มติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ชี้มูลความผิดต่ออดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีต รมว.คลัง โทษฐานที่เห็นชอบให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI พร้อมส่งตัวแทนของกระทรวงการคลังเข้าไปเป็นคณะผู้บริหารแผนเมื่อเดือน ก.ค.2546
เนื่องเพราะเป็นการกระทำนอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลังในการเข้าไปบริหารกิจการของเอกชนตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 นั้น
แม้จะเป็นเรื่องที่เจาะจงจะเอาความผิดเฉพาะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เสมือนการขุดรากถอนโคนกันทางการเมือง ขณะที่ ร.อ.สุชาติ ถูกจำหน่ายคดีออกจากสารบบไปเพราะถึงแก่กรรมก็ตาม
แต่ข้อวินิจฉัยที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง และความจำเป็นในขณะนั้นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อแผนการดำเนินงานของกิจการที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ ยังอาจเปิดช่องให้กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกลับมาเรียกร้องขอให้รัฐบาลชดเชยเยียวยากรณีที่พวกเขาต้องสูญเสียการเป็นผู้บริหารกิจการ และการถือหุ้นรายใหญ่ โดยขอซื้อหุ้นคืนในราคาทุนจากกลุ่มพันธมิตรที่เข้ามาใส่เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้ทีพีไอในยามที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ หากการพิจารณาประเด็นใดๆต่อจากนี้ มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง และสุจริต
ปูมหลัง และมหากาพย์แห่งหนี้
ย้อนหลังกลับไปดูภาพความเป็นมาของ บมจ.ทีพีไอ ในวันที่โชติช่วงชัชวาล จนถึงวันที่เกือบจะล่มสลาย และต้องเข้าสู่ภาวะฟื้นฟูกิจการเพราะมีหนี้สินจำนวนมหาศาลที่ไม่สามารถชำระคืนได้ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC (Intergrate Refinery Petrochemical Complex) อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
เพื่อให้เข้าใจถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ดุเดือดเข้มข้น จนหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสื่อมวลชน ต่างขนานนามกรณีนี้ว่า "มหากาพย์แห่งหนี้ทีพีไอ" นั้น ทีมเศรษฐกิจ ขอนำผู้อ่านไปดูปูมหลังของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ในช่วงก่อนการล่มสลายของเศรษฐกิจไทย เป็นการปูพื้นสักเล็กน้อย
ทีพีไอก่อตั้งขึ้นโดยคนในครอบครัว "เลี่ยวไพรัตน์" ที่มีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ ตั้งแต่ปี 2521 ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง 300 ล้านบาท พร้อมการสนับสนุนเงินกู้จากพันธมิตรสถาบันการเงินในตระกูล "โสภณพนิช" ที่เปรียบเสมือนญาติสนิทจากโพ้นทะเลด้วยกัน มีเป้าหมายก่อร่างสร้างอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจรขึ้นในประเทศ
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ธุรกิจและอุตสาหกรรมของทีพีไอจึงได้รับการขยาย และต่อยอด การลงทุนเพื่อแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างกว้างขวาง กระทั่งกลายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตปิโตรเคมีครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีสายการผลิตมากที่สุดในประเทศไทย ตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ จนกระทั่งถึงอุตสาหกรรมปลายน้ำ ครอบคลุมถึงกลุ่มโรง
กลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า ปูนซีเมนต์ และท่าเทียบเรือน้ำลึกในจังหวัดระยอง
การเติบใหญ่ของอุตสาหกรรมที่ขยายการลงทุนต่อไปอย่างไม่เคยหยุดยั้ง จากการเป็นบริษัทของครอบครัวเลี่ยวไพรัตน์ ทีพีไอได้กลายมาเป็นบริษัทมหาชนที่เข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2537 เนื่องจากยังมีความจำเป็นจะต้องระดมเงินทุนจากประชาชนมาลงทุนต่อเนื่องต่อไป นอกเหนือจากการระดมกู้เงินจากสถาบันการเงิน
นั่นทำให้กิจการของ บมจ.ทีพีไอในขณะนั้น มีสินทรัพย์รวมกันเป็นมูลค่ามากกว่า 130,000 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานมากถึง 8,000 คน
ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรทีพีไอ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจประเทศ ทั้งจากการลงทุนจำนวนมหาศาล และการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรปีละมากกว่าแสนล้านบาท โดยเฉพาะการกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการผลิตต่อวันสูงถึง 65,000-125,000 บาร์เรล
ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของบริษัทมหาชนใหญ่ อย่างปูนซิเมนต์ไทย และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในเครือ ปตท.
ขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทีพีไอได้เข้าสู่ยุคแห่งความโชติช่วงชัชวาลอย่างเต็มที่
สูงสุด...คืนสู่สามัญ
ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศ และทีพีไอกำลังเฉลิมฉลองการเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ไม่มีใครล่วงรู้ว่า วิกฤติเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" ที่มีต้นเหตุจากความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายทางการเงินการคลังของรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผสมโรงกับการใช้จ่าย และการลงทุนเกินตัวของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม จะทำให้ประกายไฟที่ส่องสว่างอยู่ในธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งของประเทศต้องดับมืดลงโดยฉับพลัน
ผลพวงของการเปิดเสรีทางการเงิน การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนสามารถกู้เงินจากต่างประเทศที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำกว่า เข้ามาใช้เพื่อขยายการลงทุน กระทั่งถึงการตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 ก.ค.2540 และคำสั่งปิดธนาคาร ตลอดจนถึงสถาบันการเงิน 56 แห่ง
ส่งผลให้ธุรกิจอุตสาหกรรมขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนตัวลงถึง 100% จาก 26 บาท เป็น 54 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องประสบปัญหาล้มละลาย และมีหนี้สินล้นพ้นตัว
เช่นเดียวกับทีพีไอที่ใช้บริการเงินกู้จำนวนมหาศาลจากต่างประเทศ ซึ่งต้องประสบกับปัญหาการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทันทีสูงถึง 69,261 ล้านบาท และมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นในจำนวนมหาศาลถึง 133,643.82 ล้านบาท หรือราว 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เงินต้น 2,700 ล้านเหรียญฯ รวมดอกเบี้ยที่พอกพูนขึ้นหลังการหยุดพักชำระหนี้ และคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 48 บาทต่อดอลลาร์)
มีเจ้าหนี้สถาบันการเงินทั้งไทยและเทศรวมกันกว่า 150 ราย แบ่งเป็นเจ้าหนี้ในประเทศ 1,200 ล้านเหรียญฯ โดยรายใหญ่ที่สุด และทำหน้าที่เป็นผู้ค้ำประกันให้ก็คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และมีหนี้กับเจ้าหนี้ต่างประเทศ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (ไอเอฟซี) ธนาคารส่งออกและนำเข้าสหรัฐฯ แบงก์ออฟอเมริกา และซิตี้แบงก์ เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 56% ของหนี้ทั้งหมด
อาณาจักรที่กำลังสุกสกาวของทีพีไอ พลิกผันกลายเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และดำดิ่งสู่วิกฤตการณ์ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้จะมีความพยายามเจรจาเพื่อไกล่เกลี่ยหนี้ภายใต้การนำของธนาคารกรุงเทพในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ต่างประเทศ กับนายประชัย หัวหมู่ทะลวงฟันของ "เลี่ยวไพรัตน์" แต่ก็ไม่สามารถจะหาข้อยุติได้
ขณะที่มีความพยายามเรียกร้องให้รัฐบาล "ชวน 2" เข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศจากการถูกยึดครองของต่างชาติ แต่จนแล้วจนรอด ความพยายามไกล่เกลี่ยหนี้ของทีพีไอก็ไม่สามารถจะคืบหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ไม่ว่ารัฐบาลในขณะนั้นจะใช้ช่องทางใด เพราะแม้แต่จะผ่านทางธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สำเร็จ
สุดท้ายในเดือน ส.ค.2540 ทีพีไอจึงประกาศหยุด "พักชำระหนี้" และตัดสินใจนำบริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู กิจการตามกฎหมายล้มละลาย!
จุดเริ่มต้นก่อนถึงทางตัน
ด้วยจำนวนเจ้าหนี้และมูลหนี้มหาศาล ทำให้การเจรจาจัดทำแผนปรับโครงสร้างหนี้ และฟื้นฟูกิจการเป็นไปด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางผลประโยชน์และสินทรัพย์จำนวนมหาศาลของ ทีพีไอ ในขณะที่เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่มีส่วนสำคัญในการขอลดหนี้ และดอกเบี้ย (Hair Cut) ของนายประชัย ไม่ได้รับการตอบสนองจากเจ้าหนี้ เช่นเดียวกับที่ข้อเสนอของเจ้าหนี้ ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากนายประชัย ซึ่งมองว่าเจ้าหนี้มีเป้าหมายจะครอบงำ หรือฮุบกิจการทีพีไอ
โดยเฉพาะการพยายามแปลงหนี้จากดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นระหว่างการขอพักชำระหนี้มาเป็นทุน (หุ้น) เพื่อให้เจ้าหนี้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีพีไอ โดยไม่ยอมลดหนี้เงินต้นให้เช่นที่กิจการของเอกชนรายอื่นได้รับในช่วงที่เกิดวิกฤติ ทำให้การต่อสู้ของนายประชัยเพื่อทวงคืนทีพีไอเข้มข้น และทะลุถึงจุดเดือด
เนื่องเพราะเจ้าหนี้ต่างก็เล็งเห็นว่า รายได้และยอดขายของทีพีไอมีศักยภาพพอจะชำระหนี้ในอนาคตได้ จึงไม่จำต้องลดหนี้ลง ขณะเดียวกันก็เห็นว่าบรรดาสินทรัพย์ต่างๆสามารถจะนำมาชำแหละ และตัดขายได้เพื่อให้ได้เงินมาชำระคืนหนี้แก่เจ้าหนี้ แต่ด้วยบุคลิกที่แข็งกร้าว และการปฏิเสธการเจรจาเพื่อชำระคืนหนี้ที่นำมาใช้ทั้งบนดินและใต้ดินเพื่อให้ได้สมบัติของตระกูลกลับคืน
ยิ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหนี้-ลูกหนี้ทวีความรุนแรง และบานปลายขึ้นเป็นลำดับ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตั้งป้อมห้ำหั่นกันเอง โดยมีคดีความฟ้องร้องกันในศาลจำนวนมากพันตูกันจนยากจะแกะได้ถึงวันนี้
เจ้าหนี้ไทยรายใหญ่อย่างธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรที่สนับสนุนธุรกิจของตระกูลกับตระกูลมาตั้งแต่รุ่นพ่อนับสิบๆปีต้องแตกหัก และหันมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันแทน ในขณะที่หนทางที่เดินไปข้างหน้าค่อยๆตีบตัน เมื่อบริษัท เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ (อีพีแอล) ผู้บริหารแผนของเจ้าหนี้ ถูกศาลล้มละลายกลางสั่งให้พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผน โดยเห็นว่าการดำเนินการ
ของอีพีแอลมีแนวโน้มชัดเจนว่า จะไม่บรรลุผลสำเร็จตามแผนฟื้นฟูกิจการ ภายใต้ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ จนอาจจะทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
จึงมีความพยายามจากเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และพนักงานทีพีไอเรียกร้องให้รัฐบาล และกระทรวงการคลังหามาตรการช่วยเหลือ พร้อมๆกับเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยคดีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ให้
รัฐบาลซึ่งเข้าสู่ยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนที่จะช่วยไกล่เกลี่ย และร่วมมือกับศาลยุติธรรมในการแก้ปัญหาลูกหนี้รายนี้อย่างบูรณาการเบ็ดเสร็จ เนื่องจากเห็นว่าทีพีไอเป็นองค์กรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถชำระหนี้ได้ ย่อมต้องล้มละลาย และส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ และคนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย พนักงาน และครอบครัว ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มีความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาของรัฐบาล และกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วย
ที่สำคัญ ในช่วงเวลานั้น หากรัฐบาลไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินจำนวนมหาศาลในระบบธนาคารไทยลดลง และผลักดันให้ลูกหนี้ภาคอุตสาหกรรมสามารถขับเคลื่อนไปได้ อาจมีธนาคารขนาดใหญ่ต้องล้มตามไปด้วย
สู่อ้อมอกกระทรวงการคลัง
มหากาพย์แห่งความขัดแย้งรุนแรงระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ข้างต้น ยุติลงเมื่อศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่ง ณ วันที่ 11 ก.ค.2546 ให้กระทรวงการคลังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ และเสนอชื่อผู้แทน 5 คน ได้แก่ พลเอกมงคล อัมพรพิสิฏฐ์, นายพละ สุขเวช, นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา, นายทนง พิทยะ และ นายอารีย์ วงศ์อารยะ (ต่อมาได้แต่งตั้ง นายวีรพงษ์ รามางกูร ทำหน้าที่แทนนายทนง) เข้าไปเป็นคณะผู้บริหารแผน ตามมติเห็นชอบของเจ้าหนี้ รวมถึงฝ่ายของนายประชัย โดย ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง ขณะนั้น ทำหนังสือแจ้งต่อศาลว่า ยินยอมเข้าเป็นผู้บริหารแผน
กระทรวงการคลังและศาลล้มละลายกลางยังกำหนดเป้าหมายชัดเจนให้คณะผู้บริหารแผนต้องดำเนินการภายใต้สาระสำคัญดังนี้ คือ 1. ทีพีไอต้องดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมั่นคง 2. พนักงานทั้ง 8,000 คน ต้องไม่ตกงาน 3. เจ้าหนี้ต้องได้รับเงินคืน และ 4. ลูกหนี้ต้องได้รับความเป็นธรรม ให้เป็นผลสำเร็จด้วย
เมื่อได้มีการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการตามความเห็นชอบของศาลล้มละลายกลาง และการยินยอมของเจ้าหนี้แล้ว หนี้ที่เจ้าหนี้ไม่เคยยอมลดให้เลยแม้แต่เหรียญเดียว ก็กลับยอมให้ตัดลดดอกเบี้ยลง 250 ล้านเหรียญฯ ส่วนหนี้เงินต้น 2,700 ล้านเหรียญฯ แบ่งเป็น 2 ก้อน ก้อนแรก 1,800 ล้านเหรียญฯ ยืดการชำระให้ 12 ปี อีก 900 ล้านเหรียญฯ ชำระด้วยหุ้นของ บมจ.ทีพีไอโพลีน กิจการในเครือที่ทีพีไอถืออยู่ และเงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุน
ทีพีไอยังต้องลดทุนเพื่อล้างผลการขาดทุนสะสม และเพิ่มทุนเพื่อใส่เม็ดเงินใหม่เข้าไป ซึ่งนำมาสู่การดึง 4 พันธมิตรเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคาหุ้นละ 3.30 บาท พันธมิตรที่ว่านี้ได้แก่ บมจ.ปตท. ซึ่งถูกร้องขอให้ถือหุ้นในสัดส่วน 30% ธนาคารออมสินถือ 10% กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) 10% และกองทุนรวมวายุภักษ์ 10% รวมเป็นเงินเพิ่มทุน 39,000 ล้านบาท ภายใต้แผนนี้ยังให้ขายหุ้นแก่พนักงานเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และการมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัทด้วย โดยได้เงินจากการเพิ่มครั้งนั้น 58,000 ล้านบาท หรือ 1,450 ล้านเหรียญฯ ทั้งหมดถูกนำไปชำระคืนเจ้าหนี้เรียบร้อย
แม้การฟื้นฟูทีพีไอซึ่งเดินหน้าไปตามแผน และคำสั่งศาลล้มละลายกลางทุกประการจะถูกต่อต้านขัดขวางทุกวิถีทาง และแทบจะทุกขั้นตอนด้วยความรู้สึกของผู้ที่กำลังสูญเสีย และคิดว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทั่งเป็นผลให้คณะผู้บริหารแผนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลคู่ขนานไปตลอดเส้นทางของการเข้าบริหารทีพีไอ และแม้เรื่องราวจะผ่านมาแล้ว 13 ปี แต่จนถึงวันนี้ก็ยังมีคดีที่รอการตัดสินอีกมากถึง 19 คดี
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเพียง 2 ปี นับแต่ผู้บริหารแผนเข้าไปจนถึงสิ้นปี 2548 สถานะทางการเงินของทีพีไอ จากที่ใกล้จะล้มละลาย ได้กลับมามีความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง โดยสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 130,825 ล้านบาท เป็น 152,676 ล้านบาท หนี้สินเดิม 128,787 ล้านบาท ลดลงเหลือ 51,966 ล้านบาท และการขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 89,347 ล้านบาท ถูกเปลี่ยนเป็นกำไรสะสม 29,538 ล้านบาท
นอกจากการเป็นบริษัทในเครือ ปตท.จะเรียกภาพพจน์และความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้แล้ว ยังได้รับโอกาสการทำธุรกิจร่วมกันเพื่อเพิ่มศักยภาพ และลดต้นทุนได้มากขึ้น เหตุผลนี้ยังทำให้ ทีพีไอสามารถปรับโครงสร้างหนี้ที่เหลืออยู่ได้เร็วขึ้นด้วย ทันทีที่ได้รับความเชื่อถือจากสถาบันการเงิน
ทีพีไอกลับมาเป็นบริษัทที่มีฐานะแข็งแกร่ง พนักงานมีความมั่นคง เจ้าหนี้ได้รับเงินคืน และผู้ถือหุ้นมีความเชื่อมั่นอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 26 เม.ย.2549 ศาลล้มละลายกลางจึงมีคำสั่งให้ทีพีไอออกจากการฟื้นฟูกิจการ
ปิดตำนานเก่าสู่ฉากใหม่ ไออาร์พีซี
หลังจากที่ชื่อของทีพีไอถูกรูดม่านปิดฉาก และลบออกจากสารบบด้วยการเปลี่ยนมาเป็นชื่อ บมจ.ไออาร์พีซี แล้ว สถานะของบริษัทก็ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยผลประกอบการในปี 2552 ซึ่งเป็นปีที่ไออาร์พีซีได้รับการจัดอันดับให้เป็นหุ้นปันผลยอดเยี่ยม โดยจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ในอัตรา 4.08% จากการที่บริษัทมีรายได้ทั้งสิ้น 167,107 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5,415 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินเหลือเพียง 42,239 ล้านบาท
ในปี 2553 ซึ่งกำลังเป็นปีทองของ ไออาร์พีซี จากการประเมินความต้องการใช้พลังงาน และปิโตรเคมีของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อินเดียกำลังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก ทำให้มีความต้องการใช้พลาสติกสูง โดยมีเป้าหมายว่า ใน 5 ปีนี้ ไออาร์พีซีจะเป็นผู้นำปิโตรเคมีครบวงจรในเอเชีย
ขณะที่ผู้บริหารไออาร์พีซีฉายภาพการดำเนินงานในปี 2553 ว่า กำไรของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าปีก่อนมาก หากระดับราคาน้ำมันอยู่ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล โดยอัตรากำไรของธุรกิจปิโตรเคมีและค่าการกลั่นยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนใหม่อีก 19 โครงการ มูลค่า 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งได้รับอนุมัติจากบอร์ดแล้ว 7 โครงการ
เช่น โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพปิโตรเคมี, โครงการผลิตเอทิลีนเกรดพิเศษ, โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่น และโครงการผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเกรดพิเศษ ฯลฯ ส่วนที่เหลืออีก 12 โครงการ คาดว่าจะอนุมัติการลงทุนได้ครบทั้งหมดภายในปีนี้ และเริ่มทยอยเสร็จตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2557 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จ จะส่งผลให้ไออาร์พีซีมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีกปีละ 350-380 ล้านเหรียญฯ หรือ 11,375-12,350 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เป็นที่หวั่นเกรงกันมากว่า หลังคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดข้างต้นออกมาเช่นนี้แล้ว แผนการลงทุนต่างๆอาจต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากแผนควบรวมกิจการระหว่างไออาร์พีซี กับ บมจ.ปตท. อะโรเมติก และการกลั่น (PTTAR) และ บมจ. ปตท.เคมีคอล (PTTCH) จำเป็นต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด หากกระทรวงการคลังและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ต้องเข้าไปเยียวยาให้กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอ.
ทีมเศรษฐกิจ
https://www.thairath.co.th/content/98925