นาซก้า อารยธรรมยุคพระเจ้าอวกาศ
.
บนแถบยอดเขาแอนดีสแห่ง ทวีปอเมริกาใต้
ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริเวณ ที่แห้งแล้งที่สุดในโลก
มีที่ราบขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปริศนาชิ้นเบ้อเริ่ม ชิ้นหนึ่งของโลก
ปริศนาที่ว่าเราๆท่านๆ จะคุ้นเคยกันดีกับภาพอันมหึมา
ของลายเส้นบนพื้นโลก นาซก้า คือชื่อของที่ราบแห่งนั้น
.
ที่ราบนาซก้า ปัจจุบันอยู่ในดินแดน ของประเทศเปรู
ซึ่งประเทศนี้ ได้มีปริศนามากมายทิ้งเหลือไว้ให้โลกได้ขบคิด
เช่นเรื่องของอารยธรรมอินคา ที่มีเทวสถานอันโอฬาร
และมั่งคั่งไปด้วยทองคำ ความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม
ของชนเผ่านี้เรียกได้ว่า คือหนึ่งในความมหัศจรรย์
ของอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งนอกจากเมืองของชาวอินคาแล้ว
ก็มีที่ราบนาซก้านี่แหละครับ ที่นักโบราณคดีพากันสนใจ
.
เพราะที่ราบดังดังกล่าว ได้ปรากฏคลองหรืออะไรบางอย่าง
ที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงยาวเหยียด ลากไปมา
กลายเป็นรูปเรขาคณิตหน้าตา ท่าทางประหลาด
และที่สำคัญคือรูปพวกนี้ สามารถมองเห็นได้เฉพาะ
จากทางอากาศเท่านั้น เรียกว่าต้องอยู่บนเครื่องบินนั่นแหละครับ
ถึงจะพอมองเห็นเป็นรูปร่าง ข้อนี้เองที่ทำให้หลายต่อหลายคน
สงสัยกันว่า คนโบราณ (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใคร)
ที่สร้างลายเส้นเหล่านี้ขึ้นมา เขามีจุดประสงค์ใดหนอ
ถึงได้สร้างภาพลายเส้น ที่มองเห็นได้ จากทางอากาศนี้ขึ้นมา
ทั้งที่สมัยนั้น พวกเขาก็ไม่น่าจะมีเครื่องบินใช้สักนิด
นักโบราณคดีบางคน เรียกลายเส้นเหล่านี้ว่า
สนามบินโบราณครับ เพราะมันคล้ายกับรันเวย์สนามบินเสียจริงๆ
.
ดินแดนดังกล่าว เป็นพื้นที่ ที่ค่อนข้างกันดาร
แต่ก็ใช่ว่า จะไม่มีฝนตกเอาเสียเลยนี่ครับ
ในช่วงปี 1960 ได้เกิดอุทกภัยขึ้น บริเวณแม่น้ำแถบนั้น
เป็นผลให้ตลิ่งและบริเวณริมฝั่งแม้น้ำ Ica ถูกกัดเซาะ
ตอนนั้นเองแหละครับ ที่หินจำนวนหนึ่ง ถูกกระแสน้ำ
พัดขึ้นมาบริเวณฝั่ง นักโบราณคดีคาดว่า หินเหล่านี้
อาจถูกฝังอยู่เมื่อนานแสนนานมาแล้ว และโผล่หน้าออกมา
เพราะแรงเซาะจากกระแสน้ำ พวกเขาเรียกมันว่า
Ica Stones ตามแหล่งที่ค้นพบครับ
.
แล้วหินพวกนี้มันน่าสนใจยังไงเหรอ ?
อืมห์... จะว่าไปมันก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอกครับ
ก็แค่หินก้อนกลมเกลี้ยง ที่มีภาพสลักของคนโบราณ
สลักเอาไว้อย่างที่ท่านเห็นใน รูปเท่านั้นแหละ แต่ว่านะครับ
เจ้ารูปที่อยู่บนก้อนหินพวกนี้ มันก็พิลึกกึกกือ ผิดยุคอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เพราะส่วนหนึ่งเป็นรูปของกิจกรรมทางการแพทย์
เช่นผ่าตัด มีรูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์
แล้วก็แผนที่โลก ที่มองลงมาจากทางอากาศ
เมื่อ 13,000,000 ปีก่อนเท่านั้นเอง หา ?
ให้ผมทวนตัวเลขของปีเหรอครับ ได้สิ 13 ล้านปีไงครับ
ก่อนหน้ายุคหินในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ตั้งนานนม เลยคุณ เห็นไหมล่ะ ว่าก้อนหินพวกนี้
มันพิลึก ชวนพิศวง อย่างที่ผมบอกจริงๆครับ
.
ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใด อธิบายเรื่องนี้ได้
Ica Stone นับเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงอย่างมาก
ไม่มีใครรู้ว่า ใครเป็นคนแกะสลักมันเอาไว้เมื่อไหร่
และแกะเอาไว้ทำไม โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นทฤษฎี
การเคลื่อนตัวของทวีป ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่ง
ยอมรับแล้ว ว่าเมื่อหลายล้านปีก่อน ทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกา
ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น และการที่มันไปปรากฏ
ในมรดกของคนโบราณเช่น แผนที่ปีเรรีส หรือ ไอก้า สโตน
ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อก่อน ยังมีมนุษย์ส่วนหนึ่ง
ที่อาจจะอาศัยอยู่ก่อนหรือ รอดจากการเปลี่ยนแปลง
ทางภูมิศาสตร์ในครั้งกระโน้น แต่ว่า ครั้งกระโน้น
มันตั้งหลายล้านปีที่ผ่านมาแล้วเชียวนา...
.
ดร.Javier Cabrera นักฟิสิกข์ชาวเปรู
ผู้เป็นหนึ่งในทีมศึกษา ไอก้าสโตน ได้พบภาพของปลา
ที่สูญพันธุ์ไปแล้วบนหินก้อนหนึ่ง เขาสนใจมันเอามากๆ
จนชาวเมืองในแถบนั้นคนหนึ่งรู้เข้า ก็เลยเชิญ ดร.Cabrera
ไปดูสิ่งที่เขาสะสมเอาไว้ Javier Cabrera เรียกสิ่งนั้นว่า
พิพิธภัณฑ์หรือห้องสมุดครับ เพราะมันเป็นคอเล็คชั่น
สะสมก้อนหินและรูปปั้นโบราณนับหมื่นชิ้น
มีขนาดนับตั้งแต่มะเขือเทศลูกเล็กๆ
ไปจนถึงลูกบาสเก็ตบอลนั่นเชียว
.
ใน บรรดาคอลเล็คชั่นที่ Javier Cabrera ได้ไปศึกษา
ส่วนหนึ่งเป็นรูปปั้นของสัตว์หน้าตาประหลาดๆ
อย่างที่เห็นในภาพ เขาคิดว่าสัตว์พวกนี้
น่าจะเป็นรูปของสัตว์ที่เคยมีตัวตนมากกว่าจะทำออกมา
ในรูปของงานศิลปะ มันเหมือนไดโนเสาร์เอามากๆ
นอกจากรูปปั้นดินเผาแล้ว หินแกะสลักลักษณะเดียวกับไอก้าสโตน
ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แล้วก็มีลวดลาย
ที่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเสียด้วยสิครับ
.
Dr. Cabrera ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยา เพื่อศึกษาความเป็นไปได้
ของแผนที่ที่เขาพบในส่วนหนึ่งของหินดังกล่าว
เพราะเขาต้องการพิสูจน์ว่า ภาพแผนที่โลก
ที่อยู่บนหินไอก้าแห่งเปรูนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอนหรือไม่
Dr. Don Patton นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยกรุงลิมา
ประเทศเปรู ได้ร่วมมือกับ Cabrera ในการศึกษาแผนที่ดังกล่าว
เขารู้สึกประหลาดใจ กับทวีปต่างๆที่แสดงบนแผนที่
มันเป็นส่วนของแผ่นดินที่คุ้นเคยเอามากๆ แต่ตำแหน่งผิดไป
จากปัจจุบันอยู่บ้าง แน่นอนครับ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ทางด้านนี้ จึงลงความเห็นหลังจากที่ค้นคว้า อยู่นานว่า
เป็นปรกฏการณ์ที่อธิบายได้ยาก เขาให้คำอธิบายไม่ได้
รู้แต่ว่าภาพแผนที่นั้น คือสภาพของโลก
เมื่อ 13 ล้านปีก่อนอย่างแน่นอน
.
จากการศึกษาอย่างยาวนานของ Dr.Cabrera
เกี่ยวกับ ไอก้าสโตน และรูปปั้นดินเผา
เขาได้ข้อสรุปออกมาโดยสังเขปดังนี้
คอลเล็คชั่นที่เขาเรียกว่าห้องสมุดนั้น
สะสมไปด้วยบันทึกบนก้อนหินที่แตกต่างกันไป
มีหลากหลายหัวเรื่องและสาขาวิชา
เช่น การแพทย์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์โบราณ เป็นต้น
.
มันมาจากอารยธรรม โบราณที่มีความก้าวหน้า
ทางวิทยาการอย่างเหลือเชื่อ ความรู้ของอารยธรรมนี้
สร้างหลายๆสิ่ง ที่ใกล้เคียงกับปัจจุบัน เช่น พาหนะที่เป็นนกเหล็ก
ซึ่งน่าจะหมายถึง เครื่องบินหรืออากาศยาน
ความก้าวหน้าทางการแพทย์ มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
การศัลยกรรมสมอง พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์ที่ก้าวหน้า
รวมไปวิชาธรณีวิทยาที่รวบรวมเอาแผนที่
สภาพทางภูมิศาสตร์โลกและการเกษตรกรรมบางประการ
อย่างเหลือเชื่อ โลกในคำบรรยายจากคอลเล็คชั่นเหล่านั้น
มีดวงจันทร์สองดวง ดวงหนึ่งมีลักษณะ
เหมือนดาวเทียมมากครับ มีหินอยู่สี่ก้อน
ที่แสดงสภาพภูมิประเทศของทวีปต่างๆ ที่มองลงมาจากที่สูง
(หรืออาจจะเป็นชั้นบรรยากาศ) น่าแปลกใจมากครับ
.
เพราะนอกจากทวีปที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันแล้ว
ยังมีส่วนของทวีปที่ไม่มีใครรู้จักรวมอยู่ด้วย เป็นไปได้ไหมว่า
มันคือทวีปแอตแลนติส หรือ มู ที่เรากำลังตามรอยอยู่ในปัจจุบัน
ผู้คนในอารยธรรมดังกล่าวรู้ถึงหายนะ ที่จะมาถึงโลก
(ไม่แน่ใจว่า จะมาจากสาเหตุอะไรครับ
เพราะท่านด็อกได้คอลเล็คชั่นไม่ครบพอ
ที่จะทราบเรื่องราวอย่างสมบูรณ์ได้ อาจจะเป็นดาวหางหรือน้ำท่วมโลก
แผ่นดินไหว อะไรประมาณนั้น)
.
พวกเขาอาจจะทั้งหมดหรือชนชั้นปกครองบางส่วน
ได้อพยพไปจากโลกนี้ มีส่วนหนึ่งของบันทึก
ที่กล่าวถึงกลุ่มดาวที่ปัจจุบันเรารู้จักกัน
ในนามของดาว Pleiades ดร.Cabrera ให้ข้อสังเกตไว้ว่า
ภาพแกะสลักบนไอก้า สโตน อาจเป็นตัวอย่างที่ดี
ของหลักฐานที่ว่า เมื่อหลายล้านปีก่อนมีอารยธรรม
อันรุ่งเรืองตั้งอยู่บนโลกนี้ พวกเขาได้ทิ้งหลักฐาน
ให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบว่า สมัยก่อนมนุษยชาติ
ดำรงชีวิตอยู่อย่างไร มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดไหน
และสุดท้ายล่มจมลงด้วยวิธีใด
.
รูปปั้นดิน เผาบางส่วน มีลักษณะคล้ายมนุษย์
สันนิษฐานว่า อาจเป็นผู้ปกครองหรือเทพเจ้า
ที่คนในดินแดนนี้เคารพนับถือ และรูปร่างของรูปปั้น
มีลักษณะของกระโหลกที่ยาวผิดปกติ จนทำให้นักโบราณคดี
อดที่จะ เอาไปเชื่อโยงกับหัวกระโหลกแบบ Cone Head
ที่กล่าวถึงมาแล้วด้วย ข้อสรุปของท่านด็อกเตอร์
อาจจะฟังดูเหลือเชื่อสัก หน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เพราะหลักฐานทางวัตถุก็ยืนยันอยู่ มีบางคนแย้งว่า
ไอก้าสโตน อาจจะเป็นฝีมือของอนุชนรุ่นหลัง
.
ซึ่งแกะสลักขึ้นมาจากความทรงจำ ภาพบางภาพ
มีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจนและชวนให้เข้าใจผิดๆ
เช่น ภาพของการศัลยกรรมสมองเป็นต้น
มันอาจเป็นพิธีกรรมทางศาสนาสักอย่างหนึ่ง
เช่น การทำมัมมี่หรือพิธีศพ ซึ่งก็ไม่เหมาะนัก
ที่เราจะสรุปอะไรลงไปตรงนี้ก่อนได้ หลักฐานที่ละเอียดกว่า
ที่เป็นอยู่ ถึงกระนั้น หากเอาอารยธรรมนาซก้า ไอก้าสโตน
และความรุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมของชาวอินคา
(เช่นความรู้ทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถาปัตยกรรม)
มาเชื่อมโยงกันเข้าแล้ว ไม่ต้องให้ถึงมือนักวิทยาศาสตร์หรอก
คนธรรมดาอย่างพวกเรา ก็พอจะมองเห็นรอยต่อ
ของสิ่งเหล่านี้อยู่รางๆเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ ?
.
ลายเส้นบนพื้นราบ ในที่ราบนาซก้าประเทศเปรู
มีภาพวาดที่กว้างใหญ่และมีเบาะแสที่น้อยยิ่ง
คนแรกที่ทำการศึกษารายละเอียดของมัน เป็นชาวอเมริกัน
ชื่อ พอล โคซอค ผู้ที่ได้ยินเรื่องลายเส้นนี้
ขณะออกทำการสำรวจระบบชลประทานโบราณอยู่
เช่นเดียวกับ ผู้คนที่มาพิสูจน์เรื่องราวที่ได้ยินเกี่ยวกับลายเส้นนี้
โคซอค รู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น มีเส้นที่ลาก
แตกแขนงออกไป เป็นรูปพัดนับพันเส้นลากข้ามทะเลทราย
บางเส้นสิ้นสุดที่ตีนเขา ขณะที่อีกลายเส้นลากยาวไปไกล
พาดข้ามภูเขา มันถูกสร้างอย่างง่ายๆด้วยการเจาะผิวดินชั้นบน
ออกจากดินบนทะเลทราย และเผยให้เห็นดินชั้นล่าง ที่สีอ่อนกว่า
หลังจากที่เขาพยายามจะตามรอยเส้นบนพื้นดิน
เขาก็เปลี่ยนไปเป็นใช้เครื่องร่อน แทน มีเพียงบนอากาศเท่านั้น
ที่เขาสามารถชื่นชม การแผ่ขยายของมันได้อย่างแท้จริง
นอกจากลายเส้นชุดนี้ก็ยังมีรูปภาพอื่นๆอีกมากมาย
เช่นนก ปลา แมลง และเป็นที่น่าพิศวงที่สุดที่แต่ละรูป
ถูกวาดอย่างต่อเนื่องบนเส้นเดียว มันเริ่มต้นและสิ้นสุดลง
ที่จุดเดียวกัน นาซก้าไลน์ มีหลายรูปแบบ
ทั้งที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม
สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์
นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม
บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณ
ของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล
.
นัก โบราณคดีเชื่อว่า เป็นงานของชาวเมืองนี้
อายุลายเส้นสันนิษฐานว่า ตกอยู่ในยุค 100 ปี
ก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช 700
นาซก้าไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้ว
ว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทราย
การจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง การออกแบบหาไอเดีย
เพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย
อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา
บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ
เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราว แก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า
เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา
แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่า
เป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ
ทว่าไม่มีใครรู้เลย ว่าชาวอินเดียนแดงโบราณ
สร้างมันขึ้นมาทำไม ? ในปี ค.ศ.1968
.
สถานบันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟีค ฝ่ายสังคมศึกษาพบว่า
ลายเส้นต่างๆ ในพื้นที่เหล่านี้ ตั้งอยู่ในจุดระหว่าง
กลางดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ขึ้นและตก
ในวันเวลาที่มัน อยู่ห่างไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด
ตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่มีใครคาดคิดได้ว่า
มันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมากับ การศึกษาลายเส้นนาซก้า
ความประหลาดลึกลับของลายเส้นต่างๆ ในทะเลทรายเปรู
ยิ่งดูเหมือนท้าท้ายคำถามต่างๆ อาทิ ทำไมชาวนาซก้าโบราณ
จึงทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ลายเส้นมโหฬารเหล่านี้มากมาย
ทั้งที่บางอย่างพวกเขาอาจจะไม่เคยเห็น
และผู้คนจะเห็นนาซก้าไลน์ก็ต่อเมื่อมองลงมาจากอากาศเท่านั้น
.
คนสำคัญ ที่สุดที่ทุ่มเทเวลาศึกษานาซก้าไลน์ถึง 25 ปีคือ
มาเรีย ไรเช่ เธอได้ถ่ายภาพและทำแผนที่งานของเธอ
เรียกว่า ลาส ลีเนียร์ รูปเครื่องหมายลายเส้นต่างๆ เป็นร้อยๆภาพ
ซึ่งปรากฏอยู่บนทรายสูง ทะเลทรายแห่งนี้ กินเนื้อที่สำรวจถึง 30 ไมล์
โดยอาศัยแผนที่จากสายการบินแพนแอมซึ่งทำไว้ก่อน
กับความสนับสนุนจากสถาบันเนชั่นแนลจีโอกราฟิค
ช่วยเหลือในงานของเธอ ซึ่งมาเยือนโลกเมื่อสมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์
ลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูนี้ ถ้าจะสันนิษฐานว่า
เกิดจากความคิดของนักเรขาคณิตบ้าๆ คนหนึ่ง
ก็อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าฟัง เพราะจากลายเส้นที่ใหญ่โต
และที่เล็กๆ ทอดก่ายกัน แม้จะมีระเบียบแต่ก็อ่านจุดประสงค์ไม่ได้ว่า
เขาต้องการจะบอกอะไร และดูเหมือนว่าเขาไม่สู้จะคำนึง
ถึงลักษณะภูมิประเทศด้วยรูปทรงเรขาคณิตแบบ
สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอีกบริเวณหนึ่ง
.
ในหุบเขาใหญ่ใกล้ที่ทำการ กสิกรรมของนาซก้า
ซึ่งสามารถยืนมอง จากหุบเขาอินเกนิโอ ก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาด
ที่ว่ามันถูกขีดขึ้นประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยม
ไม่สับสนจากที่ลาดต่ำไปสู่ที่ลาดสูง และก็เช่นเดียวกัน
เช่นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ค้นพบคือไม่ทราบจุดประสงค์
นอกจากสันนิษฐานว่า อาจเป็นแบบฟอร์มของระบบการชลประทาน
“ ลายเส้นทั้งหมด “ มิสไรเช่ให้ข้อสังเกต “ เป็นเส้นตรง ยาวเป็นไมล์ๆ
ข้ามหุบเขาและภูเขา ไม่มีสักเส้นเดียวที่จะคดเคี้ยว
มันเป็นแนวตรงอย่างน่าประหลาดทุกเส้น “
.
ชาว นาซก้า จะได้ประโยชน์อะไรจากลายเส้นเหล่านี้
เส้นตรงบางเส้นมีร่องรอยคล้ายเป็นจุดของยามทุกๆ 1 ไมล์
สงสัยกันว่า จะเป็นจุดสังเกตการณ์สำหรับการส่งข่าว
แบบอินเดียนแดง แต่เหตุผลนี้ก็แทบนับไม่ได้ว่า
เป็นเหตุผลลายเส้น ที่น่าทึ่งอีกภาพหนึ่งคือ ลายเส้นของลิง
ในท่าคว้าจับอะไรบางอย่าง แขนซ้ายของมันวัดได้ยาวถึง40 ฟุต
สังเกตลักษณะรูปร่างของมันคล้ายลิงหลายชนิด
ขนดกเป็นปุย อาจเป็นลิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาปูชิน
ซึ่งอยู่ในป่าเขตร้อนทางทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดิส
ห่างไปจากจุดที่นั่นถึง 200 ไมล์ ศิลปินชาวนาซก้า
ซึ่งคงจะรู้จักลิงชนิดนี้จากการบอกเล่าของพ่อค้าชาวป่า
โดยที่ไม่รู้เรื่องทางสรีระของลิงชนิดนี้อย่างละเอียดออกมา
เป็นว่าลิงตัวนี้ มี 4 นิ้วจากมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งมี 5 นิ้ว
และหางซึ่งเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ได้กลับม้วนขึ้นไป
แทนที่จะห้อยลงตามธรรมชาติวิสัยของลิงชนิดนี้
.
บริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งมีนก รูปปลาวาฬว่ายน้ำ
และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆโครงสร้างหลายภาพคล้ายคลึง
กับเครื่องปั้นดินเผา ของชาวนาซก้าโบราณดังกล่าว มากมาย
ปลาวาฬเคลือบซึ่งสร้างในปลายสมัยคริสตวรรษที่ 3
ก็มีรูปคล้ายคลึงกับลายเส้นปลาวาฬซึ่งพบในทะเลทราย
ต่างกันตรงที่ลายเส้นปลาวาฬที่พบมีห่วงห้อยไว้ด้วยคงคล้าย
เป็นการประกาศความเป็นผู้พิชิต เช่นเดียวกับปลาวาฬเคลือบ
ซึ่งสร้างไว้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ ความเก่งกล้าของผู้พิชิตปลาวาฬ
นอกจากนั้นยังมีรูปคนเขียนไว้บนเนินเขา คล้ายคลึงกัน
กับเครื่องปั้นดินเผาโบราณของอินเดียนแดง นาซก้าที่นี้มาถึงรูป นก
ซึ่งสันนิษฐานตอนแรกๆ ว่าอาจเป็นรูปยานอวกาศ อย่างไรก็ดี
ลักษณะลายเส้นบ่งชัดว่า เป็นรูปนกต่างๆ กันถึง 18 ภาพที่แจ่มชัด
เป็นลายเส้นนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกเป็นน้ำและนกทะเล
ซึ่งยาวถึง 450 ฟุต แต่ภาพกลับเขียนไม่เต็มตัว
.
อลัน ซอว์เยอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ให้ความเห็นว่า
“ เราแน่ใจว่ามันมีความหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า
มันมีความหมายว่ายังไง เส้นต่างๆ โดยเฉพาะลายเส้นของนก
ประกอบด้วยเส้นลายเพียงเส้นเดียว ซึ้งไม่มีการลากตัดกันเลย
บางทีอาจจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจสันนิษฐานได้ว่า
พวกเขาคงยอมรับนับถืออะไรก็ได้ที่ ศิลปินเขียนขึ้น
เช่นอย่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ยึดถือกัน
โดยเขียนภาพขึ้นมา เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น
“เครื่องหมายเคลือบดินเผาที่มีอยู่หมายถึง
ที่คล้ายคลึงภาพลายเส้นซึ่งปรากฏ ในทะเลทราย
ส่วนใหญ่จัดได้ว่ายังเป็นงานฝีมือระดับต่ำ แต่ว่างานเหล่านี้
บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หลักประกันในเรื่องอาหารและชีวิต
.
ดร. ซอว์เยอร์กล่าวว่า “ ถ้าจะคิดตามแนวทางความคิดของศิลปิน
จากงานที่ค้นพบมันก็เป็นการแสดงออกถึง ความคิดของผู้แร้นแค้น
สะท้อนสภาวะความรู้สึกออกมาจากวิญญาณ “
อีกแนวความคิดหนึ่งที่ได้มาจากภาพลายเส้นแมงมุม
ที่มีความยาวถึง 150 ฟุต ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963
เปรียบเทียบกับภาพถ่ายลายเส้นนี้ในปัจจุบัน คล้ายกับว่า
เป็นซากแมงมุมยักษ์ซึ่งนอนตาย และซากของมันค่อยๆ เลือนหายไป
ลายเส้นนี้กำลังถูกทำลายในปัจจุบัน จากพายุทรายบ้าง
รถจิ๊บของนักท่องเที่ยว รอยย่ำบ้างนาซก้าไลน์
ในไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกทำลายไปดังกล่าว
มันอาจเป็นสนามยานอวกาศ อาจเป็นงานของนักเรขาคณิตผู้บ้าคลั่ง
อาจเป็นโครงร่างของระบบชลประทาน อาจเป็นงานศิลป์
ของชาวอินเดียนแดง อาจเป็นอะไรก็ได้ด้วยเหตุผล
ซึ่งสันนิษฐานจากข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่ความจริง
เกี่ยวกับความเป็นมาของมัน คงจะยังเป็นสิ่งประหลาด
ที่ท้าทายการพิสูจน์ไปอีกนานเท่านาน .... !!!!!
.