เห็นเว็บ SS เรามีการปรับเปลี่ยนระบบการส่งข้อมูลแบบเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

นายกเราลงทุนการนี้เพื่อสมาชิกชาว ss ทุกท่านเราได้มีเว็บที่ปลอดภัยจากการโดนดัก

ข้อมูลหรือรหัสผ่านใช้กันเลยทีเดียวนะครับ WM เราใจดีและหล่อสุดในสามโลกจริงๆ แผล่บๆ

และโดยการเปลี่ยนคำนำหน้า url จาก HTTP เป็น HTTPS ก็เพื่อความปลอดภัยจากการ

ที่เราจะมีโอกาสโดนดักจับข้อมูลหรือรหัสผ่านได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น วันนี้จึงจะมานำเสนอให้ทราบกัน

นะครับว่า HTTPS มีการทำงานอย่างไร แตกต่างหรือปลอดภัยมากกว่า HTTP แค่ไหนกันครับ



HTTPS คืออะไร ทำงานอย่างไร

รู้จักกับ HTTP ก่อน
HTTP ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol เป็นโปรโตคอล(Protocol)สื่อสารที่ทำงานอยู่ในระดับ Application Layer บนโปรโตคอล TCP/IP มีรูปแบบดังนี้

เป็นโปรโตคอลหลักที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล(HTML)กันระหว่าง Web Server และ Web Client(Browser)

ใช้ URL(Uniform Resoure Locator) ในการเข้าถึงเว็ปไซต์(Web Site) ซึ่งจะขึ้นต้นด้วย http:// ตามด้วยชื่อของเว็ปไซต์
ทำงานที่พอร์ต(port) 80 (มาตรฐาน)

ส่งข้อมูลเป็นแบบ Clear text คือ ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูลในระหว่างการส่ง(None-Encryption) จึงสามารถถูกดักจับได้ และอ่านข้อมูลนั้นรู้เรื่อง


แล้ว HTTPS คืออะไร ?

HTTPS ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol Secure หรือ Hypertext Transfer Protocol Over SSL(Secure Socket Layer) เป็นการทำงานเหมือนกับ HTTP ธรรมดาแต่ทำอยู่บน SSL เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการส่งข้อมูลมากยิ่งขึ้น มีรูปแบบดังนี้

การใช้งาน URL จะเข้าต้นด้วย https:// ตามด้วยชื่อของเว็ปไซต์

*ทำงานที่พอร์ต(port) 443 (มาตรฐาน)

*ส่งข้อมูลเป็นแบบ Cipher text คือ มีการเข้ารหัสข้อมูลในระหว่างการส่ง(Encryption) สามารถถูกดักจับได้ แต่อ่านข้อมูลนั้นไม่รู้เรื่อง

*มีการทำ Authentication เพื่อตรวจสอบยืนยันระบุตัวตน

ที่บอกว่า HTTPS คือ HTTP ที่ทำงานอยู่บน SSL แล้ว SSL คืออะไร?

SSL(Secure Socket Layer)และความหมาย

SSL ย่อมาจาก Secure Socket Layer เป็นโปรโตคอลในการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลบนระบบเครือข่าย

วัตถุประสงค์ของ SSL

-เพื่อรักษาความลับของข้อมูล(Confidentiality) เพื่อให้การส่งข้อมูลมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

-เพื่อให้เกิดความคงสภาพของข้อมูล(Integrity) คือ ข้อมูลต้นฉบับต้องไม่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง

-เพื่อให้การใช้งานระบบเครือข่าย(Network)นั้น ทำงานได้ตามปกติและเต็มประสิทธิภาพของการใช้งาน(Availability)





Browser เริ่มต้นเพื่อใช้งาน HTTPS(สร้าง Secure Session) โดยการส่งคำร้องขอ(พิมพ์ URL https:// XXX.com) ไปยัง Web Server

*Web Server ตอบกลับด้วย Certificate ซึ่งเป็นใบรับรองว่า Server นั้นเป็น Server จริง และ Public Key ของ Server เพื่อเอาไว้เข้ารหัส Symmetric Key ที่ต้องส่งไปให้ Server

*Browser ทำการตรวจสอบ Certificate ที่ได้จาก Web Server ว่าจริงหรือไม่
เมื่อตรวจสอบแล้ว จะทำการสร้าง Symmetric Key ขึ้นมาหนึ่งชุด ไว้สำหรับการเข้ารหัส Data ที่ต้องส่งระหว่าง Client กับ Server
*Browser ทำการเข้ารหัส Symmetric Key นั้น ด้วย Public Key(ที่ Server ส่งมาให้ในข้อที่ 2 ) ของ Web Server จากนั้นส่ง Symmetric Key ที่ได้เข้ารหัสแล้ว(Symmetric Key Encrypted)กลับไปยัง Web Server

*Web Server ทำการถอดรหัส Symmetric Key นั้นด้วย Private Key ของ Web Server เอง

*เริ่มกระบวนการเชื่อมต่อแบบ SSL

*หลังจากนี้การส่งข้อมูลจะเป็นการเข้ารหัสโดยใช้ Symmetric Key ที่ทั้ง Client และ Server มี(ที่ Browser ส่งไปให้)


เขียนโดย jittagorn pitakmetagoon

credit http://na5cent.blogspot.com/2012/04/https.html

ถ้าไม่ใช้ IT จ๋า อ่านเสร็จมีสิทธิ์มึนได้
ขนาดผมคนไอที อ่านแล้วยังงง

ผมสรุปให้แบบสั้นๆเลยนะ

งง แต่ขอบคุณครับ

สาระมีอยู่จริง นี่สิ soccersuck " ได้รู้ความจริง ได้ยิ่งกว่าฟุตบอล อ่าน soccersuck.com "

สรุปคือมีการซ้อนความปลอดภัยของการส่งข้อมูลขึ้น

ความรู้สึกเหมือนเปิดดิคภาษาอังกฤษ

มีสั้นกว่านี้อีก

สั้นกว่าของลับผมก็

งั้นขอถามแบบโง่ๆเลยนะครับ จะทำยังไงมันถึงจะกลับมาเป็นปกติครับ

หลักใหญ่ใจความที่อยากให้คนส่วนใหญ่เข้าใจก็เอาแค่เรื่อง

*ความแตกต่างด้าน port ทีรับส่งข้อมูล ปกติเราใช้พอร์ต 80

ซึ่งเป็นพอร์ตทั่วไปและไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยจากการ encryption(การเข้ารหัสข้อมูล)

มาเป็นการส่งข้อมูลบนพอร์ต 443 ซึ่งมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่า

*port 80 ส่งข้อมูล Clear text ไม่มีการเข้ารหัส โดนดักแฮคได้

แต่ port 443 ส่งข้อมูลแบบ Cipher text คือ มีการเข้ารหัสข้อมูลในระหว่างการส่ง

ถึงโดนดักข้อมูล ก็เอาไปทำไรไม่ได้ เปิดมาเป็นภาษาต่างดาวขะหยุกขะหยุย

เอาแค่ประเด็นนี้ก็พอครับ และน่าจะตรงกับเจตนารมย์ที่ WM เค้าต้องการให้เป็น

นั่นคือมีความปลอดภัยจากการโดนดักข้อมูลและรหัสผ่านที่มีปัญหามานานคาราคาซังแล้วครับ

ปล.ผมมีความรู้ไอทีระดับไม่สูงนัก แต่อ่านเข้าใจและไม่งงเลยนะครับ

อันนี้อ่านแล้วเข้าใจครับ

หมายถึงให้อะไรเป็นปรกติหรอครับ

ความผิดปกติของผมคือ

1. ผมมองเห็นอวาตาร์+sig แค่บางคน อีกหลายๆคนมองเห็นเป็นรูปคนสีเทาๆ

2. เวลาจะตอบแล้วแปะรูป ปุ่มแปะรูปผมหายไปครับ ต้องไปลบ https ที่ url ออกแล้ว refresh ปุ่มมันถึงจะกลับมา เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้

ทำไมต้องกลับครับ

พอดีมีธุระครับ

โดยสภาพการณ์ทั่วไปเว็บก็ปกติดีทุกอย่างครับ แต่มีการนำระบบการรักษาความปลอดภัย

ด้านการกรอกข้อมูลและรหัสผ่านเพิ่มขึ้นมาเป็นออฟชั่นเสริมเฉยๆครับ เหมือนสั่งโจ๊กแล้ว

มีไข่ไก่ใส่เพิ่มมานั่นแหละครับ กลายเป็นแบบโจ๊กธรรมดาแต่พิเศษก็ใส่ไข่เพิ่ม

อ้อ เรื่องนี้นี่เอง

ถ้าให้ตอบตามตรงก็ไม่รู้ครับ

แต่ถ้าให้เดาที่มองไม่เห็น avatar น่าจะเกิดจากลิงค์ต้นทาง มันดึงรูปด้วย HTTPS แล้วมีปัญหาหล่ะมั้งครับ

ท่านทำอะไรไม่ได้ ต้องรอโปรแกรมเมอร์แก้ไขให้ หรือไม่ก็ยูสที่มีปัญหาไปเปลี่ยนเว็ปฝากรูปครับ

ส่วนเรื่องปุ่มแปะรูปผมยังอยู่ปรกตินะครับ ผมใช้ Firefox ท่านใช้อะไรครับ อัพเป็นล่าสุดรึยัง

สรุปให้เปลี่ยน พอต์ทเดิม(80)ไปใช้พอต์ทใหม่(443)ที่ปลอดภัยมากกว่า
จอบอ

ใช้ chrome ครับ ตะกี้ลองเปลี่ยนไปใช้ safari ดู ข้อ 2 หายเป็นปกติ คงเป็นที่ browser แหละครับ ขอบคุณครับ

คิดว่าเวบนี้ คงไม่ต้องการความปลอดภัยของการ login เท่าไรนะ มันไม่ได้มีความต้องการความปลอดภัยสูงอย่างกับเวบธนาคาร แต่จุดประสงค์จริงๆ คือการป้องกันการบล๊อกของ ict มากกว่านะ อย่างที่เวบโป๊หลายเวบที่ยังรอดอยู่ทำกัน ยิ่งถ้าย้ายเซิฟเวอร์ไปต่างประเทศแล้วด้วย คราวนี้คงไม่มีประวัติซ่ำรอยแน่ๆ

อ่อเพิ่งมาอ่านเจอครับ ตอนแรกตอบผิดประเด็นไปหน่อยครับ ขออภัย

ผมเดาว่าน่าจะเกิดจาก chrome มักจะมีปัญหากับการเข้ารหัสบน SSL ซึ่งต้องลองไปเช็ค

ตั้งค่าดูใน setting อีกทีครับ

รุปโปรไฟล์หายไปเลย

พวกเรื่อง Data Packet / Data Encapsulation & Decapsulation ไรพวกนี้ พวกเด็ก ป โท ไอทีเทอมนึงเค้าเรียนกัน อธิบายคนทั่วไป งง กันหมดแหละ
เข้าใจง่ายๆ ระบบใส่ถุงยาง ปลอดภัยกว่า แทงสด เข้าใจแค่นี้พอ
ใส่ถุงอุ่นใจกว่า
สรุปเว็บไหนที่เราเข้าไปเยี่ยวชม ใช้ โปรโตคอล https อุ่นใจกว่า

ปัจจุบันผมไม่แน่ใจนะ ว่าสมาชิกขาประจำเว็บยังเยอะเหมือนเมื่อก่อนรึเปล่า แต่สังคมที่คนเยอะๆ

เราไปตอบแทนคนอื่นไม่ได้ครับว่ามีหรือไม่มีจำเป็นในบางเรื่อง อาจมีหลายๆคนที่ตั้งรหัสผ่านผูกเข้ากับรหัสของ

บัญชีหรือรหัสอะไรๆที่สำคัญซักอย่างบ้างแหละ(และมันเสี่ยงต่อการดดนดักข้อมูลเช่นกัน)

และก่อนหน้านี้ราวๆเกือบ 2ปีก่อน เคยมีสามชิก SS หลายคนออกมาโวยเรื่องการรันสคริปท์ที่เหมือน

จะดักข้อมุลและรหัสผ่านโดยไม่รู้ความตั้งใจของคนเขียนโปรแกรมเหมือนกัน(คนที่ออกมาตั้งมู้โวยเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ)

และด้วยความบริสุทธิ์ใจและความสบายใจของสมาชิกเว็บ เจ้าของเว็บเค้าก้ยอมลงทุนเพิ่มแล้วนะครับ

ในส่วนนี้เนี่ย HTTPS มันก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะครับ ไม่ใช่ของฟรีแน่นอน และอะไรที่มันส่อเจตนา

ไปในทางดีสิ่งนั้นย่อมดีกว่านั่งเฉยๆไม่ทำอะไรเลยเสมอครับ ผมเชื่อแบบนั้น

จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ ไม่ต้องลงลึก แค่พื้นฐานโปรโตคอลก็พอ

สายวิศว หรือไอที ปริญญาตรีก็มีเรียนครับ

แค่เข้าใจว่าโปรโตคอลเลเยอร์มีอะไรบ้าง หน้าที่แต่ละเลเยอร์ทำอะไร

แค่นี้ก็พอนึกภาพออกแล้ว

ช่วยสรุปเป็นภาษาชาวบ้านจะดีมากเลยครับ

เช่นของเดิม ข้อมูลส่วนตัว ไอดี พาสเวิดสามารถถูกhackได้ง่ายมาก

แต่ของใหม่ ทำให้hackไม่ได้ อะไรอย่างนี้

ssl ต้องจ่ายตังเพิ่ม
ถ้าไม่ใช่เว็บเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน สำหรับผมก็เฉยนะ นึกถึงเว็บบอร์ดทั่วๆไป

เรียนมาเหมือนกัน แต่คืนอาจารย์นานแล้ว

อย่างนี้สิ

คนอ่านมันจะงง ตรง symmetric key public key private key
คือถ้า คนที่ไม่ได้เรียนมาจะงง
คือปกติ การเข้ารหัสโดยใช้ key จะแบ่งออกเป็น
1. symmetric คือ การเข้ารหัส และถอดรหัส โดยใช้ key ชุดเดียว ความยากของการใช้วิธีคือ
หากถูกดักจับ key จะทำให้สามารถนำ key นี้ไปแกะข้อมูลต่อได้ ดังนั้น จึงต้องหาวิธีส่ง key
ให้ไม่โดนดักจับ
2. asymmetric คือ การเข้ารหัส กับ ถอดรหัส โดยใช้ key คนละชุดกัน (private key กับ public key)
ประมาณนี้ วิธีนี้จะปลอดภัยกว่าวิธีแรก เพราะต่อให้ ถูกดักจับ key มันก็เป็นเพียงแค่ key ที่ใช้
เข้ารหัส ดังนั้น จึงไม่สามารถ เอา key ที่ดักจับไปถอดรหัสได้

เก็บไว้เป็นความรู้ครับ

เหมือนมานั่งเรียน ดาต้าคอมมิว อีกครั้ง T_T

ผมแค่อยากบอกว่ามันไม่ต้องใช้ทุกหน้าก็ได้มั้ง มันหน่วงๆ

เลียอย่างเดียว

หลังน้องเนยขาวดีน่ะครับ...

ภาพใหญ่ๆนี่ขาวเนียนมากฮะ

ได้อย่างเสียอย่างสินะครับ