“สาวแว่น” : ทรงปัญญา หรือ น่าเล้าโลม (?)
ไปเจอบทความเกี่ยวกับสาวแว่นมา เชือว่าหลายคนคงแพ้ทางเหมือนกัน เลยคัดลอกมาให้รับชม
“สาวแว่น” : ทรงปัญญา หรือ น่าเล้าโลม (?)
เดี๋ยวนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนใส่แว่นเต็มไปหมด ทั้งใส่แว่นเพราะมีปัญหาทางสายตา หรืออาจเพราะแฟชั่นนำพา คนรอบตัวเรามีทั้งใส่แว่นแบบเลนส์หนาๆ แบบชนิดที่เรียกว่าสั้นหลายพัน ระยะโฟกัสหนึ่งเซนติเมตร(ซึ่งน่าเห็นใจ) หรือบางคนก็ใส่แว่นแบบไร้เลนส์(ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นแว่นตาแฟชั่น) มันไม่ได้ผิดหรืออะไร เราก็มองว่ามันสวยดี แต่สำหรับคนที่มีปัญหาทางสายตาอาจไม่ได้คิดอย่างนั้น ถ้าเลือกได้ก็คงไม่อยากใส่แว่นหรอก อย่างเราสายตาสั้นครึ่งพัน ก็ยังรู้สึกรำคาญอึดอัดบ้างเวลาใส่แว่น และรู้สึกว่าสายตาสั้นแค่นี้ยังเป็นปัญหาเลย แต่ทำไมบางคนถึงมองว่ามันดีงาม(?)
เมื่อไม่กี่วันก่อน นั่งคุยกับพี่ชายเรื่องสาวแว่น ประกอบกับช่วงนั้นเป็ยช่วงที่รายการ the voice ดำเนินเข้ามาสู่ช่วงรอบfinal เกิดปรากฎการณ์ อิมเมจฟีเว่อ ผู้คนในโลกโซเชียล พากันติดแฮชแท็ก #teamimage เวลานี้คงต้องยอมรับว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ อิมเมจคือสาวน้อยน่ารักเสียงใส ที่สำคัญเธอเป็นสาวแว่นด้วย \O-O/
มาในweek ที่น้องอิมเมจร้องเพลง beautiful พี่ชายเราก็เริ่มตั้งคำถามว่า “อาทิตย์นี้น้องอิมเมจเค้าไม่เป็นสาวแว่นแล้วอะ” (คือในช่วงแรกของเพลงอิมเมจถอดแว่น แล้วครึ่งหลังค่อยกลับมาใส่แว่น) พอจบการแสดงเพลงนั้นเราก็ได้ข้อสรุปว่า “นั่นไง น้องเค้าเอาแว่นมาใส่แล้ว กลายร่างเป็นสาวแว่นเหมือนเดิมแล้วเธอ” “ไม่ๆ นั่นแว่นไม่มีเลนส์ จะนับรวมเป็นสาวแว่นได้ไง” พี่ชายตอกกลับมาอย่างทันควัน
เราก็ เออ นั่นดิ ไม่ได้สังเกตเลย น้องอิมเมจใส่แว่นไม่มีเลนส์จริงๆด้วย เพราะเวลามุมกล้องถ่ายด้านข้าง ภาพที่ผ่านเลนส์มันจะดูลึกลงไป แต่อาทิตย์นี้มันมีแค่กรอบแว่นเฉยๆ แฮะ แต่เราก็เข้าใจว่าเพราะเค้าคงใส่คอนแท็กเลนส์มาแล้ว เลยต้องใส่แว่นไม่มีเลนส์ มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลและเอื้อกับการแสดงด้วย
จึงเกิดคำถามว่า คำว่าสาวแว่นนี่มันมีขอบเขต กินความถึงแค่ไหนกัน ต้องใส่แว่นสายตาจริงๆ เท่านั้นหรือ แล้วคอนแท็กเลนส์หละ แล้วแว่นไม่มีเลนส์หละ จะนับรวมว่าเป็นสาวแว่นได้ไหมนะ? รวมไปถึงการมาของสาวแว่น พวกเธอมาจากไหนกันหนะ? และคำถามอื่นตามมาอีกบลาๆ
คำว่า แว่นตา หรือ spectacles มาจากภาษาละติน spectaculum มีความหมายตรงกับ show / to see คำว่า spectacles จึงแปลว่า เครื่องสวมใส่ไว้มอง หรือมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า สวมใส่เพื่อให้คนมอง
แว่นตาเกิดขึ้นในราว ค.ศ.13 พระเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อไว้อ่านพระคัมภีร์ แว่นตาในสมัยนั้นจึงบ่งบอกถึงการมีชนชั้น มีการศึกษา และความเป็นปัญญาชน ยุคแรกของแว่นตาจึงเป็นสัญลักษณ์ของความทรงภูมิ
การสวมใส่แว่นตาจึงเหมือนกับว่ามี self reflect การมองผ่านเลนส์นั้น เสมือนกับการมองผ่านกระจกอย่างหนึ่ง ดูเป็นผู้ทรงภูมิ เพราะได้ทบทวนตนเอง มีกระจกสะท้อนตนเอง
แล้วจากความทรงภูมิมันกลายมาเป็นวาทกรรม “สาวแว่นสุดยอด” ได้อย่างไรกัน และเมกาเนะโกะ จากที่แปลว่า เด็กใส่แว่น ได้กลายมาเป็นคำว่า “สาวแว่น” ไปโดยปริยาย
เท่าที่เราจำได้ เราเคยได้ยินภูภู่ (สุดยอดบล็อกเกอร์ในตำนาน) เป็นผู้เริ่มกล่าวไว้เมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้ว(คือนานมากกกกกกกกกก แท้จริงแล้วคำว่าสาวแว่นเป็นศัพท์โบราณนี่หว่า) เราได้กลับมาเห็นเค้าล่าสุดในหนังสือที่เขาเขียน เกี่ยวกับเรื่องราวของเขาตอนไปฝึกงานกับ a day ออกมาเป็นหนังสือการ์ตูนกึ่งๆไดอารี ในหนังสือเล่มนั้นก็ยังเห็นคำว่า “สาวแว่นสุดยอด” แต่พักหลังคำนี้ก็ดูซาๆไปแล้ว หลงเหลือแต่เพียงคำว่า “สาวแว่น” เท่านั้น
สาวแว่นคือผู้มีความบกพร่องทางสายตา (optical challenge) บางคนก็เลยเอาไปโยงกับเนิร์ด ว่าเป็นพวกป้ำๆเป๋อๆ เป็นพวกไม่สนใจโลก แว่นเลยกลายเป็นหน้ากากปกปิดตัวตน เป็นตัวกีดกันตัวตนออกจากสังคม
จริงๆ ถ้าจะวัดกันตามสัดส่วนของแว่นกับพื้นที่บนใบหน้า แว่นตาจะกินพื้นที่ถึง 12.5-16% (แบ่งพื้นที่ใบหน้าออกเป็นแปดส่วนตามขวาง) เราจึงมองว่าแว่นมันเป็นองค์ประกอบทางทัศนศิลป์ที่สำคัญบนใบหน้า นอกจาก ดวงตา คิ้ว จมูก ปาก แว่นจึงมีส่วนในการเปลี่ยนรูปหน้าเราและสร้างความสมมาตรให้ใบหน้า
เมื่อก่อนเท่าที่จำได้ สมัยประถม เรามีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นคนที่ใส่แว่นอยู่คนเดียวในห้อง จะโดนล้อ โดนด่าว่า “ไอ้แว่น” อยู่เนืองๆ แล้วตอนนี้มันเป็นหมอไปแล้ว นั่นไง แว่นเป็นสัญลักษณ์ของคนคงแก่เรียนและทรงปัญญาจริงๆด้วย
ชั่วชีวิตที่เสพเมะมา และเท่าที่จำความได้ เมื่อก่อนตัวละครในการ์ตูนไม่ค่อยใส่แว่นนะ ถึงมีก็จะมีแค่ตัวเดียวที่ใส่แว่นและจะถูกเรียกว่า เมกาเนะคุง (หนุ่มแว่นนั่นเอง) คงเพราะสมัยนั้นความนิยมในการใส่แว่นอาจยังไม่แพร่หลายมากนัก
แล้วเพราะอะไรเดี๋ยวนี้เราจึงชอบ “แว่น” กันนัก ?
เคยได้ยินทฤษฎีค้อนกับตะปู ที่กล่าว่า ถ้าคุณมีค้อนอยู่ในมือ คุณจะเห็นทุกอย่างเป็นตะปู เช่นเดียวกัน เพราะมันมีแว่นมาให้ชอบ คุณถึงชอบไงหละ ถึงมันจะเป็นเหตุผลที่ฟังดูกำปั้นทุบดินไปสักหน่อย แต่เราก็เห็นด้วยอยู่ไม่น้อยเลย
คนที่สวมแว่นตาจะให้ความรู้สึกที่เป็นเด็ก เพราะเด็กจะมีตาดำที่ใหญ่ ให้ความรู้สึกน่าปกป้อง โมเอะ อินโนเซนซ์ จึงไม่แปลกที่สัญชาตญาณของผู้มองจะไป link กับความเป็นเด็ก เหมือนลูกสัตว์ตัวเล็ก น่าปกป้อง ซึ่งเราคิดว่าแว่นทรงกลมสร้างความโมเอะได้มากที่สุด เพราะไปlink กับความเป็นเด็ก ทำให้ดูตาโต เหมือนตาของเด็ก หรือลูกสัตว์
แว่นตากลายเป็นโมเอะพ้อยท์ ที่แสดงถึงความอ่อนแอ เป็น weak point ที่เราไม่มี เราจึงรู้สึกว่าเราอยากจะปกป้องดูแลเขา เราจึงมองว่าเขาน่ารัก
แว่นเป็นสัญญะของความพิการ ซึ่งนั่นหมายถึงความบกพร่องทางสายตา (ในฐานะที่ผู้สวมแว่นจะอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่าเรา) บางคนว่ามันเป็น โมเอะรุ (หมายถึง การเผาไหม้) ซึ่งก็ถูกโยงว่าเป็นความน่ารักที่แฝงความซาดิสม์
และในความเป็นโมเอะพ้อยท์นั้น ก็เหมือนจะมีความหมกมุ่นบางอย่าง เป็น sexual arousement เป็น fetishism อย่างหนึ่ง (ความหมายของมันคือ การมีความสุขทางเพศจากการได้ใช้สิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์ทางเพศของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งในที่นี้หมายถึงแว่นตา)
อย่างในหนัง AV บางเรื่อง(จากการพูดคุยกับมิตรสหายท่านหนึ่ง) ที่นางเอกสวมแว่นตา ซึ่งเป็นสัญญะของปัญญา แล้วก็ใส่ชุดเครื่องแบบด้วย (uniform= อำนาจ) เมื่อถึงจุดหนึ่ง แว่นตาก็จะถูกปลดเปลื้อง (แม้จะมีuniformก็ตาม) ประกอบกับมุมกล้องที่เป็นแบบมองลง เสริมอำนาจให้ผู้ดู ผู้มองจะคิดว่าตนชนะ จริงๆแล้วผู้หญิงก็เป็นได้แค่ object ปัญญาและอำนาจก็ไม่ใช่ของผู้หญิง ผู้หญิงได้แค่สวม ที่สุดท้ายก็พร้อมจะถูกปลดเปลื้องได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ในเรื่องเฟติช ที่ทำให้รู้สึกว่าแว่นตาเป็นของสวยงาม ประกอบการกับความรู้สึกพิการที่ทำให้รู้สึกเหนือกว่า คนบางคนจึงบอกว่าตัวเองแพ้แว่น หรือตกเป็นทาสแว่นนั่นเอง
สมัยนี้แว่นจึงกลายเป็นความงาม จากที่เมื่อก่อน แว่นหมายถึงความคงแก่เรียน แต่ความคิดดั้งเดิมที่คิดว่าแว่นหมายถึงความทรงภูมิ ทรงปัญญาก็ยังคงอยู่ คนเราจะสายตาสั้นด้วยเหตุผลไม่กี่ประการหรอก เช่น พันธุกรรม เล่มคอมฯ เล่นเกม หรืออ่านหนังสือ ซึ่งกิจกรรมสามอย่างหลังเป็นกิจกรรมที่ใช้สมองทั้งสิ้น
แล้วคนที่ใส่คอนแท็กเลนส์หรือใส่แว่นไม่มีเลนส์หละ เป็นสาวแว่นไหม สำหรับเรา เราว่าไม่หวะ(ฮ่าฮ่า) ถ้าพูดคำว่าแว่น มันก็ต้องเป็นแว่นสายตาจริงๆสิ คอนแท็กเลนส์มันบ่งบอกความบกพร่องก็จริง แต่มันไม่เห็นเป็น object ที่จับต้องได้ ส่วนแว่นไม่มีเลนส์ มีคุณสมบัติความเป็นobject ที่จับต้องได้ก็จริงอยู่ แต่มันก็fakeไง
คำถามหนึ่งที่คาใจเรามาตลอดตั้งแต่วาทกรรมนี้บังเกิด คือ จริงๆแล้วเราชอบหนุ่มแว่น สาวแว่น หรือ เราชอบหนุ่ม สาว หน้าตาดีที่ใส่แว่นกันแน่? และก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอยู่ดี แต่คำตอบน่าจะค่อนไปอย่างหลังมากกว่า
สำหรับเราแล้ว แว่นมันก็ไม่ใช่ทุกอย่าง(ปะวะ) ถ้าใส่แว่นแล้วเหมาะกับหน้า มันก็อาจจะทำให้ดูดีขึ้น แต่ก็คงไม่มากหรอก อย่าลืมว่าเราปฏิสัมพันธ์กับคน อย่ามองว่าเป็น object เอาเข้าจริงเราชอบเค้าเพราะว่าเป็นเค้า เค้าจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่นมันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย อยู่ที่ว่าเราให้คุณค่าอย่างไรในตัวเค้า จะชอบหรือไม่ชอบแว่น มันก็อยู่ที่เราให้คุณค่ากับแว่นหรือเปล่า แต่เหนือสิ่งอื่นใด ในมุมมองของเรา แก่นในตัวเองไม่ได้ผูกอยู่ที่แว่น ตัวเราก็เป็นตัวเรา จะชอบหรือไม่ชอบแว่นก็เป็นสิทธิของแต่ละคน เปิดใจให้กว้างเข้าไว้
เรียบเรียงข้อมูลจากสมุดบันทึกของข้าพเจ้า จากงานเสวนาเรื่องมนุษย์แว่น จัดโดยชมรมวรรณศิลป์ จุฬาฯ
Credit
Spoil
https://holmescaterpillar.wordpress.com/2014/12/22/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%99%E0%B9%88/