Spoil หนัง Everest vs. ความจริง
Everest หนังที่ตีแผ่โศกนาฏกรรมของกลุ่มนักปีนเขาในปี ค.ศ. 1996 ซึ่งได้พรากชีวิตของนักปีนเขาไปทั้งหมด 8 คนด้วยกัน โดยหนังเรื่องนี้ได้สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้ชมไม่มากก็น้อย ซึ่งหนังได้ทำรายได้ Box office ไปทั้งสิ้น 202.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และเหตุการณ์ต่างๆในหนังล้วนแต่เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น และนี่คือ 6 ข้อน่ารู้เกี่ยวกับหนังเรื่อง Everest
1. การสนทนาครั้งสุดท้ายของ ร็อบ ฮอลล์
ร็อบ ฮอลล์ ได้ใช้ชีวิตคืนสุดท้ายของเขาใต้ยอดเขาเอเวอร์เรสซึ่งห่างจากจุดสูงสุดของเอเวอร์เรสเพียง 400 ฟุต ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นและอ๊อกซิเจ๊นเบาบาง โดยที่เขารู้ตัวว่าเขาจะตาย และมีการยืนยันว่า เขาได้คุยกับภรรยาของเขาผ่านทางโทรศัพท์ดาวเทียมของ เฮเลน วิลตัน จริง โดยเค้าได้ตั้งชื่อลูกสาวของเขาว่า ซาราห์ และ ได้ทิ้งประโยคสุดท้ายให้กับภรรยาว่า “ผมรักคุณ นอนหลับฝันดีนะที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงเค้าหรอก” และนั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ทุกคนได้ยิน
2 ลูกของ ร็อบฮอลล์ เป็นอย่างไรบ้าง
“ซาราห์บอกฉันว่า หนูจะปีนเอเวอร์เรส” เปิดเผยโดย ดร.แจน อาโนวด์ (ภรรยาของ ร็อบ) ในปี 2003ซึ่งตอนนี้ซาราห์ก็ได้พิชิตยอดเขา คิลิมันจาโร หนึ่งใน 7 summits (7 ยอดเขาสูงสุดในโลก) แต่เธอดูจะมีความมุ่งมั่นทางด้านดีไซน์เนอร์มากกว่า นอกเหนือจากนั้น เจสัน คลาร์ก นักแสดงที่รับบท ร็อบ ฮอลล์ ก็ได้ใช้เวลากับเพื่อนและครอบครัวของร็อบ ฮอลล์ด้วย โดยเจ้าตัวบอกว่า "การเจอ ซาราห์นั้นเป็นเรื่องที่อึดอัดพอควรนะ เธอสวย สูง น่ารัก เป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักพ่อตัวเองที่เป็นหนึ่งในฮีโร่ของชาว นิวซีแลนด์"
ซ้ายมือ ลูกร็อบ ฮอลล์ ขวามือ ภรรยา
Credit รูป
Spoil
http://www.stuff.co.nz/content/dam/images/1/6/y/a/4/8/image.related.StuffPortrait.238x286.16xk8t.png/1442468297359.jpg
3. Death Zone คืออะไร ?
Death zone คือชื่อเรียกความสูงตั้งแต่ 8,000 เมตร หรือ 26,000ฟุต ขึ้นไป มีเพียงภูเขา 14 ลูกในโลกนี้ที่มี Death zone และ เอเวอร์เรส เป็นหนึ่งในนั้น Death zone เป็นความสูงที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถปรับตัวได้ไม่ว่าคุณจะแข็งแรงขนาดไหนก็ตาม อ๊อกซิเจนในชั้นบรรยากาศ death zone นั้นโดยประมาณจะมีเพียง 1/3 ของชั้นบรรยากาศปกติ แน่นอนร่างกายมนุษย์เราจะสูญเสีย อ๊อกซิเจน ไปอย่างรวดเร็วถึงขนาดที่ว่าการหายใจก็ไม่สามารถเอาอ๊อกซิเจนทดแทนในร่างกายได้ มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอยู่บนนั้นได้เพียง 48 ชั่วโมงโดยประมาณ
4 เบ็ค เวเตอร์ (Beck Weather)
เบ็ค ถูกทิ้งให้ตายจริงๆถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกเกิดจากตอนที่เขามีปัญหาเกี่ยวกับสายตา เนื่องจากตาของเขาได้รับแสงยูวีมากเกินไป ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการทำ radial keratotomy surgery หรือการผ่าตัดรักษาสายตาสั้น (คล้ายๆเลซิค แต่ไม่ใช่) บวกกับโรคที่เกิดจากความสูง เค้าจึงตัดสินใจหันหลังกลับและเดินลงมา หลังจากนั้น อนาโทลิได้มาช่วยเขาและเพื่อนร่วมทริปหญิงชาวญี่ปุ่น แต่ทั้งคู่ไม่มีสติ อนาโทลิ เลยตัดสินใจที่จะทิ้งพวกเขาไว้ พอรุ่งสาง ชายนักปีนเขา(Stuart Hutchinson)และคนพื้นเมืองอีกสองคนได้ขึ้นไปค้นหา เบ็คและหญิงชาวญี่ปุ่น แต่ทั้งคู่ก็อ่อนแรงเต็มที่ พวกเขาจึงตัดสินใจทิ้งทั้งคู่ไว้
“ผมตื่นมาโดยที่มีหิมะคลุมตัวผมอยู่ ผมลืมตา ผมเห็นมือขวาตัวเองที่ไม่ได้ใส่ถุงมือ มือผมมันดูแย่มากๆ เหมือนกับงานแกะสลักหินอ่อนเลย เนื้อที่มือมันตายไปแล้ว ผมเลยลองเอามือฟาดกับน้ำแข็งดู แต่มันไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เจ็บเลยสักนิด” เบ็คท้าวความ “หลังจากนั้นผมเริ่มคิดได้ว่า ถ้าจะมีคนมาช่วย เค้าคงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมก็เลยพยายามลุก ละลากตัวเองไปที่แคมป์สี่ ถ้าผมไม่ฝืน ป่านนี้ผมคงไปโลกหน้าแล้วแหละ” โดยเจ้าตัวได้เปิดเผยอีกว่า ใช้ครอบครัวเป็นแรงผลักตัวเอง โดยมือของเบ็คนั้นโดนฟรอสไบท์ เล่นงานอย่างหนักรวมถึงแก้มและจมูกของเขาด้วย หลังจากนั้นเขาได้โดนตัดนิ้วมือข้างซ้ายสี่นิ้ว ถูกตัดแขนขวาครึ่งหนึ่งนับจากศอกจนถึงข้อมือ โดนตัดบางส่วนของเท้าทั้งสองข้างออก และถูกตัดจมูก
5 แอนดี้ แฮร์ริส กับถังอ๊อกซิเจ้น
ถ้าดูในหนังจะจำกันได้ว่า มีตอนหนึ่งที่ แอนดี้กำลังเชคถังอ๊อกซิเจนสำรองที่ south summit หรือ ยอดเขาทางด้านทิศใต้ และเขาได้บอกว่า ถังทุกถังหมดเกลี้ยง ในขณะเดียวกัน ร็อบกำลังช่วย ด็อช ลงมาจากยอดเขาอยู่ และด็อชต้องการอ๊อกซิเจนอย่างเร่งด่วน แต่แอนดี้นั้นเหนื่อยล้ามากจนเช็คผิดไป ทำให้ด็อชและร็อบต้องติดอยู่บนยอดเขา หลังจากนั้นได้มีคนโทรไปรายงานร็อบใหม่ว่ายังมีถังเหลืออยู่ แต่วิทยุกลับไม่สามารถติดต่อร็อบได้
6.อะไรทำให้ สก๊อต ฟิชเชอร์ ตาย
สก๊อตประสบปัญหากับโรคแพ้ความสูง (altitude sickness) ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวในสภาพอากาศน้อยได้ และมีความเป็นไปได้ว่าเค้าเกิดอาการ HACE หรือ อาการสมองบวมจากการอยู่บนที่สูงตั้งแต่อยู่ที่ แคมป์หนึ่ง (19,898 ฟุต) มันเกิดขึ้นจากการที่ สก๊อต ต้องพาหนึ่งในนักปีนเขาจากแคมป์สอง (21,325 ฟุต)ลงไปยัง base camp (17,500 ฟุต) เพื่อที่นักปีนเขารายนั้นจะได้รับการรักษา เช้าวันต่อมา สก๊อตได้เดินเท้าอีกประมาณ 4,000 ฟุต เพื่อกลับไปรวมกลุ่มที่แคมป์สองอีกครั้ง แน่นอน เขาพักผ่อนไม่เพียงพอ และต้องเดินทางต่อไปแคมป์สาม (24,500 ฟุต) ตลอดทาง สก๊อต เดินได้ช้ามากๆ ต่อมา สก๊อต เป็นคนสุดท้ายที่ออกจากแคมป์สาม เพื่อไปแคมป์ สี่ (25,938 ฟุต)ในรุ่งเช้าของวันที่ 9 พฤษภาคม สก๊อตเป็นคนท้ายๆที่ออกเดินทางเพื่อไปที่ยอดเขา สก๊อตออกเดินทางตั้งแต่เที่ยงคืนและเขาไปถึงยอดเขาเวลา บ่ายสามครึ่ง ซึ่งเลยเวลาปลอดภัยนั่นก็คือ บ่ายสองมาแล้ว เขาได้วอไปหา base camp ละบอกว่าเขารู้สึกไม่ค่อยดีเลย เขาจึงตัดสินใจหยุดที่ Balcony (27,559 ฟุต) และบอกกับคนพื้นเมืองว่า ให้ลงไปโดยที่ไม่มีเขาและให้ขอ อนาโทนิ ขึ้นมาช่วยโดยที่เขาจะนั่งรออยู่ตรงนั้น วันที่ 11 พฤษภาคม ชาวพื้นเมืองสองคนได้ขึ้นไปตามหาเขา แต่พบว่า สก๊อตหายใจเบาเต็มที่ และไม่มีสติ พวกเขาเลยเอาอ๊อกซิเจนใส่ให้สก๊อต ละปล่อยเขาไว้อย่างนั้น เขาตายก่อนที่ อนาโทนิ จะมาช่วยได้ทัน อนาโทนิจึงเอากระเป๋าของ สก๊อตมาปิดหน้าเขาไว้ ละลากเขาออกจากเส้นทางปีนเขา ร่างของเขายังอยู่จนถึงทุกวันนี้
แปลเองมั่วๆครับ ดูหนังมาละอิน จริงๆมันมีเยอะกว่านี้ แต่กลัวยาวไปอ่านกันไม่ไหว 5555
Credit :
http://www.historyvshollywood.com/reelfaces/everest/
http://www.bustle.com/articles/113543-where-is-rob-halls-daughter-now-sarah-arnold-hall-of-everest-isnt-following-her-fathers-footsteps