษาพระราชไมตรี ได้ส่งกองทัพบุกรุกลงมาถึงตำบลดอนมดแดง (คือเมืองอุบลราชธานี บัดนี้) จับพระวอซึ่งสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีฆ่าเสีย พระเจ้ากรุงธนบุรีขัดเคืองให้กองทัพยกขึ้นไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๓๒๑ ครั้งนั้นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และสมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาสุรสีห์ ตีได้เมืองเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นราธานีและเมืองขึ้นของกรุงศรีสัตนาคนหุต พระเจ้าสิริบุญสารหนีไปอาศัยแดนญวน จึงจับได้แต่บุตรของพระเจ้าสิริบุญสารหลายคน

เมื่อเสร็จการปราบปรามแล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ) ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตกับพระบาง แลพาตัวพวกบุตรพระเจ้าสิริสารลงมากรุงธนบุรี ตั้งแต่นั้นมากรุงศรีสัตนาคนหุตก็ตกเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของไทย แต่ในสมัยกรุงธนบุรี เป็นแต่ให้ขุนนางอยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองอื่นๆ เป็นอิสระแก่กันเหมือนอย่างหัวเมืองขึ้นชั้นนอก มาถึงรัชกาลที่ 1 พระเจ้าสิริบุญสารรู้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ชุบเลี้ยงบรรดาบุตรซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยดี และคิดได้ว่าตัวเองก็แก่ชราแล้ว จึงกลับเข้ามายังเวียงจันทน์หมายจะขอสวามิภักดิ์ แต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ไม่ทรงวางพระราชหฤทัย จึงทรงตั้งเจ้านันทเสน บุตรคนโตของพระเจ้าสิริบุญสาร ขึ้นไปครองเมืองเวียงจันทน์เป็นประเทศราช พระราชทานพระบางอันเป็นพระพุทธรูปสำหรับเมืองคืนให้เป็นเกียรติยศด้วย


อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย

ส่วนพระเจ้าสิริบุญสารนั้น ก็พระราชทานให้อยู่ในเมืองเวียงจันทน์กับบุตรต่อมาจนถึงพิราลัย แต่เจ้านันทเสนครองบ้านเมืองไม่เรียบร้อย โปรดฯ ให้กลับลงมากรุงเทพฯ ทรงตั้งเจ้าอินทวงศ์ บุตรของพระเจ้าสิริบุญสาร รองจากเจ้านันทเสนลงมา (ซึ่งเป็นเจ้าตาของเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี) ขึ้นไปครองเมืองเวียงจันทน์แทน โปรดฯ ให้เจ้าอนุวงศ์ (ที่เรียกกันเป็นสามัญว่า “เจ้าอนุ”) บุตรของพระเจ้าสิริบุญสารอีกองค์หนึ่ง เป็นตำแหน่งเจ้าอุปราช เจ้าอนุวงศ์เป็นคนมีความสามารถ เคยได้คุมกองทัพเมืองเวียงจันทน์ไปช่วยรบพม่าทางเมืองเชียงแสน มีบำเหน็จความชอบถึง 2 คราว ครั้นเจ้าเมืองเวียงจันทน์อินทวงศ์ถึงพิราลัย จึงทรงตั้งเจ้าอุปราชอนุวงศ์ให้ครองเมืองเวียงจันทน์ต่อมา

สมัยรัชกาลที่ 2 เจ้าอนุวงศ์แสดงความสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ จึงเป็นผู้ซึ่งสนิทชิดชอบพระอัธยาศัย ทั้งสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และมาทำความชอบครั้งพวกกบฏข่าตีเมืองนครจำปาศักดิ์ได้ เมื่อปีเถาะ พ.ศ. 2362 เจ้าอนุวงศ์รับอาสาให้กองทัพเมืองเวียงจันทน์ ลงไปช่วยปราบปรามพวกกบฏข่าได้ราบคาบ ครั้งนั้นเกิดปัญหาเรื่องการที่จะรักษาอาณาเขตเมืองนครจำปาศักดิ์ต่อไปอย่างไรดี ด้วยพวกเจ้านายเมืองนครจำปาศักดิ์อ่อนแอ ไม่มีตัวผู้ที่จะสามารถรักษาบ้านเมือง เจ้าอนุวงศ์อยากจะใคร่ให้บุตรของตนเป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังทรงดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงช่วยอุดหนุนเจ้าราชบุตรโย้ (หรือโย่) บุตรของเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ยกกองทัพลงไปปราบปรามพวกกบฏข่าครั้งนั้น ได้เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ สำเร็จดังปรารถนาของเจ้าอนุวงศ์ การที่เจ้าราชบุตรโย้ได้เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ เป็นเหตุให้เจ้าอนุวงศ์มีกำลังและอำนาจมากขึ้นเพราะสามารถจะบังคับบัญชาว่ากล่าวบ้านเมืองทางชายพระราชอาณาเขต ตั้งแต่ด้านเหนือลงมาตลอดด้านตะวันออกจนต่อแดนกัมพูชา


หอพระแก้ว

เหตุที่เกิดกบฏเวียงจันทน์

ถึงปีวอก พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต เจ้าอนุวงศ์ลงมาถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อปีระกา พ.ศ. 2368 ประจวบเวลานั้นอังกฤษให้เฮนรีเบอร์นี่เป็นราชทูตเข้ามาทำหนังสือสัญญา ฝ่ายไทยในชั้นแรกไม่อยากทำสัญญา ต้องปรึกษาโต้ตอบกันอยู่ช้านาน เจ้าอนุวงศ์ลงมาอยู่ในกรุงเทพฯ ครั้งนั้นเชื่อตัวเองว่าสนิทชิดชอบกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเพ็ดทูลอย่างไรคงทรงยินยอม จึงทูลขอแบ่งพวกครัวชาวเวียงจันทน์ที่กวาดต้อนลงมาเมื่อกองทัพไทยขึ้นไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุตครั้งกรุงธนบุรี จะเอากลับขึ้นไปบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่าพวกครัวก็ได้มาตั้งเป็นหลักแหล่งอยู่หัวเมืองชั้นในแล้ว ถ้าพระราชทานไปแม้แต่พวกใดพวกหนึ่ง พวกอื่นก็จะพากันกำเริบ จึงไม่พระราชทานตามประสงค์

เจ้าอนุวงศ์รู้สึกอัปยศ เมื่อกลับขึ้นไปเมืองเวียงจันทน์ก็ตั้งต้นคิดการกบฏ ด้วยเห็นว่าญวนขยายอำนาจเข้ามาทางกัมพูชาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 ไทยก็ต้องเอาใจดีต่อญวน เพราะไทยเกรงจะเกิดทั้งศึกพม่าและศึกญวน ทางเมืองลาวถึงจะตั้งตัวเป็นอิสระ ไหนไทยจะกล้าขึ้นไปปราบปรามอย่างแต่ก่อน เจ้าอนุวงศ์จึงไปฝักใฝ่กับญวนหมายจะเอาเป็นกำลังช่วยต่อสู้ไทย


ภาพจำลองกองทัพในอดีต

พอถึงปีจอ พ.ศ. 2369 มีข่าวเล่าลือขึ้นไปถึงเมืองเวียงจันทน์ ว่าไทยเกิดวิวาทกับอังกฤษ อังกฤษจะยกทัพเรือมาตีกรุงเทพฯ เจ้าอนุวงศ์เห็นโอกาสจึงก่อการกบฏ สั่งให้เจ้านครจำปาศักดิ์ (โย้) ยกกองทัพเมืองนครจำปาศักดิ์เข้ามายึดหัวเมือง (มณฑลอุบล) ทางตะวันออกทาง 1 ให้เจ้าอุปราชติสสะ ผู้เป็นน้องคุมกองทัพลงมายึดหัวเมือง (มณฑลร้อยเอ็ด) ทางตะวันออกเฉียงเหนือทาง 1 ส่วนเจ้าอนุวงศ์เองเกณฑ์กองทัพเมืองเวียงจันทน์ให้เจ้าราชวงศ์เง่าผู้เป็นบุตรคนหนึ่งเป็นกองหน้า ตัวเจ้าอนุวงศ์กับเจ้าโป๋ บุตรคนโตซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้าสุทธิสาร เป็นทัพหลวงยกลงมาเมืองนครราชสีมา

การที่เจ้าอนุวงศ์ยกกองทัพลงมาครั้งนั้น ได้ลวงเจ้าเมืองกรมการรายทางว่ามีศุภอักษรขึ้นไปจากกรุงเทพฯ ว่าอังกฤษจะยกกองทัพเรือเข้ามาตีกรุงเทพฯ โปรดฯ ให้เจ้าอนุวงศ์เกณฑ์กองทัพเมืองเวียงจันทน์ยกลงมาช่วยต่อสู้ข้าศึก เจ้าเมืองกรมการรายทางไม่รู้เท่าทัน เห็นเจ้าอนุวงศ์เป็นคนโปรดปรานมาแต่ก่อน ก็ยอมให้กองทัพเวียงจันทน์ยกผ่านเมืองมา แลจ่ายเสบียงอาหารให้จนถึงเมืองนครราชสีมา เผอิญเวลานั้นพระยานครราชสีมากับพระยาปลัดออกไปจัดราชการอยู่เมืองขุขันธ์ มีแต่กรมการรักษาเมือง เจ้าอนุวงศ์ก็เข้ายึดเมืองนครราชสีมาแล้วให้เจ้าราชวงศ์ (เง่า) ยกกองทัพหน้าลงมากวาดต้อนผู้คนที่เมืองสระบุรี


ท้าวสุรนารี ตำนานที่เล่าขานว่ามีจริงไม่จริง วันนี้ยังไม่ขอเปิดประเด็น

พอถึงปีจอ พ.ศ. 2369 มีข่าวเล่าลือขึ้นไปถึงเมืองเวียงจันทน์ ว่าไทยเกิดวิวาทกับอังกฤษ อังกฤษจะยกทัพเรือมาตีกรุงเทพฯ เจ้าอนุวงศ์เห็นโอกาสจึงก่อการกบฏ สั่งให้เจ้านครจำปาศักดิ์ (โย้) ยกกองทัพเมืองนครจำปาศักดิ์เข้ามายึดหัวเมือง (มณฑลอุบล) ทางตะวันออกทาง 1 ให้เจ้าอุปราชติสสะ ผู้เป็นน้องคุมกองทัพลงมายึดหัวเมือง (มณฑลร้อยเอ็ด) ทางตะวันออกเฉียงเหนือทาง 1 ส่วนเจ้าอนุวงศ์เองเกณฑ์กองทัพเมืองเวียงจันทน์ให้เจ้าราชวงศ์เง่าผู้เป็นบุตรคนหนึ่งเป็นกองหน้า ตัวเจ้าอนุวงศ์กับเจ้าโป๋ บุตรคนโตซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้าสุทธิสาร เป็นทัพหลวงยกลงมาเมืองนครราชสีมา

การที่เจ้าอนุวงศ์ยกกองทัพลงมาครั้งนั้น ได้ลวงเจ้าเมืองกรมการรายทางว่ามีศุภอักษรขึ้นไปจากกรุงเทพฯ ว่าอังกฤษจะยกกองทัพเรือเข้ามาตีกรุงเทพฯ โปรดฯ ให้เจ้าอนุวงศ์เกณฑ์กองทัพเมืองเวียงจันทน์ยกลงมาช่วยต่อสู้ข้าศึก เจ้าเมืองกรมการรายทางไม่รู้เท่าทัน เห็นเจ้าอนุวงศ์เป็นคนโปรดปรานมาแต่ก่อน ก็ยอมให้กองทัพเวียงจันทน์ยกผ่านเมืองมา แลจ่ายเสบียงอาหารให้จนถึงเมืองนครราชสีมา เผอิญเวลานั้นพระยานครราชสีมากับพระยาปลัดออกไปจัดราชการอยู่เมืองขุขันธ์ มีแต่กรมการรักษาเมือง เจ้าอนุวงศ์ก็เข้ายึดเมืองนครราชสีมาแล้วให้เจ้าราชวงศ์ (เง่า) ยกกองทัพหน้าลงมากวาดต้อนผู้คนที่เมืองสระบุรี


ประตูชุมพล จ.นครราชสีมา

ฝ่ายกรุงเทพฯ ได้ทราบว่าเจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏต่อเมื่อเจ้าอนุวงศ์ได้เมืองนครราชสีมาแล้ว ก็รีบเร่งกะเกณฑ์ทัพทันทีและขณะที่กำลังเกณฑ์กองทัพนั้น ได้ข่าวลงมาอีกว่าข้าศึกเข้าถึงเมืองสระบุรี ระยะทางเดินทัพอีก 3 วันจะถึงกรุงเทพฯ ไม่ทราบแน่ว่าข้าศึกมีกำลังมากน้อยเท่าใด ก็ต้องตระเตรียมป้องกันพระนคร ให้ตั้งค่ายวางรี้พลตั้งแต่ทุ่งสามเสนรายตลอดมาจนทุ่งหัวลำโพง พอเกณฑ์กองทัพพร้อมทัพ 1 ก็โปรดฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์รีบยกขึ้นไปเมืองสระบุรี เมื่อ ณ วันเสาร์ เดือน 4 แรม 6 ค่ำ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๖๙ แต่เจ้าราชวงศ์ (เง่า) หารออยู่ต่อสู้ไม่ พอรู้ว่ากองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นไปถึงท่าเรือพระพุทธบาท ก็รีบถอยหนีกลับไปเมืองนครราชสีมา กรมพระราชวังบวรฯ จึงเสด็จไปตั้งรักษาเมืองสระบุรี รอกำลังที่จะยกเป็นกองทัพใหญ่ขึ้นไปตีเมืองเวียงจันทน์อยู่ ณ ที่นั่น ฝ่ายเข้าอนุวงศ์เมื่อตั้งอยู่ ณ เมืองนครราชสีมา ถูกกวาดต้อนไปด้วย คุณหญิงโมมีสติปัญญาสามารถคิดกลอุบายวิงวอนผ่อนผันให้ควบคุมไป ช้าๆ รอพวกครัวที่ถูกกวาดต้อนไปทันกันที่ทุ่งสัมฤทธิ์ พอเห็นว่ามีกำลังมากกว่าพวกที่ควบคุม ก็ช่วยกันทั้งชายหญิงเข้าแย่งศัสตราวุธของข้าศึก ต่อสู้ฆ่าฟันพวกชาวเวียงจันทน์ที่ควบคุมล้มตายแตกพ่ายไป แล้วพวกครัวก็ช่วยกันตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ราษฎรชาวเมืองที่เที่ยวซุ่มซ่อนพรัดพรายอยู่นั้น ครั้นรู้ว่าชาวเมืองนครราชสีมารวบรวมกันได้ ก็รีบพากันมาเข้ากับพวกครัวที่ทุ่งสัมฤทธิ์อีกเป็นอันมาก พระยาปลัดสามีคุณหญิงโมก็ตามไปทัน ณ ที่นั่น

ครั้นเจ้าอนุวงศ์ให้กองทัพยกออกไปปราบ พระยาปลัดและคุณหญิงโมก็ให้พวกครัวช่วยกันตีแตกกลับมาอีก เจ้าอนุวงศ์ปราบปรามพวกครัวชาวนครราชสีมาไม่ได้สมคิด พอได้ข่าวว่ากองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นไปก็รีบเลิกทัพกลับไปเมืองเวียงจันทน์ ให้เจ้าราชวงศ์ไปยึดเมืองหล่ม (อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์) และให้เจ้าสุทธิสารไปยึดเมืองภูเขียวตั้งรักษาด่านทางทั้งปวงเตรียมต่อสู้กองทัพกรุงเทพฯ ที่จะยกขึ้นไป

การที่พวกครัวชาวเมืองนครราชสีมาต่อสู้ชนะข้าศึกครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จตั้งคุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารีแต่พระยาปลัดนั้นเมื่อถึงรัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นเจ้าพระยามหิศราธิบดี ที่ปรึกษาราชการเมืองนครราชสีมา

หมายเหตุ
จาก “ใบบอกเมืองนครราชสีมา” เป็นหนังสือของพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาและพระยายกกระบัตรที่เป็นหัวหน้าครัวเมืองโคราชที่ค่ายทุ่งสัมฤทธิ์ ได้ทำหนังสือขอกำลังจากกรุงเทพฯ เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และใบบอกนี้เขียนในเหตุการณ์หาได้กล่าวถึงชื่อและวีรกรรมของคุณหญิงโมแต่อย่างใด


ประตูเมืองนครราชสีมา

กองทัพที่ไปปราบกบฏเวียงจันทน์
การปราบกบฏเวียงจันทน์ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้จัดกองทัพที่จะยกขึ้นไปเป็นทัพใหญ่ 2 ทัพ ทัพน้อยทัพ 1 กองทัพใหญ่ที่ 1 ให้ตรงไปตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของข้าศึก โปรดฯ ให้กรมพระราชวังบวรฯ เป็นจอมทัพ ไปตั้งประชุมพลที่เมืองสระบุรี จัดกองทัพให้พระยาจ่าแสนยากร พระยากลาโหมราชเสนา พระยาพิชัยบุรินทรา พระยาณรงควิชัย คุมพลเป็นกองหน้าที่ 1 ให้กรมหมื่นนเรศรโยธี กรมหมื่นเสนีบริรักษ์ คุมพลเป็นกองหน้าที่ 2 กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จเป็นกองทัพหลวงพร้อมด้วยกรมหมื่นรามอิศเรศรเป็นยกกระบัตร กรมหมื่นเทพพลภักดิ์เป็นเกียกกาย กรมหมื่นธิเบศบวรเป็นจเรทัพ กรมหมื่นนรานุชิตเป็นปีกซ้าย กรมหมื่นสวัดิวิชัยเป็นปีกขวา ให้พระนเรนทราชา บุตรพระเจ้ากรุงธนบุรี คุมพลเป็นกองหลัง ให้เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรีย) คุมพลมอญเป็นกองอิสระสมทบในกองทัพที่ 1 ด้วย เมื่อจัดกระบวนพร้อมแล้ว ก็ยกออกจากเมืองสระบุรีขึ้นไปทางดงพระยาไฟ แต่กองมอญนั้นให้เดินทางดงพระยากลางไปสมทบทัพกันที่เมืองนครราชสีมา

กองทัพใหญ่ที่ 2 นั้น จะให้ไปปราบพวกกบฏทางหัวเมือง (มณฑลอุบลและร้อยเอ็ด) ฝ่ายตะวันออกขึ้นไปประจบกับกองทัพใหญ่ที่ 1 ที่เมืองเวียงจันทน์ โปรดฯ ให้กรมหมื่นสุรินทรักษ์เป็นจอมทัพตั้งประชุมพลที่เมืองปราจีนบุรี จัดกระบวนทัพให้พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) คุมพลเป็นกองหน้าที่ 1 ให้เจ้าพระยาพระคลัง (ซึ่งต่อมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ในรัชกาลที่ 4) คุมพลเป็นกองหน้าที่ 2 กรมหมื่นสุรินทรรักษ์เสด็จเป็นกองหลวง กรมหมื่นพิพิธภูเบนทรเป็นปีกซ้าย กรมหมื่นพิทักษ์เทเวศรเป็นปีกขวา มีกองเขมรเป็นกองอิสระ ให้พระยาราชนิกูล พระยารามกำแหง พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง พระยาจันทรบุรี คุมไปตีเมืองนครจำปาศักดิ์อีกกอง 1



กองทัพสยามในอดีต

กองทัพน้อยนั้น จะให้ไปตีเมืองหล่ม แลหัวเมืองขึ้นของเวียงจันทน์ทางตะวันตกไปบรรจบกับกองทัพใหญ่ที่ 1 ที่เมืองเวียงจันทน์ โปรดฯ ให้เจ้าพระยาอภัยภูธร ที่สมุหนายกเป็นแม่ทัพ ตั้งประชุมพลที่ท่าเรือพระพุทธบาทแห่ง 1 พระยาเพชรพิชัย พระยาไกรโกษา ไปตั้งประชุมพลที่เมืองพิษณุโลกอีกแห่ง 1 ยกไปบรรจบกันที่เมืองหล่ม

กระบวนทัพที่จัดดังกล่าวนี้ กองทัพใหญ่ที่ 2 ต้องเปลี่ยนแปลง มิได้ยกไปตามที่วางแผนไว้ชั้นเดิม เหตุด้วยเจ้าพระยานครศรีธรรมราชบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ ว่า อังกฤษจะให้เฮนรี่เบอร์นี่เข้ามาเปลี่ยนหนังสือสัญญาที่ได้ทำไว้ แลอังกฤษเตรียมกองทัพเรือที่เกาะหมากจะยกไปไหนหาทราบไม่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงวางพระราชหฤทัย เกรงว่าจะเกิดเป็นอริกับอังกฤษขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลิกกองทัพใหญ่ที่ 2 กลับมารักษาเมืองสมุทรปราการ แต่ให้พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) คุมพลเป็นกองอิสระยกขึ้นไปเมืองนครราชสีมา ผ่านเทือกเขาบรรทัด จากเมืองปราจีนบุรีทางช่องเรือแตกไปสมทบกับกองทัพที่ 1 แลทรงมอบให้กรมพระราชวังบวรฯ ทรงบัญชาการศึกทุกทาง

ในขณะเดียวกันก็โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดกองทัพยกไปทางเมืองปราจีนบุรี เดินทางช่องเรือแตกอีก 4 ทัพ ทัพพระยาราชสุภาวดีที่ 1 ทัพเจ้าพระยาพระคลังที่ 2 กรมหมื่นพิพิธภูเบนทร์ที่ 3 กรมหมื่นพิทักษเทเวศรที่ 4 กรมหมื่นสุรินทรรักษ์นั้น ไปทางคลองสำโรงขึ้นที่เมืองปราจีนบุรี ยกไปตั้งที่เมืองประจันตคามพร้อมกัน จึงให้ทัพพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ยกล่วงหน้าไปก่อน แล้วทัพเจ้าพระยาพระคลังยกไปเป็นที่ 2 ทัพกรมหมื่นพิพิธภูเบนทร์เป็นที่ 3 ยกไปเป็นลำดับกัน

พระยาราชสุภาวดีเดินทัพไปถึงเมืองสุวรรณภูมิพบกองทัพเจ้าโถงนัดดาเจ้าอนุวงศ์ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองพิมาย ก็ยกเข้าตีถึงตะลุมบอล ทัพเจ้าโถงต้านทานไม่ไหวจึงแตกกระจัดกระจายไปสิ้น เมื่อได้ชัยชนะแล้ว ก็เคลื่อนกองทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองขอนแก่น

แล้วมีหนังสือไปถึงเจ้าอุปราชว่า เมื่อเจ้าอุปราชลงไปกรุงเทพพระมหานครพูดไว้แต่ก่อนว่า เจ้าอนุวงศ์จะเป็นกบฏนั้นสมจริง ครั้งนี้เรายกกองทัพขึ้นมาสมคะเนแล้ว ให้เจ้าอุปราชยกไปตีเมืองเวียงจันทน์เสียให้ได้ ทัพหลวงจะได้ขึ้นมาโดยสะดวก เราจะได้ยกหนุนเจ้าอุปราชไป ครั้นเจ้าอุปราชได้อ่านหนังสือดูแล้ว จึงส่งหนังสือฉบับนั้นไปให้เจ้าอนุวงศ์ที่ตำบลช่องสาร เจ้าอนุวงศ์ทราบความเป็นไปของกองทัพไทยแล้วก็ให้หวาดหวั่น สงสัยนายทัพนายกองของตัวเองว่าจะมีไส้ศึกอยู่ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ จึงทำให้เล็ดลอดไปยังฝ่ายไทยได้

การที่พระยาราชสุภาวดีมีหนังสือไปถึงเจ้าอุปราชนั้น จะเป็นกลอุบายให้เจ้าอนุวงศ์สงสัยเจ้าอุปราชหรือจะพูดกันไว้เป็นความลับจริงก็ไม่แจ้ง ถ้าพูดกันจริงแล้วทำไมจึงเอาหนังสือไปให้เจ้าอนุวงศ์เล่าเหตุผลเพราะว่าเจ้าอุปราชเห็นความจะปิดไม่มิด ด้วยบุตรเจ้าอนุวงศ์เป็นบุตรเขยอุปราชอยู่ที่นั่น จึงเอาหนังสือออกตีแผ่เสียให้เห็นว่า เป็นหนังสือไทยใช้อุบายให้แตกร้าวกัน


วัดสิงห์ท่า จ.ยโสธร

พระยาราชสุภาวดีตีค่ายเวียงคุกเมืองยโสธรแตก
ฝ่ายพระยาราชสุภาวดี ตั้งแต่ส่งหนังสือลับไปถึงเจ้าอุปราชแล้ว คอยฟังข่าวก็ไม่เห็นเจ้าอุปราชตอบมา จึงให้คนไปสืบได้ความว่าเจ้าอุปราชยกไปตั้งอยู่ที่หนองหานแล้ว พระยาราชสุภาวดีก็ยกไปตีค่ายเวียงคุกที่เมืองยโสธร อุปฮาด ราชวงศ์ เมืองยโสธรสู้รบแข็งแรง แต่ในที่สุดก็แตกหนีไป ครั้นพระยาราชสุภาวดีตีค่ายเวียงคุกได้แล้ว จึงหยุดพักพลอยู่ ณ เมืองยโสธร เพื่อสะสมกำลังสำหรับยกไปปราบนครจำปาศักดิ์ต่อไป

ฝ่ายเจ้าราชบุตร (โย้) ซึ่งเป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ ตั้งค่ายอยู่เมืองศรีสะเกษ ได้ทราบข่าวว่า พระยาราชสุภาวดีจะยกทัพตัดตรงไปนครจำปาศักดิ์ ก็รีบยกมาตั้งรับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีและให้เจ้าปานกับเจ้าสุวรรณ อนุชาทั้งสอง ยกทัพมาตั้งรับทัพพระยาราชสุภาวดีอยู่ที่แดนเมืองยโสธร พระยาราชสุภาวดีก็เคลื่อนกองทัพออกตีทัพเจ้าปานกับเจ้าสุวรรณแตก แล้วตามไปตีทัพเจ้าราชบุตร (โย้) ณ เมืองอุบลราชธานี ไทยชาวเมืองอุบลราชธานีที่ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเจ้าราชบุตร (โย้) เมื่อทราบว่ากองทัพพระยาราชสุภาวดียกไปถึง ก็พร้อมกันก่อการกำเริบฆ่าฟันพวกเจ้าราชบุตร (โย้) ล้มตายเป็นอลหม่านขึ้นในค่ายกองทัพพระยาราชสุภาวดีก็ตีโอบเข้ามา เจ้าราชบุตร (โย้) เห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ ก็พาพรรคพวกหนีไปนครจำปาศักดิ์

พระยาราชสุภาวดีรีบยกทัพตามติดไปไม่ลดละ ฝ่ายครัวเมืองต่างๆ ที่เจ้าราชบุตร (โย้) กวาดไปรวมไว้ในนครจำปาศักดิ์ ทราบข่าวว่ากองทัพเจ้าราชบุตร (โย้) เสียที จึงพร้อมกันก่อการกำเริบเอาไฟเผาบ้านเรือนในนครจำปาศักดิ์เสียหายเป็นอันมาก เจ้าราชบุตร (โย้) เห็นดังนั้นจะเข้าเมืองมิได้ ก็รีบหนีข้ามฟากแม่น้ำโขงไปทางตะวันออก พระยาราชสุภาวดีก็ยกกองทัพเข้าตั้งมั่นในนครจำปาศักดิ์ และให้กองตระเวนออกสืบจับพวกเจ้าราชบุตร (โย้) ได้ตัวเจ้าราชบุตร (โย้) เจ้าปาน เจ้าสุวรรณมาจำไว้ แล้วเดินทัพมาตั้งอยู่เมืองนครพนม พอทราบข่าวว่าทัพหลวงกรมพระราชวังบวรฯ จะเสด็จกลับกรุงเทพฯ จึงรีบเดินทางมาให้ทันทัพหลวง เพื่อเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวร ไปไม่ทันได้ตอบจดหมายสัตตะคุณเตียนยินแม่ทัพหน้าญวนขององกิงเลือก ซึ่งมีหนังสือมาถึงพระสุริยภักดีฉบับหนึ่ง

มีใจความว่า “เมืองเวียงจันทน์กับกรุงเทพมหานครเป็นเมืองไมตรีสนิท เปรียบเหมือนริมฝีปากกับฟัน เหตุใดจึงยกกองทัพขึ้นมาทำลายรื้อเมืองเวียงจันทน์เสีย ไพร่บ้านพลเมืองแตกตื่นไป และเมืองเวียงจันทน์ก็เป็นเมืองแดนกรุงเวียดนาม บัดนี้แม่ทัพใหญ่ใช้ให้ข้าพเจ้าคุมกองทัพบกมา 20,000 เศษ มาตั้งอยู่เมืองตามดอง จึงมีหนังสือมาแจ้งให้ท่านยกกองทัพกลับไปอยู่แดนของท่าน และท่านกวาดเอาครอบครัวในแดนญวนไปไว้เท่าใด ขอให้ส่งคืนมาแดนญวน ทางไมตรีจะได้ยืนยาวสืบไป ถ้าท่านไม่ฟังข้าพเจ้าก็จะไม่ละ ถ้าองกิงเลือกแม่ทัพใหญ่ยกลงมาถึงแล้วก็จะไม่ฟังกัน แต่หญ้าต้นหนึ่งก็ไม่ให้เหลือไว้ บอกมาทั้งนี้เป็นความสัตย์จริงให้ทำตามคำข้าพเจ้า”


เจ้าราชบุตร หนีแม่น้ำโขงข้ามไป นครจำปาศักดิ์

ฝ่ายพระยาเชียงสาซึ่งแตกกับพระยาเพชรพิชัยเข้าหาพระยาราชสุภาวดี ก็พาพระยาเชียงสาลงมาเฝ้าที่ค่ายหลวง กราบทูลว่าจับตัวเจ้าราชบุตร (โย้) ใส่กรงมาถวาย โปรดให้พระยาเชียวสาอยู่ทำราชการด้วยพระยาราชสุภาวดี ส่วนเจ้าราชบุตร (โย้) เจ้าปาน เจ้าสุวรรณส่งตัวมากรุง และสั่งให้พระยาราชสุภาวดีอยู่กวาดต้อนครอบครัว จัดการหัวเมืองลาวจำปาศักดิ์ เขมรป่าดงให้เรียบร้อยเสียก่อน และโปรดให้พระยาเพชรพิชัย พระยาสมบัติธิบาล แยกไปจัดเมืองหล่มและเมืองเลย แล้วให้กลับขึ้นไปกรุงเทพฯ ในฤดูฝน

ครั้นกรมพระราชวังบวรเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ก็กราบทูลความดีความชอบของพระยาราชสุภาวดี ที่เข้มแข็งในการสงคราม สามารถปราบปรามพวกกบฏให้พ่ายแพ้ลงได้โดยเร็ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯ ให้มีตราเลื่อนบรรดาศักดิ์พระยาราชสุภาวดี เป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดีว่าที่สมุหนายก ใน พ.ศ. 2370 เวลานั้นมีอายุย่างขึ้นปีที่ 51
ฝ่ายเจ้าพระยาราชสุภาวดีว่าที่สมุหนายก เมื่อจัดการบ้านเมืองเรียบร้อย และกวาดต้อนครอบครัวได้มากแล้ว แบ่งไว้ให้อยู่เป็นพลเมืองเวียงจันทน์พอสมควร ให้เพี้ยเมืองเวียงจันทน์อยู่รักษาเมืองเวียงจันทน์ต่อไป เหลือนั้นกวาดต้อนส่งมา ณ กรุงเทพมหานคร เจ้าพระยาราชสุภาวดีสืบหาพระบางได้แล้วก็พาตัวอุปราชลงมา ณ กรุงเทพมหานครเมื่อเดือน 3 ปีกุน ศักราช 1189 (พ.ศ. 2370) แล้วเข้าเฝ้า จึงมีพระราชโองการดำรัสว่า ตัวอ้ายอนุก็ยังจังไม่ได้จะกลับมาตั้งบ้านเมืองอีกเมื่อใดก็ยังไม่แจ้ง เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏมา 2 ครั้งแล้ว ไม่ควรจะเอาไว้เป็นบ้านเมืองให้อยู่สืบต่อไป ให้กลับไปทำลายล้างเสียให้สิ้น อย่าให้ตั้งติดอยู่ได้ แต่อุปราชนั้นให้ไปอยู่บ้านอนุบางยี่ขัน (บ้านพักเจ้าอนุวงศ์เมื่อทรงพระเยาว์) เจ้าพระยาราชสุภาวดีนั้น ทรงขัดเคืองที่ไม่ทำลายล้างเมืองเวียงจันทน์เสียให้สิ้น มาคิดตั้งเป็นบ้านเมืองไว้ ยังหาโปรดฯ ตั้งเป็นที่พระยาจักรีไม่ ให้แต่ว่าที่อยู่ก่อนและพระบางนั้นโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพระยาราชสุภาวดีไปทำพระวิหารไว้ที่วัดจักรวรรดิ


สวนพระ ณ เวียงจันทน์

รุ่งขึ้นปีชวด พ.ศ. 2371 โปรดฯ ให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี ว่าที่สมุหนายก ยกทัพไปนครเวียงจันทน์อีก เมื่อไปถึงหนองบัวลุ่มภู เจ้าพระยาราชสุภาวดีส่งให้พระยาราชรองเมือง พระยาพิชัยสงคราม พระยาทุกขราษฎร์ เมืองนครราชสีมา หลวงสุเรนทรวิชิต เป็นกองหน้า คุมทหาร 500 คน ยกล่วงหน้าไปถึงพรานพร้าวก่อน ครั้นกองหน้าไปถึงพรานพร้าว (อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย) ได้ทราบข่าวว่าท้าวเพี้ยกรมการที่อยู่รักษานครเวียงจันทน์ มีกิริยาอาการผิดปกติอยู่บ้าง พระยาราชรองเมืองไม่ไว้ใจแก่เหตุการณ์ จึงจัดให้พระยาพิชัยสงคราม พระยาทุกขราษฎร์ หลวงสุเรนทรวิชิต แบ่งกำลัง 300 คน ยกข้ามไปตั้งฟังราชการที่นครเวียงจันทน์ พระยาพิชัยสงคราม พระยาทุกขราษฎร์ และหลวงสุเรนทรวิชิต ก็ยกไปตั้งอยู่กลาง (ในเมืองเวียงจันทน์)
ครั้น ณ เดือน 8 แรม 1 ค่ำ เจ้าราชวงศ์มีหนังสือมาถึงเมืองจันทน์เมืองซ้ายว่า เจ้าเวียดนามใช้ญวนพาเจ้าอนุวงศ์และเจ้าราชวงศ์มาส่ง ณ เมืองเวียงจันทน์ มาถึงท่าข้ามช้างแล้วยังทางอีก 4 คืน จะมาถึงเมืองเวียงจันทน์ กรมการเมืองเวียงจันทน์ ทั้งสองจึงให้คนถือจดหมายส่งตามลำดับชั้น จนถึงพระยาราชสุภาวดีๆ ก็รีบยกกองทัพขึ้นไปแต่ ณ เดือน 8 แรม 5 ค่ำ เวลาเช้า ในเดือน 8 แรม 6 ค่ำนั้น เจ้าอนุวงศ์ก็ยกมาถึงเมืองเวียงจันทน์ คนมาด้วยเจ้าอนุวงศ์เป็นลาวประมาณ 1,000 คนเศษ ญวนประมาณ 80 คนเศษ ตั้งอยู่ ณ เมืองเวียงจันทน์ล่ามญวน 2 คน จึงมาหาพระยาพิชัยสงคราม พระยาทุกขราษฎร์ หลวงสุเรนทรวิชิต ว่าเวลาพรุ่งนี้ญวนจะพาเจ้าอนุวงศ์มาพูดจาโดยดี เพราะวันนี้เย็นมากแล้ว
ครั้นเวลาเช้า ญวนก็พาเจ้าอนุวงศ์มาหาพระยาพิชัยสงคราม ณ ศาลาลูกขุน “ว่าเจ้าอนุวงศ์ทำความผิดหนีไปหาญวน ญวนเหมือนมารดา กรุงเทพมหานครเหมือนบิดาๆ โกรธบุตรแล้วมารดาต้องพามาขอโทษ ท่านแม่ทัพมาถึงแล้ว เจ้าอนุวงศ์จะมาหาแม่ทัพให้พาลงไป ณ กรุงเทพฯ แล้วพระเจ้ากรุงเวียดนามได้มีพระราชสาส์นไปขอโทษเจ้าอนุวงศ์ทางเรือ เจ้าอนุวงศ์เคยขึ้นแก่กรุงไทยอย่างไรญวนก็ไม่ขัดข้อง ญวนต้องเอาธุระด้วยเมืองเวียงจันทน์เคยไปจิ้มก้อง 3 ปีครั้ง 1” ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ก็พูดจากับพระยาพิชัยสงคราม พระยาทุกขราษฎร์ หลวงสุเรนทรวิชิต เป็นปกติ และเอาข้าวสาร หมากพลู หม้อทองเหลือง มาให้นายไพร่กันทั่วแล้ว เจ้าอนุวงศ์ก็กลับไปอยู่วัดพระแก้ว พระยาพิชัยสงคราม พระยาทุกขราษฎร์ หลวงสุเรนทรวิชิต เชื่อถือถ้อยคำเจ้าอนุวงศ์ประมาทหามีข้อสงสัยไม่ ปล่อยคนไปเที่ยวหากินเสีย หาอยู่พรักพร้อมกันไม่


ซากโบราณสถานเมืองพานพร้าว ที่เจ้าอนุวงค์รื้อพระเจดีย์

เจ้าอนุวงศ์และเจ้าราชวงศ์ยกพลเข้าล้อมกองทัพไทย
ในวันเดือน 8 แรม 7 ค่ำ เวลาบ่ายประมาณ 3 โมง เจ้าพระยาราชสุภาวดียกขึ้นไปถึงค่ายพรานพร้าว พอเวลาบ่าย 4 โมง เจ้าอนุวงศ์และเจ้าราชวงศ์ก็ยกพลเข้าล้อมพระยาพิชัยสงคราม พระยาทุกขราษฎร์ หลวงสุเรนทรวิชิตไม่ทันรู้ตัวก็ถูกลาวยิง ขุนหมื่นนายไพร่ในกองทัพต่างตกใจวิ่งหนีจะลงเรือ ลาวก็เก็บเรือถอยไปเสียหมด จึงพากันโดดลงน้ำว่ายข้ามฟากมา ลาวก็เอาเรือมาไล่ แทงฟันตายเสียมาก เหลืออยู่แต่หมื่นรักษานาเวศกับไพร่ประมาณ 40-50 คน ว่ายน้ำเกาะขอนไม้ข้ามมาได้

ฝ่ายเจ้าพระยาราชสุภาวดีอยู่ที่ค่ายพานพร้าว และเห็นเกิดฆ่าฟันกันขึ้นที่หาดทรายหน้าเมือง ก็รู้ว่าทัพไทยเป็นอันตรายแล้ว จะยกข้ามไปคนก็ยังน้อยตัวลง เรือก็ไม่พอ พอเวลาค่ำหมื่นรักษานาเวศมาถึงแจ้งความให้เจ้าพระยาราชสุภาวดีฟังทุกประการ พวกลาวชาวเมืองนครราชสีมาทราบข่าวก็พากันหลบหนีไปเป็นอันมาก

เจ้าพระยาราชสุภาวดี จึงปรึกษาด้วยนายกองว่าจะลงไปสู้รบที่เมืองนครราชสีมาก็ไกลนัก จะตั้งอยู่ที่พรานพร้าวก็ไม่ได้คนน้อยตัว พระยาเชียงสาจึงว่าเมืองยโสธรข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ผู้คนก็มั่งคั่ง ให้ยกไปตั้งอยู่ที่นั่นเห็นจะสู้รบได้ จึงรับอาสานำทางลัดป่ามาเมืองยโสธรในเวลากลางคืนวันนั้น ฝ่ายญวนเห็นเจ้าอนุวงศ์ทำวุ่นวายขึ้นฆ่าพวกไทยเสียไม่บอกกล่าวให้รู้ ผิดต่อรับสั่งพระเจ้าเวียดนาม พวกญวนก็พากันทิ้งเจ้าอนุวงศ์เสีย กลับไปเมืองล่าน้ำดังเก่า

ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ทราบว่าเจ้าพระยาราชสุภาวดียกไปตั้งอยู่ค่ายพรานพร้าว ก็จัดให้เจ้าราชวงศ์รีบยกกองทัพข้ามฟากมาล้อมจับเจ้าพระยาราชสุภาวดี และให้คนข้ามไปรื้อพระเจดีย์ปราบเวียงที่เมืองพานพร้าวเสีย เชิญพระเสริมและพระพุทธรูปที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลบรรจุไว้ มาประดิษฐานไว้ที่เวียงจันทน์ดังเก่า


วัดหอพระแก้ว ณ พานพร้าว

เจ้าอนุวงศ์หนีจากเมืองเวียงจันทน์
ครั้น ณ วันเดือน 11 ขึ้น 11 ค่ำ เวลาเกือบรุ่ง เจ้าอนุวงศ์ เจ้าราชวงศ์และเจ้าสุทธิสารก็พาครอบครัวอพยพหนีจากเวียงจันทน์ไป
ฝ่ายเจ้าพระยาราชสุภาวดี ครั้นยกพลมาตั้งอยู่เมืองพรานพร้าวแล้ว ก็สั่งให้นายทัพนายกองคุมไพร่ 600 คน ข้ามไปเมืองเวียงจันทน์ พอเจ้าอนุวงศ์ยกหนีไปได้วันหนึ่งแล้ว นายทัพนายกองก็รีบติดตามไป พบแต่เจ้าสุทธิสารและครอบครัวที่บ้านไผ่ (บริเวณเทศบาลเมืองหนองคาย) นายทัพนายกองจับตัวได้เมื่อเดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ให้หลวงทรงวิชัยกับไพร่ 15 คน คุมตัวเจ้าสุทธิสารกับญาติพี่น้องลงมาส่งเจ้าพระยาราชสุภาวดีที่พรานพร้าว นายทัพนายกองก็ติดตามเจ้าอนุวงศ์ต่อไป เจ้าพระยาราชสุภาวดีให้ถามเจ้าสุทธิสารให้การว่า เมื่อเจ้าอนุวงศ์หนีไปนั้นพวกตนหารู้ไม่ ครั้นรุ่งเช้าขึ้นได้ตามเจ้าอนุวงศ์ไปหาช้างที่บ้านดอนไม่พบ คนเลี้ยงช้างบอกว่าเจ้าอนุวงศ์เอาไปเสียแต่เวลาเช้าแล้ว

เจ้าสุทธิสารกับญาติพี่น้องก็ต้องเดินไป พออ้ายฉิมขี่ช้างมาบอกว่าเจ้าอนุวงศ์ให้เอาช้างมารับ เพราะไพร่พลหนีไปเสียเหลืออยู่แต่เจ้าราชวงศ์กับครอบครัว ไพร่ 3 คน ช้าง 5 เชือก ม้า 5 ตัว เจ้าอนุวงศ์จะไปทางท่าข้ามช้าง และจะไปอาศัยอยู่เมืองพวนก่อน เจ้าพระยาราชสุภาวดีแจ้งดังนั้น ก็เกณฑ์คนเพิ่มเติมให้ไปสมทบกับนายทัพนายกองที่ตามเจ้าอนุวงศ์ไป แล้วให้พระพิพิธเดชะกับไพร่พลคุมตัวเจ้าสุทธิสาร กับญาติพี่น้องลงมาส่งยังกรุงเทพมหานคร แล้วเจ้าพระยาราชสุภาวดีก็ยกทัพข้ามไปตั้งอยู่เมืองเวียงจันทน์ และให้รื้อทำลายบ้านเมืองเสียให้สิ้น ยกเว้นไว้แต่วัดวาอาราม
ฝ่ายท้าวเพี้ยเมืองเวียงจันทน์ ก็พากันเข้าหาเจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าพระยาราชสุภาวดีจึงจัดให้คนไปติดตามกวาดต้อนครัวเมืองเวียงจันทน์ ข้ามารวบรวมไว้ ณ ฟากพานพร้าว กำหนดจะกวาดต้อนครัวส่งลงมา ณ กรุงเทพมหานคร ณ เดือน 12 ให้สิ้น เพื่อมิให้ตั้งบ้านเมืองหนาแน่นเหมือนแต่ก่อน


เจ้าพระยาราชสุภาวดี ข้ามแม่น้ำโขงไปเวียงจันทน์เพื่อจับเจ้าอนุวงศ์

แม่ทัพไทยลวงฆ่าพวกญวน
ฝ่ายเจ้ากรุงเวียดนามทรงทราบว่าเจ้าอนุวงศ์ทำการวุ่นวายแก่กองทัพไทย ไม่สวามิภักดิ์ตามที่รับสั่งไว้ เกิดรบพุ่งกันขึ้นอีก จึงมีหนังสือถึงแม่ทัพไทยฉบับหนึ่ง ถึงเจ้าอนุวงศ์ฉบับหนึ่ง ให้เจ้าเมืองล่าน้ำจัดขุนนางและกรมการกับไพร่ มาส่งให้ถึงเจ้าอนุวงศ์และกองทัพไทย เจ้าเมืองล่าน้ำจึงจัดให้กายโดยทุงเลดินยุต เวียนหูล่ามกับไพร่ญวนลาว 50 คน มาลงเรือที่เมืองมหาชัยกองแก้ว ครั้นมาถึงเมืองนครพนมแจ้งว่า เจ้าอนุวงศ์ได้หนีไปอยู่เมืองพวน จึงมีหนังสือให้แม่ทัพไทยทราบ ฝ่ายพระยาวิชัยสงคราม หลวงนรา ซึ่งตั้งทัพอยู่เมืองนครพนม

จึงบอกหนังสือมาถึงเจ้าพระยาราชสุภาวดีแม่ทัพใหญ่ๆ ก็ให้มีหนังสือตอบไปว่า พระยาพิชัยสงคราม หลวงสุเรนทรวิชิต กับไพร่ 200 – 300 คนเศษ ประมาทอยู่ก็เพราะเชื่อญวน จึงได้ตาย ครั้งนี้มันก็มาล่อลวงทำอย่างนั้นอีก จะเอามันไว้ทำไมให้กำจัดมันเสียให้สิ้น นายทัพทั้ง 2 แจ้งหนังสือแก่แม่ทัพใหญ่แล้วก็ให้ไปล่อลวงญวนและไพร่ขึ้นไปว่าจะเลี้ยงโต๊ะ ญวนสำคัญว่าจริงก็ให้ไพร่เฝ้าเรือแต่ 2 คน นอกนั้นก็พากันขึ้นไปสิ้น ครั้นไปถึงค่ายพร้อมกันแล้ว นายทัพทั้ง 2 จึงให้สัญญาน พวกไทยก็กรูกันเข้าฆ่าพวกญวนตาย เหลืออยู่แต่เลดินยุตกับไพร่ลาว 2 คน ถูกอาวุธบาดเจ็บจึงได้นำตัวส่งไปให้เจ้าพระยาราชสุภาวดีแม่ทัพใหญ่

ครั้นเดือน 12 ขึ้น 15 ค่ำ (ธันวาคม) เจ้าน้อยเมืองพวนให้เพี้ยเมืองกลาง เพี้ยห่อไช มาแจ้งความแก่เจ้าพระยาราชสุภาวดีที่เมืองเวียงจันทน์ว่า เจ้าน้อยเมืองพวนแต่งกองทัพออกอาละวาดตระเวนด่านทางทุกตำบล ถ้าเจ้าอนุวงศ์จะหนีขึ้นไปจะจับส่งให้มิให้หนีไปได้ ขออย่าให้กองทัพกรุงเทพฯ เข้าไปในเขตแดนเมืองพวนเลย ไพร่บ้านพลเมืองจะสะดุ้งสะเทือนไป


"เมืองพวน"

จับเจ้าอนุวงศ์ได้
ครั้น ณ เดือน 12 ข้างแรม เพี้ยนามโคตร เพี้ยอุทุมมาหาเจ้าพระยาราชสุภาวดีแจ้งว่า เจ้าน้อยเมืองพวนให้ออกเที่ยวลาดตระเวน พบเจ้าอนุวงศ์กับครอบครัวที่แม่น้ำไฮ เชิงเขาไก่ ให้คนล้อมไว้ 50 คนแล้ว ขอให้แต่งคนขึ้นไปจับเอาโดยเร็ว เจ้าพระยาราชสุภาวดีจึงให้พระอินทรเดชะ คุมไพร่ 300 คน ไปจับเข้าอนุวงศ์ไปถึงหาดเดือย พบพระลับและนายหนานขัติยะเมืองน่าน ท้าวมหาพรหมเมืองหลวงพระบางจับเจ้าอนุวงศ์กับครอบครัวไว้ได้พร้อมกับนายทัพนายกองจึงคุมตัวเจ้าอนุวงศ์กับครอบครัวลงมาส่งเจ้าพระยาราชสุภาวดี ณ เมืองเวียงจันทน์ เจ้าพระยาราชสุภาวดีให้ซักถามเจ้าอนุวงศ์กับพี่สาวเจ้าอนุวงศ์ ได้ความว่าเจ้าราชวงศ์ถูกหอกถูกปืนบาดเจ็บสาหัส ได้หนีไปทางเรือว่าจะไปเมืองมหาชัยกองแก้ว เจ้าพระยาราชสุภาวดีก็ให้คนติดตามเจ้าราชวงศ์ทั้งทางบกทางเรือหลายทางแต่ไม่พบ
เจ้าพระยาราชสุภาวดีจึงให้พระอนุรักษโยธา พระโยธาสงคราม หลวงเทเพนทร์ พระนครศรีบริรักษ์เจ้าเมืองขอนแก่น ราชวงศ์เมืองชนบท กับไพร่ 300 คน คุมตัวเจ้าอนุวงศ์กับครอบครัวลงมาส่งกรุงเทพฯพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธเจ้าอนุวงศ์มากจึงทรงให้คุมขังเจ้าอนุวงศ์ประจานกลางพระนครจนสิ้นพระชนม์


ภาพวาดทางทหารสยามจับกุมเจ้าอนุวงค์ พามาที่กรุงเทพมหานคร

ส่วนกรุงเวียงจันทน์ก็ทรงมีพระบรมราชโองการให้ทำลายจนไม่เหลือสภาพความเป็นเมือง และตั้งศูนย์กลางการปกครองฝ่ายไทยเพื่อดูแลอาณาเขตของอาณาจักรเวียงจันทน์ที่เมืองหนองคายแทน เมืองเวียงจันทน์ที่ถูกทำลายลงในครั้งนั้นมีเพียงแค่หอพระแก้วและวัดสีสะเกดเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน สงครามเจ้าอนุวงศ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรสยามและจักรวรรดิเวียดนาม จนกระทั่งเกิดสงครามที่เรียกว่า “อานามสยามยุทธ” เป็นระยะเวลาถึง 14 ปี เพราะทั้งสองอาณาจักรล้วนต้องการขยายอิทธิพลของตนเข้าไปในดินแดนลาวและเขมร ทั้งสงครามนี้ยังเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลระหว่างไทยกับลาวสืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบัน


"จำลองหนังสือใบลาน" หนังสือที่บันทึกลายลักษณ์อักษร

จารึกฝั่งลาวที่สยามกระทำเจ้าอนุวงศ์จนสิ้นพระชนม์

เอกสารฝ่ายลาวยังกล่าวอีกว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดเกล้าฯ ให้นำพระองค์เจ้าอนุวงศ์ใส่กรงเหล็กประจานไว้หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ พร้อมด้วยนำเครื่องทรมานต่างๆ มาทรมานพระองค์อย่างเหี้ยมโหด โปรดให้อดข้าว น้ำ ทั้งพระมเหสี พระชายา พระสนม ตลอดจนพระราชโอรสพระราชนัดดาหลายพระองค์ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าอนุวงศ์และพระบรมวงศานุวงศ์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยความทุกข์ทรมาน สิริพระชนมายุรวม ๖๑ พรรษา นับเวลาในการเสด็จครองราชย์ในนครเวียงจันทน์ได้ ๒๓ ปี หลังจากนั้นเป็นต้นมาทางสยามก็ไม่ได้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดในราชวงศ์ล้านช้างเวียงจันทน์ ขึ้นมาเป็นกษัตริย์เวียงจันทน์ ฝ่ายกรุงเวียงจันทน์ได้ถูกทำลายจากการปล้นและเผาจนไม่เหลือสภาพของเมืองหลวงและกลายเป็นเมืองร้างในที่สุด คงเหลือไว้แต่วัดสำคัญเพียงไม่กี่วัด ได้แก่ วัดพระแก้ว และวัดสีสะเกดเท่านั้น




















ตามข้อมูลชั้นต้นพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ใช้คำว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ "รื้อ" เมืองเวียงจันทน์ลง แต่ให้เว้น "วัดและอาราม" ให้คงไว้ รื้อเฉพาะกำแพงเมืองกับพระราชวัง ศาลาลูกขุนใหญ่ วังเจ้านาย และสิ่งปลูกสร้างในเขตกำแพงล้อม หลายๆคนตีความว่ารื้อนั้นรวมถึงเผา แต่จากภาพวาดของนักสำรวจชาวตะวันตกและคำบรรยายของอองรี มูโอร์ ยืนยันว่าสถานที่สำคัญอย่างวัดสีสะเกด หอพระแก้ว วัดพระเจ้าองค์ตื้อไม่ได้ถูกเผา โครงสร้างอาคารยังเหลืออยู่มาก เสียหายแต่ส่วนหลังคาซึ่งเป็นไม้ผุพังลงเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีจดหมายเหตุการปราบกบฏเวียงจันทน์เป็นเอกสารอีกชิ้นที่ใช้อ้างอิงด้วย

หลังการรื้อเวียงจันทน์ สยามไม่ได้กวดต้อนครัวเวียงลงมาภาคกลางหรือฝั่งอีสานทั้งหมดตามที่เข้าใจกัน เพราะมีเอกสารระบุชัดเจนว่าเจ้าพระยาราชสุภาวดี ได้แบ่งครัวเวียงและหัวเมืองบริวารบางส่วนมาไว้ค่ายริมหนองน้ำ และยกค่ายนั้นขึ้นเป็นเมืองหนองค่าย ก่อนเพี้ยนเป็นหนองคาย มีฐานะเป็นประเทศราชคุมเมืองล้านช้างที่เคยเป็นของเวียงจันทน์ ต่อมาท้าวเคนอุปราชเมืองหนองคายได้ขึ้นเป็นพระปทุมเจ้าเมืองแทนบิดา พระปทุมเคนได้ให้ท้าวสาลีบุตรเขยไปจัดครัวเวียงจันทน์ที่กระจายอยู่รอบกำแพงเมืองมารวมกันเป็นเมืองและยกเป็นเมืองจันทบุรี ให้ท้าวสาลีเป็นพระกุประดิษฐ์บดีเจ้าเมืองจันทบุรีขึ้นกับเมืองหนองคาย แสดงว่าภายหลังการรื้อเมืองเวียงจันทน์ยังมีราษฎรอาศัยอยู่รอบกำแพงเมืองอยู่มากจนถึงกับตั้งเป็นเมืองได้ ยังมีสภาพเป็นเมืองอยู่มาก

ในปี 2417 กองทัพฮ่อยกมาตีเวียงจันทน์และข้ามแม่น้ำโขงมาตีหนองคาย ตามรายงานทัพข้าหลวงมหาดไทยที่ยกทัพหัวเมืองอีสานไปตีทัพฮ่อที่หนองคาย ระบุว่าเวียงจันทน์โดนทัพฮ่อ "เผา" เสียหายมาก วัดและอารามถูกเผา พระพุทธรูปและสถูปถูกขุดหาของมีค่า พระธาตุหลวงถูกขุดทุบจนยอดพระธาตุหักพังลงมา แสดงว่าหลักฐานความเสียหายที่ปรากฏในสมัยหลังเป็นผลงานของพวกฮ่อ (ในเหตุการณ์นี้หลวงพระบางก็โดนด้วยตัวเมืองและพระราชวังหลวงพระบางเจอพวกฮ่อเผาจนราบคาบ จนต้องสร้างหอคำใหม่ที่มุงหญ้าแทน)

ส่วนวาทกรรมสยามเผาเวียงจันทน์นั้นเกิดขึ้นในสมัยหลัง โดยมีพงศาวดารลาวลาวฉบับกระทรวงศึกษาธิการซึ่งแต่งโดยมหาสิลา วีละวงเป็นเอกสารชิ้นแรกๆว่าสยามเผาเวียงจันทน์ เอกสารของมหาสิลา วีละวงมีลักษณะเป็นวรรณกรรมสร้างชาตินิยมและปลุกใจคนอ่านให้รักชาติแบบเดียวกับหลวงวิจิตรวาทการ

เอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของลาวมีน้อยมาก แถมส่วนใหญ่อยู่ในความครอบครองของไทย ทำให้การเขียนประวัติศาสตร์ลาวต้องอาศัยหลักฐานจากฝั่งไทยและใส่สีตีไข่เอาเอง งานเขียนของมหาสิลา วีละวงใช้เอกสารฝ่ายไทยเป็นโครงในการเขียน และเลือกที่จะแปลงสารตัดส่วนที่ไม่ต้องการไม่ตรงกับจริตออก ใส่ส่วนที่คิดว่าเป็นผลดีเข้าไปตามแนวคิดตน


ทำไมเวียงจันทน์ไม่ค่อยมีซากเมือง คำตอบคือหลังศึกเจ้าอนุวงศ์ศูนย์กลางอำนาจของล้านช้างเปลี่ยนไปสู่หลวงพระบาง เมื่อเวียงจันทน์ถูกฮ่อเผาจึงไม่ค่อยได้มีการบูรณะ แต่เมื่อฝรั่งเศสมาปล้นฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปก็มองว่าหลวงพระบางมีชัยภูมิที่ไม่เหมาะแก่การเป็นศูนย์กลางอาณาจักร จึงให้ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาที่เวียงจันทน์ และก่อร่างสร้างเมืองกันใหม่ ทำให้ซากปรักหักพังต่างๆถูกเก็บกวาดไปหมด











ผมขอวิเคราะห์มุมมองผม
- ผมว่าทางสยามเผาก็ไม่ได้เผาอะไรมากมายนัก แต่ก็มีคนลาว บางส่วนก็เผาไปเพื่อเอาของ แล้วที่เผาเยอะจริงๆคือพวกฮ่อ พม่าที่เผากรุงศรีนั้นถึงจะเผาไม่หมดมีบางส่วนที่ทางชาวบ้านอยุธยาไปเผา รวมทั้งคนจีนเผาเพื่อเอาสมบัตินั้น พม่าทำดูรุนแรงกว่าที่ทางสยามทำกับเวียงจันทน์ไว้อีก

- พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อให้ท่านให้ยกครัวเวียงจันทน์กลับ ผมก็คิดว่าทางเจ้าอนุวงศ์นั้นก็คิดแผนไว้แล้วว่าจะคอยมาตีกรุงรัตนโกสินทร์อยู่ดี เพียงแต่ประเด็นนี้ผมกลับคิดด้วยตัวของผมคนเดียว โดยจะร่วมมือกับทางญวณ ที่คอยเข้ามาขยายอิทธิพลมาในลาว

-พระเจ้าสิริบุญสารไม่รักษาพระราชไมตรี แถมยกพลมาตีบุกรุกลงมาถึงตำบลดอนมดแดง ทำให้พระเจ้าตากท่านพิโรธมาก เลยทำให้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มาบุกเวียงจันทน์

-ถ้าสงครามครั้งนี้เราพ่าย ทางฝั่งนั้นจะเอาเราถึงสิ้นชาติเผาเมืองไม่ให้เหลือซาก แล้วขึ้นมาต่อกรได้อีก


ทำไมเจ้าอนุวงศ์ถึงแพ้จากหลักฐานชั้นต้น คือจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓

- สาเหตุที่คิดว่าตี ก็เพราะขุนพลที่มี ฝีมือในยุค ร.3 สายเลือดใหม่ไม่เก่งเท่าในสมัย ร.1ซึ่งเป็นการประเมินที่ผิด สงครามเจ้าอนุวงศ์ทำให้เห็นแม่ทัพไทยที่เก่งกาจกล้าหาญหลายคน อาทิ กรมหมื่นนเรศโยธี แม่ทัพหน้าบริเวณลุ่มน้ำชีตอนต้น เจ้าพระยาราชสุภาวดี แม่ทัพไทยด้านอีสานกลาง อีสานตะวันออก และพระยาเพชรพิไชย แม่ทัพหน้าลุ่มน้ำป่าสัก

-เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมิน “พันธมิตร” ของพระองค์ผิดพลาดไปหมด ทรงคิดว่า “ลาวพุงดำ” อันประกอบไปด้วย เชียง ใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่านจะเข้าช่วยพระองค์ แต่เหตุกลับตรงกันข้าม เพราะด้วยกลัวอำนาจอิทธิพลสยามเป็นส่วนหนึ่ง ทำให้เหล่าหัวเมืองล้านนา ไม่สนับสนุน แล้วภายหลังจะให้วางตัวเป็นกลาง แต่ทว่ากลับเลือกที่จะอยู่ฝ่ายไทย รวมทั้งหลวงพระบาง

-เจ้าเมืองอีสานหลายเมืองไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ บางเมืองก็ต่อต้านจนถูกประหาร เจ้าเมืองที่ถูกฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ประหารมีเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เขมราฐ ชัยภูมิ ภูเวียง ภูเขียว หล่มสัก และขุขันธ์ เมืองหลังนี้เคยให้ความร่วมมือดีมาก แต่ตอนหลังเกิดระแวงจึงถูกประหาร การประหารชีวิตเจ้าเมืองเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเจ้าเมืองทุกแห่งมีญาติ พี่น้องบ่าวไพร่มาก และญาติพี่น้องส่วนมากก็เป็นผู้บริหารเมืองนั้นๆ ด้วย จึงเท่ากับเจ้าอนุวงศ์ทรงสร้างศัตรูขึ้นมากมาย

-อาวุธยุทโธปกรณ์ฝั่งสยามล้ำหน้าไปไกลกว่า เจอศึกใหญ่มาเยอะกว่า





ที่มาบทความ : http://www.phusing.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=195

https://www.silpa-mag.com/club/article_10322

https://www.baanjomyut.com/library/laos/01.html

https://pantip.com/topic/32709153

ข้อมูลอาจมีคลาดเลื่อน พยายามย่อละ แต่ย่อไม่ได้ซะงั้น
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออนไลน์
แขวนสตั๊ด
Status: เบื้องหลังการถ่ายรูป
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Feb 2016
ตอบ: 28143
ที่อยู่: ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โลก เข้าร่วม: 13 Feb 2005
โพสเมื่อ: Thu Jul 12, 2018 21:06
สาเหตุทางสยามไปต้อนครัวที่เวียงจันทน์ยุคกรุงธนบุรี , กบฎ, สยามเผาเวียงจันทน์?
ชาวอีสานบรรพบุรุษคือชาวลาว
แต่ปัจจุบันอีสาน เจริญกว่านครเวียงจันทร์ไปมากแล้ว
มีประชากรเยอะกว่า เศรษฐกิจดีกว่า
ชาวอีสานจึงภาคภูมิใจกับการเป็นคนไทยมากกว่า

แต่อย่างว่าลาวเกิดมาก่อนไทย
ก็คงไม่อยากอยู่ใต้อำนาจไทยเหมือนเขมร
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
แขวนสตั๊ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 26 Feb 2010
ตอบ: 14872
ที่อยู่: Weserstadion
โพสเมื่อ: Thu Jul 12, 2018 21:36
[RE: สาเหตุทางสยามไปต้อนครัวที่เวียงจันทน์ยุคกรุงธนบุรี , กบฎ, สยามเผาเวียงจันทน์?]
เจ้าอนุวงศ์ก็มั่นหน้ามั่นโหนกเกิ๊น

คือขึ้นมาจนถึงโคราชนี่ไม่ได้กะแค่ประกาศอิสรภาพแน่ๆ

แต่กะจะไปให้ถึงกรุงเทพฯแล้วก็ตีเอาเมืองเห็นๆ

แล้วจะทำศึกใหญ่แต่ฝากความหวังไว้กับตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้

คิดว่าไทยกับอังกฤษจะต้องรบกัน

คิดว่าล้านนาจะช่วย

คิดว่าหลวงพระบางช่วย

คิดว่าหัวเมืองอีสานจะเข้าร่วม

คิดว่าจะเกิดศึกสายเลือดระหว่าง ร.๓ กับ ร.๔

แต่ออกมาตรงกันข้ามกับที่คิดทุกอย่าง

เจ็บสุดคือโดนหลวงพระบางตลบหลังตีเมืองเอาอีก

แล้วเจ้าหลวงพระบางเลยได้เป็นเจ้ามหาชีวิตเหนือลาวทั้งปวงไปยาวๆ
แก้ไขล่าสุดโดย G.Conlon เมื่อ Thu Jul 12, 2018 23:10, ทั้งหมด 4 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ดาวเตะกัลโช่
Status: #โอตะสายคุณธรรมคนสุดท้ายแห่งศตวรรษ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Jul 2014
ตอบ: 7640
ที่อยู่: ร้านขนมหวานของวิว
โพสเมื่อ: Thu Jul 12, 2018 21:37
[RE: สาเหตุทางสยามไปต้อนครัวที่เวียงจันทน์ยุคกรุงธนบุรี , กบฎ, สยามเผาเวียงจันทน์?]
อ่านเพลินเลย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออนไลน์
ซุปตาร์โอลิมปิก
Status: ื❤️Niya❀janrybnk48❀❤️my january & Niya.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 14401
ที่อยู่: อยู่ในใจ Niya
โพสเมื่อ: Thu Jul 12, 2018 22:13
[RE: สาเหตุทางสยามไปต้อนครัวที่เวียงจันทน์ยุคกรุงธนบุรี , กบฎ, สยามเผาเวียงจันทน์?]
กรุงเทพสมัยนั้นมันใกล้ฟื้นตัวเต็มที่แล้วพวกทัพหัวเมืองจะลงมาตีมันยากอยู่ต่อให้พม่าไม่มีปัญหากันเองแล้วทัพใหญ่ลงมาก็ใช่ว่าจะกดเราได้ง่ายๆแบบสมัยอยุธยาเพราะเราเลี้ยงพวกเจ้าล้านนาไว้ข้างบนเอาไว้เป็นแนวป้องกัน เจ้าอนุวงศ์แกคิดการใหญ่ไปการศึกสงครามสมัยนั้นพวกเจ้านายและก็ขุนนางก็เห็นว่าสำคัญใครไปรบแล้วผลงานไม่มีโดนโทษประหารกันไปหลายคนเป็นเรื่องซีเรียส
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

เสาหลักเจ้าหญิง NIYA BNK48
ออนไลน์
ซุปตาร์โอลิมปิก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Aug 2010
ตอบ: 14295
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Jul 12, 2018 22:16
[RE: สาเหตุทางสยามไปต้อนครัวที่เวียงจันทน์ยุคกรุงธนบุรี , กบฎ, สยามเผาเวียงจันทน์?]
สนุกดีนะ การจะอ่านศึกสมัยก่อน ต้องทิ้งภาพฝ่ายดีฝ่ายร้ายไปก่อน ทุกฝ่ายก็พอๆ กันใครเผลอก่อนก็โดนแบบนี้แหละ

แต่อย่างหนึ่งที่รู้สึก คือศึกแถวบ้านเราใช้คนน้อยจริงๆ หลักร้อยเองยึดเมืองกันได้แล้ว คิดเทียบกับอ่านสามก๊กนี่มันคนละสเกลเลย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Mar 2018
ตอบ: 2945
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 13, 2018 02:47
[RE]สาเหตุทางสยามไปต้อนครัวที่เวียงจันทน์ยุคกรุงธนบุรี , กบฎ, สยามเผาเวียงจันทน์?
เข้ามาปรบมือชื่นชมให้กับทุกท่าน
ที่อ่านมู้นี้จบครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel