กองหน้าดัตช์แมนรายนี้สังหารไปถึง 110 ประตู ใน 3 ฤดูกาลแรก ที่แมนเชสเตอร์ ทำลายสถิติยิงประตูสูงสุดตลอดกาล ในฟุตบอลยุโรปของทีม ที่เป็นของเดนิส ลอว์ มาอย่างยาวนาน ในปีที่ 4 กับยูไนเต็ด และในปีที่ 5 เขาทำประตูที่ 150 ภายในการลงเล่นไม่ถึง 200 นัด สถิตินี้การันตีความเป็นตำนานแห่งถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้เป็นอย่างดี ในฐานะที่เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดของทีมคนหนึ่ง และยังสามารถเรียกได้ว่า เป็นกองหน้าธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่ง เท่าที่พรีเมียร์ ลีก เคยมีมาอีกด้วย

รุด ฟาน นิสเตลรอย เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1976 เริ่มต้นด้วยการลงเล่น ในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ แต่ว่าจากนั้น เขาโดนโยกมาเล่น ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ให้กับ เดน บอช ทีมระดับดิวิชั่น 2 ของฮอลแลนด์ และมาลงตัวได้ในตำแหน่งกองหน้า กับฮีเรนวีน เมื่อปี 1997


เจ้ารุดน้อย สมัยค้าแข้งกับฮีเรนวีน

ในปี 1998 ฟาน นิสเตลรอย ได้เซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทัพพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ยักษ์ใหญ่ในเอเรดิวิซี่ ลีก ฮอลแลนด์ ด้วยค่าตัว 6.8 ล้านยูโร (ประมาณ 340 ล้านบาท) เป็นสถิติค่าตัวการย้ายทีมสูงที่สุดของสโมสรในขณะนั้น


ฟาน นิสเตลรอย ฉายแววระเบิดประตูกับ พีเอสวี จนเป็นที่จับตาของหลายสโมสรใหญ่ในยุโรป

แต่ฟาน นิสเตลรอย ก็ตอบแทนคุ้มราคาค่าตัว ด้วยการโชว์ฟอร์มสังหารประตู ให้พีเอสวี 31 ประตู จากการลงสนาม 34 เกม ในซีซั่นแรกให้กับ พีเอสวี แถมยังได้รับเสียงโหวตจากเพื่อนร่วมอาชีพ ให้เป็นผู้เล่นแห่งปี ของลีกดัชต์อีกด้วย และในฤดูกาลที่ 2 เขายังคงยิงประตูอย่างถล่มทลาย อีก 29 ลูก จนไปเตะตาหลายสโมสรดังทั่วยุโรป ทั้ง เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน และ แมนฯ ยูไนเต็ด


"รุด" ลาถิ่นฟิลิปป์ สเตเดี้ยม ย้ายซบ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2001 ด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์

ก้าวเดินเส้นทางการค้าแข้งก้าวใหญ่ ก็เกิดขึ้นหลัง รุด ฟาน นิสเตลรอย ตัดสินใจย้ายจากสโมสร พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น สู่ถิ่น "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2001 ด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์ แต่อันที่จริงแล้วฟาน นิสเตลรอย เกือบจะได้เซ็นสัญญากับทีมปีศาจแดง ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 2000 แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย หลังจากนั้นไม่นานเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอาการสาหัส ระหว่างการซ้อม ทำให้การย้ายทีมต้องเลื่อนออกไป อย่างไรก็ตามปีถัดมา ฟาน นิสเตลรอย ก็ผ่านการตรวจร่างกาย และเซ็นสัญญาย้ายมาเป็นนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ในที่สุด พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ด้วยการยิง 23 ประตู จากการลงสนาม 32 นัด คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ของสมาคมนักเตะอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ในฤดูกาลแรก กับต้นสังกัดใหม่เท่านั้น แถมยังยิงประตูในบอลยุโรปได้ถึง 10 ลูก ให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ดด้วย


พี่ม้ากลายเป็นดาวยิงประจำทีม และคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จในฤดูกาล 2002/03

เมื่อเข้าสู่ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2002-03 รุด ก็ยังสามารถยิงประตูได้ต่อเนื่องเช่นเคย ซัด 25 ลูกในลีก พาต้นสังกัด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จ แถมยังทำลายสถิติ ทำประตูในฟุตบอลถ้วยยุโรป ด้วยการยิง 14 ประตูในซีซั่นเดียวอีกด้วย


รุด ในคราบชุดอัศวินสีส้ม ในศึกยูโร 2004

ฟาน นิสเตลรอย ถูกเรียกไปติดทัพ "อัศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์ ชุดลุยศึกยูโร 2004 แม้จะมีกรณีครหาจากคำพูด ก่อนเกมดวลกับทีมชาติ "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน ก็ตาม แต่เจ้าตัวก็จัดการ ดับเสียงครหาลงได้สนิท จากลูกวอลเล่ย์สุดสวย ระหว่างเกมดวลกับ เยอรมัน และทำประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ได้ 4 ลูกด้วยกัน


ฟาน นิสเตลรอย ทำลายสถิติยิงในถ้วยยุโรปของสโมสร ของเดนิส ลอว์

ฤดูกาล 2004-05 ฟาน นิสเตลรอย พลาดลงสนามเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการบาดเจ็บ แต่ก็ยังทำได้ 8 ประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งหนึ่งในนี้ คือ ประตูที่ 30 ในฟุตบอลถ้วยยุโรป ที่เขาเป็นคนยิงให้แมนฯ ยูไนเต็ด และเป็นประตูที่ทำให้เขาทำลายสถิติสโมสรที่เดนิส ลอว์ทำไว้ 28 ประตู

เริ่มฤดูกาล 2005-06 ฟาน นิสเตลรอย ทำประตูได้ใน 4 เกมแรกให้ยูไนเต็ด ซีซั่นนั้นเขาจบด้วยการเป็นดาวยิงสูงสุดอันดับสอง ทำได้ 21 ประตู ตามหลังเธียร์รี่ อองรี ของอาร์เซนอล จบปีที่ห้ากับยูไนเต็ด ฟาน นิสเตลรอย ทำ 150 ประตูจากการลงตัวจริงไม่ถึง 200 นัด


ถูกท่านเซอร์จับนั่งที่ซุ้มม้านั่งสำรอง ในเกมนัดชิงลีก คัพ

ฟาน นิสเตลรอย โดนจับนั่งเป็นตัวสำรองในเกมลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศกับวีแกน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือความขัดแย้งระหว่างเขากับอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กระนั้นดาวยิงชาวดัตช์โดนจับนั่งสำรองในเกมลีก 6 นัดติด ฟาน นิสเตลรอย ตกเป็นข่าวลืออีกหลังจากที่โดนจับนั่งในเกมนัดสุดท้ายของซีซั่น ที่แมนฯ ยูไนเต็ดชนะชาร์ลตัน เฟอร์กูสัน กล่าวว่าฟาน นิสเตลรอยไม่พอใจการตัดสินใจดังกล่าว และไปจากสนามก่อนแข่ง 3 ชั่วโมง ซึ่งมีรายงานว่าฟาน นิสเตลรอย โดนตัดออกจากทีม เนื่องจากมีเรื่องทะเลาะกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ระหว่างการซ้อม ที่ต่อมาฟาน นิสเตลรอย ออกมาตำหนิว่าโรนัลโด้หวงบอล แทนที่จะผ่านให้เพื่อน เป็นเหตุให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน

ฟาน นิสเตลรอย เซ็นสัญญาย้ายไปเรอัล มาดริด เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 5 ปีหลังจากที่อยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เขาทำได้ 150 ประตู จากการลงเล่น 220 นัด และ 38 ประตู ที่ทำให้เขาเป็นดาวยิงสูงสุดในถ้วยยุโรป ของแมนฯ ยูไนเต็ด


รุด ทำใจย้ายออกจากถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ซบตักทีมราชันชุดขาว ด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์

หลังจากปิดซีซั่นไม่นาน รุด ก็ตัดสินใจย้ายออกจากทีมทันที และก็เป็นทีม เรอัล มาดริด คว้าตัวไป ด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์ ในปี 2006 ในสัญญา 3 ปี ซึ่งสองฤดูกาลแรก ที่อยู่กับทีมราชันชุดขาว ฟาน นิสเตลรอย โชว์ฟอร์มซัดไปถึง 41 ลูกจาก 61 นัด เป็นตัวกลจักรสำคัญ พาทีมคว้าแชมป์ ลา ลีกา ของสเปน หลังจบฤดูกาล พี่ม้าก็ได้ขยายสัญญาของตัวเองกับชุดขาว ยาวไปถึงปี 2010 แต่ในฤดูกาลที่ 2008-09 เขาประสบอาการบาดเจ็บหนักที่บริเวณเข่าขวา ไม่ได้ลงเล่นไปเกือบทั้งซีซั่น ได้ลงสนามทั้งหมด 12 นัด แต่ก็ยิงได้ถึง 10 ประตูเลยทีเดียว


รุด ตกเป็นตัวสำรองในถิ่นชุดขาว จนต้องยอมย้ายออกจากถิ่น ซานดิอาโก้ เบอร์นาเบว

ฤดูกาล 2009/10 เรอัล มาดริด มีการถ่ายสายเลือดใหม่ในแนวรุก ตามนโยบายของประธานสโมสร จนมีผลทำให้ ฟาน นิสเตลรอย ได้แค่นั่งเป็นตัวสำรองไปโดยปริยาย จนภายหลังเจ้าตัวตัดสินใจย้ายทีมออกไปในที่สุด


ฟาน นิสเตลรอย ตกลงย้ายออกจากเรอัล มาดริด โยกมาสวมเสื้อฮัมบูร์ก ในเยอรมัน

พี่ม้าตัดสินใจเซ็นสัญญากับสโมสร "สิงห์เหนือ" ฮัมบูร์ก ในเยอรมัน โดยสุดท้ายเจ้าตัวก็ได้ลงเล่นไป 2 ซีซั่นเต็มๆ ลงสนาม 44 นัด และซัดช่วยสิงห์เหนือ ไปถึง 17 ประตู และตัดสินใจหาความท้าทายใหม่ กับความเก๋าในแนวรุกของตัวเค้าเองอีกครั้ง


ชีวิตหักเหกลับสเปนอีกครั้ง รุดย้ายสู่สโมสร "เศรษฐีใหม่" มาลาก้า

สุดท้ายหวยไปออกกับ สโมสรเศรษฐีใหม่อย่าง มาลาก้า คว้าตัวเขาไปใช้งาน แต่ด้วยอายุที่เริ่มมากแล้ว อาการบาดเจ็บเรื้อรัง ทำให้เค้าไม่ค่อยได้เล่นเต็มที่นัก หลักๆจะหนักไปทางสำรองเสียส่วนใหญ่ โดยลงสนามให้ทีมไป 28 นัด ยิงประตูได้ 5 ลูกเท่านั้น และได้ตัดสินใจแขวนสตั๊ดทันที หลังจบฤดูกาล


ฟาน นิสเตลรอย กับการส่งท้ายซีซั่นให้ มาลาก้า

สรุปอาชีพการค้าแข้งของ "เพชรฆาตหน้าม้า" รุด ฟาน นิสเตลรอย ลงสนามกับทุกสโมสร รวมทั้งสิ้น 589 นัด ยิงไป 347 ประตูด้วยกัน และในนามทีมชาติฮอลแลนด์ของเค้า ลงรับใช้ชาติทั้งสิ้น 70 เกม ทำประตูได้ 35 ประตู รวมทุกนัดที่ลงสนามจริง 659 เกม ยิงได้ 382 ประตู รวมเฉลี่ยการทำประตูเท่ากับ 0.58 เลยทีเดียว




เกียรติประวัติส่วนตัว

ดาวซัลโว เอเดริวิซี่ลีก : 1998–99, 1999–2000
ผู้เล่นแห่งปี ของฮอลแลนด์: 1999, 2000
นักเตะยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก ประจำเดือน : ธันวาคม 2001, กุมภาพันธ์ 2002, เมษายน 2003
สถิติดาวยิงสูงสุด ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก : 2001–02
PFA นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี : 2002
IFFHS ดาวยิงสุดสูงประจำปีของโลก : 2002
"Sir Matt Busby" ผู้เล่นแห่งปี : 2001–02, 2002–03
ผู้เล่นแห่งปี บาร์เคลย์การ์ด : 2001–02
ดาวซัลโว ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก: 2001–02, 2002–03, 2004–05
ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือน พรีเมียร์ลีก : มีนาคม 2003
กองหน้าแห่งปี ของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป : 2002–03
รองเท้าทองคำ พรีเมียร์ลีก: 2002–03
รางวัล FIFA 100
รางวัล ปีชีชี่ : 2006–07
IFFHS ดาวยิงสุดสูงประจำปีของโลกประจำทศวรรศ : 2001–2010

Source: http://sport.truelife.com/detail/1743682

http://www.glory-manutd.com/

ตอน แมนยูนี่...เปิดมาเถอะ

เดียวแกจัดการหมด

โครตคม

เป็นตัวเป้า ที่ดีที่สุดในยุคนั้นคนนึง .....

แจ่มจรัสจริงๆ มิดฟิลเทพแต่ละคนสมัยนั้นเกื้อหนุนกันหมด

ยิงให้ผี 150 ลูก เป็นในกรอบเขตโทษ 149 ลูก

จำลูก solo เดี่ยวเกมส์กับฟูแล่มเลย....ยืนดูกับเพื่อน เชี่ย!! ไม่เก่งแต่ในเขตโทษอย่างเดียวนิหว่า...เลี้ยงจากครึ่งสนามยิงผ่านน้าซาด้วย

นานๆ จะเห็นแกโซโล่ทีครับ แต่ในกรอบเขตโทษไว้ใจได้เสมอ finishing 20

ในกรอบ 6 หลา ขอให้บอก!!!!
จัดให้ทุกจังหวะ!!!

กองหน้าที่โหดสัสที่สุดของแมนยูที่ผมเคยดูมาเลย

โหดจริงๆ

รุด ฟาน นิสเตอรอย ฟาวเลอร์ โอเว่น อองรี ฮัสเซลแบงค์ กองหน้าแห่งยุคนั้น

สุดยอดกองหน้าในดวงใจที่สุดของแจ้