ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 01 Dec 2013
ตอบ: 15475
ที่อยู่: Milan
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 8:04 pm
''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน
Revier Derby (Ruhr Derby)

Borussia Dortmund VS FC Schalke 04




เกลเซ่นเคียร์เช่น,เยอรมนี

ก่อนหน้าคริสตวรรษที่ 19 ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่ไม่กี่ร้อย แต่หลังจากการค้นพบทรัพยากรธรรมชาติอันสำคัญที่ทำได้ผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาที่นี่ทั้งจากปรัสเซียตะวันออก โปแลนด์ และยุโรปตะวันออก มันสำคัญไม่แพ้น้ำมันในยุคนี้และยังคงเป็นพลังในการขับเคลื่อนโลกมาจนถึงปัจจุบัน การค้นพบ “ทองคำดำ” ถ่านหินชั้นยอด



ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ถ่านหินคือปัจจัยหลักในการผลิต มันถูกใช้ให้พลังกับเครื่องจักรไอน้ำ มันถูกนำไปผลิตเป็นไฟฟ้าแม้กระทั่งในปัจจุบันเยอรมันเองยังคงพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากมันอยู่ หากขาดถ่านหินแล้ว ทั้งเยอรมันคงจะมืดสนิทลงในชั่วข้ามคืน

หลังจากปี 1840 ผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามายังเหมืองถ่านหินในเกลเซ่นเคียร์เช่น โรงงานอุตสาหกรรมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ก็มาตั้งใกล้ๆปัจจัยการผลิตนี่แหล่ะ ง่ายดี จนกระทั่งปี 1875 ที่นี่จึงยกสถานะเป็นเมืองๆหนึ่ง

กำลังการผลิตถ่านหินของที่นี่มีมหาศาลกว่าสองแสนตันต่อปี มันคือพลังขับเคลื่อนอาณาจักรที่กำลังจะเป็นมหาอำนาจรายใหม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่นี่จะไม่รอดจากการที่สัมพันธมิตรจะทิ้งระเบิดถล่มเมืองเพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงของฝ่ายเยอรมัน สามในสี่ส่วนของเมืองหายลับไปกับลูกระเบิด มันต้องใช้เวลาฟื้นฟูกันใหม่



สภาพอันยับเยินของเกลเซ่นเคียร์เช่นหลังสัมพันธมิตรถล่มด้วยลูกระเบิด

อย่างไรก็ตามความรุ่งเรืองของเหมืองถ่านหินมันก็พบกับจุดจบ เยอรมันลดการใช้ถ่านหินลงและตัดสินใจจะฝากอนาคตของประเทศไว้กับพลังงานทดแทนอย่างอื่น เหมืองต่างๆทยอยปิด ที่สุดท้ายปิดตัวลงเมื่อ 28 เมษายน 2000 ส่งผลให้คนตกงานกันหลายพันคน

และเมื่อจำนวนคนว่างงานจำนวนมากขนาดนี้ สิ่งเดียวที่พอจะยึดเหนี่ยวจิตใจอันปวดร้าวของพวกเขา คือ ฟุตบอล และ สโมสรชาลเก้04 แห่งเกลเซ่นเคียร์เช่น

ห่างไปทางตะวันออกไม่ไกลกันมาก มีอีกเมืองหนึ่งที่เป็นเหมือนเมืองคู่ขนานของเกลเซ่นเคียร์เช่น มันมีชื่อว่า ดอร์ทมุนด์

ตรงข้ามกับเกลเซ่นเคียร์เช่น ดอร์ทมุนด์มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ยุคของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองทั่วทั้งเยอรมันในยุคกลาง ที่นี่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของแคว้นรูห์ร

เหมือนกับเมืองอื่นโดยทั่วไปในแคว้นรูห์ร ดอร์ทมุนด์มีเหมืองถ่านหินและโรงงานผลิตเหล็กกล้า ที่นี่จึงไม่รอดจากลูกระเบิดของสัมพันธมิตร ราวๆ 2 ใน 3 ของบ้านเรือนในเมืองโดนทำลายย่อยยับและกว่า 98% ของตัวเมืองชั้นในไม่เหลือซาก

การฟื้นฟูหลังสงครามทำให้ดอร์ทมุนด์ค่อยๆฟื้นตัว ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอีกครั้ง แต่ในยุคใหม่ มันเป็นอุตสาหกรรมอันล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงตามแบบฉบับชาวเยอรมัน



ดอร์ทมุนด์วันนี้


แล้วถ้าเราจะพูดถึงเรื่องของฟุตบอล

ระดับความนิยมของฟุตบอลในย่านรูห์รเปรียบได้ดังศาสนา มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผู้คนที่นี่ ทุกๆที่ที่คุณไปคุณจะเห็นสัญลักษณ์ กราฟิตี้ ป้ายโฆษณา ธง สีประจำสโมสรของทั้งชาลเก้และดอร์ทมุนด์ และที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่มีแฟนบอลเข้าชมโดยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก

ทุกๆที่ ที่คุณไปในตัวเมืองของทั้งคู่จะได้เห็นอะไรแบบนี้



และแบบนี้



ฤดูกาลที่ผ่านมา (2013-14) ดอร์ทมุนด์รั้งอันดับหนึ่งของยุโรปที่มีแฟนบอลเข้ามาขมเกมโดยเฉลี่ยกว่า 80,300 คน ทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในลำดับสองถึงกว่า 5 พันคนเศษๆเลยทีเดียว และชาลเก้รั้งในลำดับที่ 6 ด้วยจำนวนผู้ชมโดยเฉลี่ย 61,570 คน มากกว่าอาร์เซน่อลซะอีก

ด้วยจำนวนอันน่าทึ่งนี้มันหมายความว่าทุกๆครั้งดอร์ทมุนด์และชาลเก้ลงทำการแข่งขัน ผู้คนกว่าครึ่งเมืองจะหายไปเลยทีเดียว มันไม่สำคัญว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร บาเยิร์น มิวนิค กลัดบัค เลเวอร์คูเซ่น หรือ แม้แต่พาเดอร์บอร์น เพราะสาวก BVB จะแห่กันไปเข้าไปเชียร์ทีมรักเกือบเต็มความจุทุกครั้ง



ส่วนชาลเก้ แฟนบอลของพวกเขาขึ้นชื่อในเรื่องของความภักดีต่อทีม ทุกครั้งที่ทีมออกไปเยือนจะมีแฟนบอลติดตามไปให้กำลังใจกว่าสองหมื่นคน ส่วนที่เหลือจะแห่กันเข้าไปยังเวลส์ติน อารีน่าจนแทบทะลักเพื่อไปดูการถ่ายทอดสดผ่านทางทีวีจอยักษ์



- Rise to Dominance -



ไม่เหมือนกับดาร์บี้คู่อื่นๆในโลกที่รากฐานความขัดแย้งส่วนใหญ่จะมาจากฐานะของฐานแฟนบอลที่สนับสนุนสโมสร เพราะทั้งดอร์ทมุนด์และชาลเก้ มีฐานผู้สนับสนุนเริ่มแรกจากชนชั้นแรงงาน ก็พวกคนงานเหมืองถ่านหินและโรงงานอุตสาหกรรมนั่นแหล่ะครับ

นอกจากนั้นสองทีมแทบจะไม่มีความต่างกันในแง่ของศาสนา ความเชื่อทางการเมือง อ้าว แล้วอะไรมันคือจุดขัดแย้งของทั้งคู่ล่ะ

มันว่ากันด้วยเรื่องของฟุตบอลล้วนๆ

ในยุคแรกเริ่มของฟุตบอลเยอรมัน มันค่อนข้างวุ่นวายสับสน ในรอบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาคงจะไม่มีประเทศไหนในยุโรปที่มีดินแดนอันวุ่นวายเท่าเยอรมันอีกแล้ว พวกเขาทั้งโดนเฉือน ขยายออก แบ่งแยก สับสนไปหมด ด้วยความที่อดีตนั้นเยอรมันแบ่งเป็นแคว้นต่างๆมากมายที่เป็นอิสระต่อกันหลังจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ล่มสลาย ดังนั้นพวกเขาจึงมีลีกฟุตบอลโน่นนั่นนี่เยอะแยะไปหมด

กว่าที่จะมารวมลีกระดับประเทศได้ก็เล่นเอาเหนื่อยแถมยังถูกแทรกแซงจากพรรคนาซีที่กำลังเรืองอำนาจ

สโมสรฟุตบอลต่างๆถูกจับตามองอย่างเข้มงวด พวกที่นิยมฝ่ายซ้าย(คอมมิวนิสต์)ถูกสั่งยุบ ลีกระดับภูมิภาคที่ใช้กันมาตลอดสามสิบปีถูกนาซียุบอีกเช่นกัน โดยพวกเขาสถาปนาระบบใหม่ขึ้นมาทดแทน มันเรียกว่า “เกาลีกา”

ระบบของเกาลีกาคือการแบ่งลีกของเป็น 16 ลีกตามภูมิภาค แต่ละลีกจะส่งทีมแชมป์เข้าสู่ศึกชิงเจ้ายุทธภพ ไม่ใช่ละ ทีมแชมป์แต่ละโซนจะเข้าสู่รอบเพลย์-ออฟเพื่อตัดสินแชมป์ระดับประเทศต่อไป

นั่นรวมไปถึงดินแดนที่เยอรมันไปยึดมาได้อย่างโปแลนด์ ออสเตรีย เชโกสโลวะเกีย ลักเซมเบิร์ก เข้าร่วมชิงชัยด้วย

คุณจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าเปิดวิกิแล้วจะเห็นทีมแชมป์ของเยอรมันมีชื่อว่า ลาบเป็ด เวียนนา เอ๊ย ราปิด เวียนนา หรือ รองแชมป์ที่มีชื่อว่า แอดไมร่า เวียนนา และ เฟิร์สท์ เวียนนา นั่นก็เพราะตอนนั้นเยอรมันผนวกออสเตรียเข้ามาเป็นดินแดนเดียวกัน




หนึ่งเดียวที่กล้าเอาแชมป์ออกนอกแผ่นดินเยอรมัน ราปิด เวียนนา ปี 1941

แต่สำหรับทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ ชาลเก้ 04

จากปี 1933-1944 ชาลเก้กวาดไปถึง 6 สมัย 1934,1935,1937,1939,1940 และ 1942 บวกกับเยอรมัน คัพ อีกหนึ่งสมัย(1937) ทำให้กลายเป็นช่วงเวลาที่ชาลเก้พิชิตเยอรมัน มันคือช่วงเวลาที่สโมสรจะประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์



ชาลเก้ในยุคครองเยอรมัน

แล้วสงครามโลกครั้งที่สองก็เริ่มต้น การแข่งขันฟุตบอลในเยอรมันถูกระงับไป ใครมันจะมีแก่ใจเตะ พวกผู้เล่นถูกเกณฑ์ไปรับใช้ชาติ พวกชาวยิวก็หนีหัวซุกหัวซุนออกจากเยอรมัน บ้านเมืองถูกทำลายราบคาบ จนกระทั่งเบอร์ลินแตก นาซีล่มสลาย เหล่าสัมพันธมิตรเข้าดูแลแทน เยอรมันถูกแบ่งเป็นตะวันตกและตะวันออก นั่นคือเรื่องราวที่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ทราบกันดี

ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ยึดครองเยอรมันอยู่ในช่วงนั้นจัดการรื้อโครงสร้างฟุตบอลของเยอรมันใหม่หมด พวกที่อยู่ฝั่งตะวันออกก็ไปตั้งลีกของตัวเอง ส่วนที่อยู่ฝ่ายตะวันตก สัมพันธมิตรก่อตั้งเยอรมัน ฟุตบอลแชมเปี้ยนชิพ หรือ โอเบอร์ลีกา (พรีเมียร์ลีก) ขึ้นมาแทน แต่ระบบการแข่งขันยังใช้รูปแบบเดิมคือ แชมป์โซนแต่ละภูมิภาคจะเข้ามาเพลย์ออฟหาแชมป์ระดับประเทศกัน

ในช่วงเวลานี้กลายเป็นดอร์ทมุนด์ผงาดบ้าง พวกเขาได้แชมป์ไปสามสมัย (1956, 1957 และ 1963) ส่วนชาลเก้ได้ไปหนึ่งสมัย (1958)

แต่หลังจากทีมชาติเยอรมันตะวันตกไปแพ้ให้กับยูโกสลาเวีย 0-1 ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 1962 ที่ชิลี ตกรอบควอเตอร์ไฟนั่ลไปอย่างน่าผิดหวัง บรรดาผู้เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอลเยอรมันรู้สึกว่าพวกเขาต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อกอบกู้สถานะของทีมอดีตแชมป์โลก แผนการสถาปนาระบบลีกแบบใหม่ภายใต้ชื่อ บุนเดสลีกา ซึ่งจะใช้โมเดลของฟุตบอลลีกของอังกฤษเข้ามาทดแทนโอเบอร์ลีกา



เยอรมันโดนเตะกลิ้งโค่โล่ที่ชิลี นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

พียงหนึ่งให้หลังจากความล้มเหลวที่ชิลี บุนเดสลีกา ก็พร้อมออกสตาร์ต แต่ที่นี่ไม่มีที่ว่างให้กับชาลเก้อีกต่อไป เพราะการถือกำเนิดของมหาอำนาจรายใหม่จากแดนใต้ของเยอรมันที่จะมายึดครองฟุตบอลเยอรมันจนถึงปัจจุบัน การผงาดขึ้นมาของบาเยิร์น มิวนิค

- Under Bayern’s Reign –



ชาลเก้ไม่อาจจะกลับไปทำอย่างที่พวกเขาทำได้ในช่วงก่อนสงครามโลก บาเยิร์น มิวนิค คือกำแพงอันสูงตระหง่านที่พวกเขาไม่มีปัญญาปีนข้ามได้ แม้ว่าบัลลังก์ของพี่เสือจะถูกท้าทายและสั่นคลอนเป็นบางช่วงจากโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ,ฮัมบวร์ก, ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต หรือ แวร์เดอร์ เบรเมน

อย่างไรก็ตามมีเพียงทีมเดียวที่คุกคามและท้าทายอำนาจของบาเยิร์นมากที่สุดในปัจจุบัน คือ เพื่อนบ้านทางตะวันออกของชาลเก้เอง ใช่แล้ว โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมนี้นี่เอง

ดอร์ทมุนด์สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นทีมแรกของเยอรมัน(ตะวันตก) ที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้ ปี 1966 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ คัพ วินเนอร์ คัพ กับลิเวอร์พูลจากอังกฤษ ในวันที่เครื่องจักรสีแดงยังไม่ถือกำเนิด ดอร์ทมุนด์เอาชนะไปได้ 2-1 ในการแข่งขันที่กลาสโกว์





แฟนเสือเหลืองอาจจะจำไม่ได้แล้วว่าพวกเขาคือแชมป์สโมสรยุโรปจากเยอรมันรายแรก

แต่หลังจากชะตากรรมของสองทีมจากแคว้นรูห์รจะใกล้เคียงกัน ดอร์ทมุนด์ประสบปัญหาทางการเงินตลอดยุค 1970 จนต้องตกชั้นไปอยู่ลีกา 2 ถึง 4 ปี (1972-76) ส่วนชาลเก้เข้าไปพัวพันเรื่องอื้อฉาวในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกัน ก่อนหน้าหนึ่งปีที่ดอร์ทมุนด์จะตกชั้น ในคดีล็อกผลล้มบอลที่มีต้นเหตุมาจากทีมคิกเกอร์ ออฟเฟ่นบัค ที่กำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นในเวลานั้น ประธานสโมสรของพวกเขาเลยทำการว่าจ้างให้ทีมต่างๆล็อกผลให้ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่สำเร็จเพราะออฟเฟ่นบัคยังคงตกชั้นอยู่ดี



หนึ่งในเกมอัปยศของดอร์ทมุนด์ในปีที่ตกชั้น โดนบาเยิร์นไล่กระทืบจนจำสภาพไม่ได้ถึง 11-1 !!!



ฮอร์สท์ จอร์จินิโอ้ คาเนลเลส ประธานสโมสรของคิกเกอร์ ออฟเฟ่นบัค ศูนย์กลางแห่งความอื้อฉาว

ดาราดังของทีมในเวลานั้นอย่าง เคล้าส์ ฟิชเชอร์, เคล้าส์ ฟิชเตล และ สแตน ลิบูด้า ถูกตั้งข้อหาว่ารับเงินเพื่อแลกกับการล้มบอลในเกมกับอาร์เมเนีย บีเลเฟลด์ที่ฝ่ายหลังบุกมาเอาชนะได้ 1-0 ในตอนแรกทั้งสามคนจะโดนแบนตลอดชีวิต แต่ภายหลังจากอุทธรณ์แล้วโทษลดลงเหลือหกเดือนจนถึงสองปี



ฟิชเชอร์และลิบูด้าเดินทางมาให้ปากคำในคดีล้มบอล

คดีอื้อฉาวนี้ทำลายโอกาสทีชาลเก้จะกลับมาคว้าแชมป์อีก ทีมต้องตกตกต่ำหลังจากนั้นจนต้องกระเด็นตกชั้นไปในปี 1980 และอีกครั้งในปี 1988 คราวนี้กว่าจะกลับมาได้ต้องรอถึงปี 1991-92 เลยทีเดียว

และแล้วชะตากรรมของทั้งสองทีมก็เปลี่ยนไปตลอดกาลหลังจากดอร์ทมุนด์ทำการแต่งตั้งอ็อตมาร์ ฮิตช์เฟลด์โค้ชชาวเยอรมันที่ไปสร้างชื่อในสวิตเซอร์แลนด์.ในปี 1991 ท่านนายพลหนีบเอาลูกน้องคนสำคัญอย่างมือขวาที่รู้ใจ มิชาเอล เฮ็งเค่ ที่จะทำงานกับเขาไปตลอดสิบสามปีให้หลังและ สเตฟาน ชาปุยซาต์ ดาวยิงตัวเก่งมาเยอรมันด้วย



หลังจากคุมทีมได้แค่สองปีฮิตช์เฟลด์พาทีมไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ 1993 แต่ไปแพ้ให้กับยูเวนตุสด้วยสกอร์รวมสองนัด 6-1 แต่จากผลงานที่ทีมหลุดเข้าถึงรอบชิงระดับสโมสรยุโรปทำให้สโมสรได้เงินมากพอจะหาซื้อผู้เล่นเจ๋งๆเข้ามาสู่ทีม



มัทเธียส ซามเมอร์ถูกดึงกลับมาจากอินเตอร์เข้ามาเป็นผู้นำให้กับทีม เจอร์เก้น โคห์เลอร์ คนที่ได้แชมป์กับยูเว่ตามมาในอีกสองปีให้หลังพร้อมกับทีมเมตของเขา เปาโล ซูซ่า สมทบกับอดีตเด็กเก่าของยูเว่อย่าง อันเดรียส โมลเลอร์ และยอร์ก ไฮน์ริช (นี่เล่นดึงนักเตะทีมคู่แข่งมาหมดเลยนี่หว่า ทำตัวเป็นบาเยิร์นไปได้) ทั้งหมดนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการยึดอำนาจจากรัฐบาล อุ๊ปส์ ยึดอำนาจจากบาเยิร์น มิวนิคถึงสองครั้งซ้อนในปี 1995 และ 1996

เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังได้สร้างเซอร์ไพรซ์อันน่าทึ่งให้กับฟุตบอลยุโรป ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่แชมป์สโมสรยุโรปจะมาอยู่ใกล้กันขนาดนี้

- Conquer the Europe in 1997 –





ปี 1997 ทั่วทั้งแคว้นรูห์รกำลังตกอยู่ในสภาวะปลาบปลื้มสุดขีด

ที่เกลเซ่นเคียร์เซ่น ชาลเก้ 04 ภายใต้การคุมทีมของฮูป สตีเฟ่นส์ นำเสนอทีมงานอันแข็งแกร่งของเขาที่รู้จักภายใต้ชื่อ ”ยูโร ไฟต์เตอร์” ทีมจบลงด้วยอันดับสามในปีก่อนหน้านั้นได้ตั๋วไปเล่นยูฟ่า คัพ



ยูโร ไฟต์เตอร์ อันโด่งดัง

สตีเฟ่นส์ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นแค่โค้ชชาวดัตช์อันสุดจะโนเนมในเยอรมันสร้างชื่อให้กับตัวเองด้วยเกมรับอันสุดแข็งแกร่ง พวกเขาเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในเยอรมันเมื่อปีก่อน สถิตินี้ดีกว่าดอร์ทมุนด์แชมป์ในปีนั้นซะอีก ก็จะไม่ให้เสียประตูน้อยได้ยังไงในเมื่อแผนที่สตีเฟ่นส์ เลือกใช้คือ 3-5-2 ที่แทบจะดูเหมือนเป็น 5-3-2 ด้วยซ้ำไป

โอลาฟ โธน คือหัวใจในเกมรับของทีมชุดนั้น ในตำแหน่งลิเบอโร่คนท้ายๆของวงการ ส่วนแดนกลางก็บัญชาการเกมโดยมาร์ค วิลม็อตส์ นายใหญ่ทีมชาติเบลเยี่ยมคนปัจจุบันและ อันเดรียส มุลเลอร์ (คนละคนกับอันเดรียส โมลเลอร์ คุณน้าแข้งทองของดอร์ทมุนด์นะครับ ชื่อคล้ายกันมาก แถมช่วงปลายอาชีพยังจะมีหน้ามาเล่นทีมเดียวกันอีก)




โอลาฟ โธน หัวใจสำคัญของชาลเก้ในยุคนั้น

21 พฤษภาคม 1997 นัดชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ นัดที่สองซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่แข่งเหย้า-เยือนในรอบชิงชนะเลิศของถ้วยใบนี้ ชาลเก้ซึ่งชนะอินเตอร์มาได้ก่อนนัดแรกในบ้าน 1-0 ต้องการแค่ยันเสมอพวกเขาก็จะคว้าแชมป์ระดับสโมสรยุโรปได้เป็นครั้งแรก

พวกเขาเกือบทำได้ตั้งแต่ในเวลาด้วยแต่อีวาน ซาโมราโน่ ก็มายิงให้อินเตอร์ออกนำ 1-0 ในช่วงห้านาทีสุดท้ายทุกอย่างกลับมาเท่ากันหมดทั้งสกอร์รวมและอะเวย์โกล์ จากนั้นทำอะไรกันไม่ได้อีกจนจบ 120 นาที



ซาโมราโน่ ซัดตีเสมอให้อินเตอร์ ต้องไปยื้อกันต่ออีก

แชมป์นี้ต้องตัดสินกันด้วยจุดโทษ

เยนส์ เลห์มันน์ เซฟจุดโทษของซาโมราโน่ได้ และอารอน วินเตอร์พบกับความกดดันจนยิงออกไปเอง ฝั่งชาลเก้ไม่มีใครพลาดเลย พอ มาร์ค วิลม็อตส์ คนที่สี่ของชาลเก้ซัดเข้าไปก็เป็นอันจบ ชาลเก้ชนะ 4-1 บุกมาคว้าแชมป์ยูฟ่า ตัพที่ซาน ซิโร่ กลับไปได้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร สาวกชาลเก้พากันฉลองอย่างสุดเหวี่ยง นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขารอคอยมายาวนานแสนนาน



ไฮไลต์นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ 1997



แต่หลังจากนั้นอีก 7 วัน วีรกรรมของชาลเก้ก็ถูกกลบจนมิดด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันของทีมเพื่อนบ้าน

28 พฤษภาคม 1997 นัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกที่โอลิมปิก สเตเดี้ยม ของเมืองมิวนิค ดอร์ทมุนด์ลงเผชิญหน้ากับคู่ปรับเก่าที่เคยไล่ต้อนพวกเขามาขาดลอยเมื่อสี่ปีก่อน เป็นถ้วยใบที่สองในปีนั้นที่ทีมจากเยอรมันต้องมาเจอกับทีมจากอิตาลี คราวนี้ถึงคราวของ ดอร์ทมุนด์ Vs ยูเวนตุส

แชมป์เก่าลงป้องกันแชมป์กับทีมหน้าใหม่ที่เข้าชิงเป็นครั้งแรก ฝ่ายยูเว่นำมาโดยอันเจโล่ เปรุซซี่ โกล์จอมหนึบ ชิโร่ แฟร์ราร่าและเปาโล มอนเตโร่ สองเซ็นเตอร์สุดโรคจิต มาร์ค ยูเลียโน่ แต่ละคนนี่โหดเรียกพี่ มิดฟิลด์เป็นสองประสานจากฝรั่งเศส ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องส์และซีเนดีน ซีดาน ส่วนแดนหน้าส่ง เจ้าโบโบ้ คริสเตียน วิเอรี่ ลงประจำการ




ดอร์ทมุนด์จัดทัพใหญ่ลงทำศึกเช่นกัน มัทเธียส ซามเมอร์และเจอร์เก้น โคห์เลอร์ บัญชาการแดนหลัง ทิ้งการขับเคลื่อนแดนมิดฟิลด์ให้อยู่ในกำมือของสามนักเตะจากสามชาติคือ เยอรมัน (โมลเลอร์) โปรตุเกส (ซูซ่า) และสก๊อตแลนด์ (แลมเบิร์ต) วางสองกองหน้าคือ คาร์ล-ไฮนซ์ รีดเล่ และ สเตฟาน ชาปุยซาต์ ไว้ปั่นป่วนแนวรับสุดโรคจิตของยูเว่




เกมเริ่มต้น เป็นฝ่ายยูเวนตุสบุกเข้าใส่ก่อน วิเอรี่ยิงทักทายแต่บอลเข้าข้างตาข่าย เกมยังคงสูสีโอกาสมีพอๆกัน และเป็นดอร์ทมุนด์ชิงขึ้นนำไปก่อนจากจังหวะชาร์จระยะเผาขนของคาร์ล-ไฮนซ์ รีดเล่ในนาที่ที่ 29 และห้านาทีให้หลังรีดเล่เจ้าเก่าก็โขกลูกเตะมุมให้ทีมทะยานหนี 2-0 นั่นคือสกอร์ในครึ่งแรก




ครึ่งหลังยูเวนตุสส่งโกลเด้น บอยคนใหม่นาม อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ลงสนาม และหนูเดล(ในเวลานั้น) ก็ไม่ทำให้ใครผิดหวังยิงไล่มาเป็น 2-1 ในนาทีที่ 65 แต่ฝั่งดอร์ทมุนด์ก็มีโกลเด้น บอยเหมือนกัน พวกเขาส่งลาร์ส ริคเค่น ไอ้หนูวัย 18 ปี ผู้ยิงปลิดชีพ แมนฯยูไนเต็ดมาแล้วในรอบรองชนะเลิศลงสนาม และแค่ 16 วินาทีที่เจ้าตัวลงไป เขาก็สบโอกาสหลุดเข้าไปชิพ … หายข้ามหัวเปรุซซี่เป็นประตูฝัง 3-1

หมดเวลา ดอร์ทมุนด์เป็นเจ้ายุโรปสมัยแรกอย่างยิ่งใหญ่ ทำเอาสาวก BVB ได้ฉลองกันสุดเหวี่ยงไม่ต่างจากเพื่อนบ้าน







ช่วงเวลานั้น รูห์ร คือศูนย์กลางแห่งฟุตบอลยุโรป แบบที่ยังไม่เคยมีที่ไหนทำได้มาก่อน มันช่างน่าทึ่งและน่ายินดีสำหรับแฟนๆทั้งสองทีม

น่ายินดีงั้นเหรอ ไม่อ่ะ พวกดอร์ทมุนด์ขโมยซีนกันชัดๆนี่หว่า อุตส่าห์เป็นแชมป์ระดับยุโรปได้ทั้งทีทำไมพวกนั้นต้องได้ปีเดียวกันด้วยวะเนี่ย สาวกชาลเก้อดจะรำพึงมิได้

- The Most Dramatic –

ไม่ต่างจากตอนโน้น ดอร์ทมุนด์เอาเงินที่ได้จากการเป็นแชมป์ยุโรปไปช็อปปิ้งอย่างสนุกสนาน ทั้งการทุ่มเงินบ้าเลือดดึงมาร์โช อโมรูโซ่มาจากปาร์ม่าด้วยค่าตัวอันเป็นสถิติกว่า 25 ล้านยูโรในปี 2001 อีวาเนลสันจากปาร์ม่าอีกเช่นกัน 15 ล้านยูโร โทมัซ โรซิซกี้ อีก 22 ล้านยูโร นั่นทำให้ทีมต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลแม้การจะเป็นแชมป์บุนเดสลีกาในปี 2002 และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ ในปีเดียวกันที่ไปแพ้เฟเยนูร์ด 3-2 ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ เพราะหลังจากนั้นในปี 2004 พวกเขาไปพลาดท่าพ่ายจุดโทษให้กับ คลับ บรูจ จากเบลเยี่ยมจนอดไปเล่นรอบแบ่งกลุ่มของแชมเปี้ยน ลีก ทำให้แผนที่วางไว้ล้มครืนกะทันหัน ทีมประสบปัญหาทางการเงินจนถึงขั้นต้องขายสนามเวสต์ฟาเล่น สตาดิโอนของพวกเขา



อโมโรโซ่ โดนดึงมาด้วยค่าตัวมหาศาล



โรซิคกี้ รุกกี้พุ่งแรงในเวลานั้นก็ไม่รอดดอร์ทมุนด์



แชมป์บุนเดสลีกาปี 2002 ภายใต้ทีมงานสุดโหดชุดนึงในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเยอรมัน



โดนเฟเยนูร์ดดับฝันแชมป์ยูฟ่า คัพ อีกครั้งอย่างน่าเจ็บปวด

ดอร์ทมุนด์เริ่มตกต่ำ นักเตะดีๆของทีมค่อยๆทยอยย้ายออก อันดับของพวกเขาร่วงมากลางตาราง มันย่ำแย่ซะจนปี 2008-09 ต้องไปดิ้นรนหนีการตกชั้น โชคยังดีที่รอดตัวไปได้ ก่อนหน้าที่พวกเขาจะดึงตัวชายผู้พลิกชะตาของสโมสรอีกครั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์

แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นมีเรื่องราวที่ไม่อาจจะมองข้ามได้ของชาลเก้แทรกอยู่

ปี 2000-01

ชาลเก้ใกล้เคียงที่สุดแล้วที่จะคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 42 ปี ก่อนหน้านัดสุดท้ายจะเริ่มขึ้น บาเยิร์น มิวนิค มีคะแนนนำหน้าชาลเก้อยู่สามคะแนน แต่ประตูได้เสียของชาลเก้ดีกว่า (28:25) มันหมายความว่าถ้าพวกเขาไล่ขยี้อุนเตอร์ฮัคคิ่งก์ไม่ว่าจะด้วยสกอร์เท่าไหร่และบาเยิร์น มิวนิคไปแพ้ให้กับฮัมบวร์ก พวกเขาจะเป็นแชมป์ทันที

และแล้วนัดสุดท้ายที่ดราม่าที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเยอรมันได้เริ่มขึ้น ชาลเก้ประมาทฝีเท้าของทีมที่กำลังร่อแร่ต่อการตกชั้นมากไปหน่อยเลยโดนนำไปก่อนถึง 2-0 แต่พวกเขาก็ตั้งสติแล้วค่อยๆไล่ยิงตีเสมอได้ก่อนหมดเวลาครึ่งแรก จบครึ่งแรกแชมป์ยังอยู่ที่มิวนิค บาเยิร์นเสมออยู่ 0-0

ครึ่งหลังอุนเตอร์ฮัคคิ่งก์ทำแสบด้วยการนำอีกรอบ คราวนี้ชาลเก้ชักเริ่มโมโหยิงคืนสามลูกรวดนำเป็น 5-3 จนถึงนาทีสุดท้ายพวกเขาก็ได้ข่าวดี เซอร์เก บาจ์บาเรซของฮัมบวร์กยิงให้ทีมบุกไปนำ 1-0 ทั้งสนามเริ่มฉลองกันแล้ว

90 นาทีของชาลเก้จบลง พวกเขาชนะ 5-3 แฟนๆแห่วิ่งลงมาฉลองแชมป์ เหล่าผู้บริหาร สตาฟฟ์ นักเตะและแฟนบอลกอดกันดีใจ วันที่รอคอยมาถึงเสียที แม้เกมอีกคู่ยังไม่จบแต่พวกเขาก็มั่นใจแล้ว

แต่มันเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางเกลเช่นเคียร์เซ่น

ทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย

บอลถูกสาดหน้าประตู โทมัซ อูจ์ฟาลูซี่ แหย่เท้าเข้าสกัด บอลเปลี่ยนทางไปเข้ามือของมัทเธียส โชเบอร์ มันก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่ทันใดนั้น มาร์คุส แมร์ก ผู้ตัดสินกลับเป่านกหวีดและให้ฟรีคิกสองจังหวะกับบาเยิร์น เขามองว่าโชเบอร์เอามือไปรับบอลที่เพื่อนร่วมทีมเจตนาส่งคืนหลัง???? ตรงไหนเนี่ย

ชะตาแชมป์ของบาเยิร์นขึ้นอยู่กับลูกนี้เท่านั้น และ แพทริค แอนเดอร์สสันปราการหลังชาวสวีดิชของทีมวิ่งเข้าหวดเต็มหลอดวัดพลังจากที่เพื่อนเขี่ยมาไล่ บอลแหวกกำแพงมนุษย์ของฮัมบวร์กเข้าสู่ก้นตาข่าย แชมป์ที่ชาลเก้ยึดไปครองเมื่อไม่กี่นาทีก่อน บาเยิร์นกระชากมันกลับคืนอย่างอุกอาจ



แพทริค แอนเดอร์สสัน กับ ประตูประวัติศาสตร์




โอลิเวอร์ คาห์น ฉลองชัยแบบเสียสติ

แฟนชาลเก้แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่พวกเขาเห็นในจอทีวี อารมณ์แปรเปลี่ยนจากดีใจสุดเหวี่ยงเป็นโศกเศร้าน้ำตานองทันที มันคือการออกตัวล้อฟรีที่”เงิบ”ที่สุดในประวัติศาสตร์ พวกเขาคือรองแชมป์ที่โชคร้ายที่สุด ลูกฟรีคิกจังหวะนั้นไม่ว่าจะมองจากกี่มุมมันเป็นการเจตนาส่งคืนหลังตรงไหน?

และมันยังเป็นหนึ่งในอันดับต้นๆการแย่งแชมป์ที่ดราม่าที่สุดในวงการฟุตบอลอีกด้วย

คลิปที่บอกเล่าเรื่องราวในวันนั้น



การเสียแชมป์อย่างเจ็บปวดของชาลเก้เรียกคะแนนสงสารได้มากโข สื่อในเยอรมันยกย่องให้พวกเขาเป็น “ทีมแชมป์ในดวงใจ” และเหตุการณ์นี้ทำให้มีคนเกลียดบาเยิร์น มิวนิคเพิ่มขึ้นอีกทวีคูณ



แฟนชาลเก้พบกับความผิดหวังอันน่าเจ็บปวดที่สุด

- Klopp’s Era and New Generation –



เจอร์เก้น คล็อปป์ ก่อนหน้าปี 2008 นอกเหนือไปจากคอบอลเยอรมันพันธุ์แท้แล้ว ถ้าคุณรู้จักเขาก็นับว่าน่านับถือเลยล่ะ เพราะตอนสมัยเป็นผู้เล่นให้กับไมนซ์เขาก็เป็นแค่นักเตะธรรมดาคนนึง แต่พอเลิกเล่นแล้วรับงานคุมทีมต้นสังกัดที่เล่นให้ เขาก็กลายเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองในวงการทันที



ภาพสมัยเป็นนักเตะของคล็อปป์ ถ้าคุณทันเห็นก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ

ผลงานช่วงแรกๆคือการเข็นไมนซ์ ทีมเล็กๆจากลีกา 2 ให้ขึ้นสู่บุนเดสลีกาได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในปี 2004-05 แต่ได้แค่สามปีทีมก็ร่วงกลับไปที่เดิมอีกครั้ง คล็อปป์ยังอยู่กับทีมจนกระทั่งปีต่อมาที่ทีมจบอันดับที่ 4 ในลีกา 2 เขาก็อำลาตำแหน่งเพื่อไปรับงานคุมดอร์ทมุนด์



ดีใจสุดขีดหลังพาไมนซ์เลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสร์ในปี 2004

ตอนนั้นดอร์ทมุนด์ไม่มีตัวเลือกมากนักจากสถานะทางการเงินที่ยอบแยบแถมปีก่อนโทมัส โดลล์ ก็ทำทีมร่วงไปถึงอันดับที่ 13 ได้ไปหนีตกชั้นให้ระทึกขวัญเล่น แต่งานนี้แหล่ะท้าทายมากสำหรับคนหนุ่มไฟแรงแบบเขา ไม่มีเงินเหรอ ไม่เป็นไร ปั้นนักเตะเองก็ได้ว่าแล้วก็ไปดึงลูกน้องเก่าอย่างเนเว่น ซูโบติซมาอยู่ด้วย



เจอร์เก้น คล็อปป์ รับงานสุดท้าทายที่สุดในอาชีพของเขา

คล็อปป์ถือเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมในการซื้อตัวนักเตะ แทบจะการันตีได้เลยว่าแต่ละคนที่เขาคัดสรรมาจะแจ้งเกิดได้ คุณบอกเราได้มั้ยว่าก่อนหน้าที่จะมาเวสต์ฟาเล่น คุณเคยติดตามผลงานของ มัตส์ ฮุมเมิล, ลูคัส บาริออส, ชินจิ คากาวะ, โรเบิร์ต เลวานโดฟสกี้, ยาคุบ บลาซีคอฟสกี้ หรือ ลูคัส พิซเซ็ค?



ก่อนหน้าจะมาดอร์ทมุนด์มีใครสาบานได้มั้ยว่า เป็นแฟนบอลของพวกเขาเหล่านี้

ทีมดาวรุ่งของคล็อปป์น่าจับตามองมาก หลังจากสองปีในตำแหน่งดอร์ทมุนด์ก็กลับมาผงาดเหลือเชื่อด้วยแชมป์บุนเดสลีกาสองสมัยรวด(2011,2012) และเดเอฟเบ โพคาลอีกหนึ่งสมัย (2012) เป็นดับเบิ้ลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์และทำให้ปี 2012 มิวนิคถูกดอร์ทมุนด์กำราบได้อย่างเด็ดขาด



ดับเบิ้ล แชมป์ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ชาลเก้เฝ้ามองคู่อริด้วยความอิจฉาริษยา จริงอยู่ในยุครุ่งเรืองที่สองของดอร์ทมุนด์พวกเขาไม่ได้ย่ำแย่เกินไปนัก การเซ็นสัญญามูลค่ามหาศาลกับก๊าซพรอม บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของรัสเซียทำให้ฐานะการเงินของทีมดีขึ้นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ไม่ละเลยเด็กท้องถิ่น ยูเลี่ยน แดรกเลอร์, มักซิมิเลี่ยน ไมเออร์, เบเนดิกซ์ โฮเวเดส หรือ โฌเอล มาติ๊ป ทำให้ทีมไม่ต้องเสียเงินซักยูโรในการมีนักเตะชั้นเยี่ยมไว้ในมือ



แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่อาจจะเทียบเคียงกับทีมที่กำลังจะกลายเป็นสองยักษ์ใหญ่ของเยอรมันไปแล้วได้ บุนเดสลีกากำลังจะกลายสภาพเป็นเหมือน ลาลีกาที่มีทีมยักษ์ใหญ่สองทีม และมีทีมคอยสอดแทรกเป็นระยะ ในจำนวนนั้นชาลเก้คือทีมที่มีศักยภาพที่สุด เหล่าแฟนบอลผู้ภักดีที่ไม่เป็นรองใครหน้าไหน พวกเขาต่างอดทนรอคอยวันทีจะได้กลับไปเฉลิมฉลองอีกครั้งเหมือนดังเช่นกว่าหกสิบปีก่อนที่พวกเขายึดครองฟุตบอลเยอรมันได้

- Ruhr Derby in Memories –

24 สิงหาคม 1991 อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ลงคุมทีมทำศึกดาร์บี้ แมตช์เป็นครั้งแรกกับชาลเก้ที่บ้านฝ่ายหลัง แล้วท่านนายพลก็โดนชาลเก้รับน้องอย่างถึงใจพระเดชพระคุณด้วยการไล่ต้อนไปแบบหมดสภาพขุนศึก 5-2 โดยชาลเก้ขึ้นนำก่อนตลอด อิงโก้ อันเดอร์บรูจ ยิงให้ทีมนำก่อน 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 2 มิชาเอล ซูลซ์จะมาตีเสมอให้กับดอร์ทมุนด์ 1-1 ก่อนหมดครึ่งแรกสิบนาที ครึ่งหลังชาลเก้โขยกอยู่ฝ่ายเดียวยิงได้สี่ประตูจาก กุนเธอร์ กัตเลอร์, เจอร์เก้น ลูกิงเกอร์, กุนเธอร์ ชิปเปอร์และปีเตอร์ แซนไชด์ ส่วนดอร์ทมุนด์กู้หน้าได้ลูกเดียวจากสตฟาน ชาปุยซาต์ จบเกมชาลเก้ไล่ถล่มไป 5-2 รับน้องท่านนายพลได้อย่างแสบทรวง



19 ธันวาคม 1997



เจ็ดเดือนหลังวีรกรรมอันน่าจดจำของทั้งคู่ พวกเขาต้องมาทำศึกกันในบุนเดสลีกา เป็นวลาดิเมียร์ บุท มิดฟิลด์ชาวรัสเซียยิงฟรีคิกสุดสวยให้ดอร์ทมุนด์นำก่อน 1-0 แต่ชาลเก้มาตีเสมอได้จากเดนนิส คลูเยฟ นักเตะชาวรัสเซียอีกรายในครึ่งหลัง

อันเดรียส โมลเลอร์ ซัดฟรีคิกสุดเฉียบขาดให้ดอร์ทมุนด์นำอีกครั้ง 2-1 ในนาทีที่ 79 ชาลเก้ไม่มีอะไรจะเสียแล้วเดินหน้าแลกอย่างเดียว การบุกครั้งสุดท้ายในช่วงเวลาบาดเจ็บ เยนส์ เลห์มันน์ นายประตูของทีมจึงขึ้นไปช่วยงานด้วย จากจังหวะเตะมุมบอลเปิดมาเสาแรกนักเตะชาลเก้โหม่งเสยต่อไปข้างหลัง บอลเข้าทางโธมัส ลิงเค่ตวัดไปหน้าปากประตูในบริเวณที่เลห์มันน์ยืนอยู่ เขาจัดการโหม่งเข้าไปอย่างหมดจดเป็นประตูตีเสมอให้กับทีม เลห์มันน์สร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่ทะลึ่งไปทำประตูได้ในบุนเดสลีกา แถมไม่ใช่ลูกตั้งเตะซะด้วย



30 มกราคม 2004



ดอร์ทมุนด์เปิดบ้านรับชาลเก้ มันไม่น่าเชื่อกับผลการแข่งขันที่ออกมา ถ้าดูจากรูปเกมแล้ว ดอร์ทมุนด์เล่นงานคู่อริจนอยู่หมัด และน่าจะได้ชัยชนะได้ไม่ยาก เมื่อได้ถึงสองจุดโทษได้เกมนี้

แต่พระเอกตัวจริงได้แก่ แฟร้งค์ โรสต์ ผู้รักษาประตูของฝั่งชาลเก้ หลังจากเขาไปรวบทอร์สเท่น ฟริงก์ ล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าจุดโทษและแจกใบเหลืองให้ ทว่าโรสต์แก้ตัวได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเซฟจุดโทษของแยน โคลเลอร์ได้

จากนั้นเกมชักจะเดือด โทมัซ โรซิซกี้ กัปตันทีมของดอร์ทมุนด์ไปหวดผู้เล่นของฝั่งชาลเก้อย่างน่าเกลียดจนต้องรับใบเหลืองที่สอง ไล่ออกจากสนามไป

สถานการณ์กลับมาเป็นใจให้พวกเขาสุดๆเมื่อโธมัส คลาเซเนอร์ กองหลังของชาลเก้ไปเจตนาทำแฮนด์บอลในเขตโทษโดนใบเหลืองที่สอง ไล่ออกไปอีกราย แต่มันน่าเหลือเชื่อว่าทอร์สเท่น ฟริงก์ จะยิงไปโดนแฟร้งค์ โรสต์ เซฟได้อีกรอบ!! หล่อเลยพี่คืนนี้ พระเอกตัวจริงโดยไม่ต้องพึ่งเอเจดีวีดี

เพื่อให้ฝันร้ายของดอร์ทมุนด์สมบูรณ์แบบที่สุด ก่อนหมดเวลาหนึ่งนาทีพวกเขาก็เสียสมาธิปล่อยให้เอ็บเบ้ ซานด์ กองหน้าตัวเก่งของชาลเก้หลุดไปยิงประตูชัยเอาดื้อๆ จบเกมดอร์ทมุนด์ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาจะแพ้คาบ้านให้ชาลเก้ไป 1-0




12 เมษายน 2007



เหมือนเมื่อหกปีก่อน ชาลเก้กำลังลุ้นแชมป์ในช่วงโค้งสุดท้ายกับสตุ๊ตการ์ตและแวร์เดอร์เบรเมนอยู่ โดยชาลเก้นำหน้าสตุ๊ตการ์ตอยู่หนึ่งคะแนนและนำเบรเมนอยู่สองคะแนน

นัดรองสุดท้ายชาลเก้จะมาเยือนเพื่อนบ้านใกล้ๆ ดอร์ทมุนด์ ถ้าพวกเขาชนะแล้วสตุ๊ตการ์ตแพ้ และเบรเมนไม่ชนะ แชมป์ทันทีโดยไม่ต้องลุ้นนัดสุดท้าย

ซีซั่นนั้นอาจจะไม่น่าจดจำนักสำหรับดอร์ทมุนด์ พวกเขาแช่นิ่งอยู่กลางตาราง ไม่ห่างจากโซนตกชั้นเท่าไหร่แต่ก็ปลอดภัยแล้ว สถานการณ์ถือว่าลอยตัว แต่ไอ้เรื่องที่จะยอมให้คู่อริมาฉลองเย้วๆในบ้านของพวกเขาเองแล้วเนี่ย ไม่มีทาง!

เกมเริ่มขึ้นแล้วสถานการณ์มันก็เริ่มพลิกผันอย่าน่าตื่นเต้น

สิบห้านาทีแรก แฟนชาลเก้กระโดดโลดเต้นกันสุดเหวี่ยงหลังมีข่าวว่าสตุ๊ตการ์ตกับเบรเมนโดนนำทั้งคู่

ผ่านไปยี่สิบห้าที สตุ๊ตการ์ตตีเสมอได้แฟนบอลเริ่มเงียบ

สามสิบห้านาที เบรเมนตีเสมอได้อีกทีม แฟนชาลเก้เริ่มเป็นกังวลพวกเขาก็ยัง 0-0 อยู่เลย

นาทีที 42 สตุ๊ตการ์ตโดนนำอีกครั้ง สร้างความยินดีให้กับแฟนชาลเก้เป็นอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็ดีใจได้แค่สองนาทีก็ต้องช็อกตาตั้งเมื่ออเล็กซ์ ฟราย ศูนย์หน้าชาวสวิสของดอร์ทมุนด์หลุดไปซัดให้ทีมออกนำ 1-0



จบครึ่งแรก ชาลเก้ตามหลัง 0-1 สตุ๊ตการ์ตตาม 1-2 เบรเมน 1-1 เบรเมนแซงสตุ๊ตการ์ตขึ้นสู่ที่สองแล้วด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่า

ครึ่งหลังเริ่มต้น ชาลเก้ยังทวงประตูคืนไม่ได้แถมยังได้ข่าวร้ายเมื่อเกมผ่านไปครบชั่วโมง มาริโอ โกเมซตีเสมอให้สตุ๊ตการ์ตแล้ว

แฟนบอลชาลเก้เริ่มกระสับกระส่าย แต่ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้างเมื่อเบรเมนโดนไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ตแซงนำอีกครั้งในนาทีที่ 69

และแล้วสิ่งที่แฟนชาลเก้ไม่อยากได้ยินก็มาถึง คาเคายิงให้สตุ๊ตการ์ตพลิกขึ้นนำเป็นครั้งแรก 3-2 ในนาทีที่ 73

ทั้งนักเตะและแฟนบอลชาลเก้อยู่ในอารมณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น พวกเขายังไม่มีปัญญาทำอะไรดอร์ทมุนด์ได้จนกระทั่งห้านาทีสุดท้าย ยูเซบิอุซ สโมลาเร็ค ปีกตัวเก่งชาวโปลของดอร์ทมุนด์จะทำประตูดับฝันแชมป์ของชาลเก้ได้สำเร็จ เกมโอเวอร์ ดอร์ทมุนด์ชนะ 2-0 สตุ๊ตการ์ตก็ชนะ 3-2 แซงชาลเก้ขึ้นไปที่หนึ่ง

สำหรับแฟนๆชาลเก้ การลุ้นแชมป์ของพวกเขาแทบจะจบลงแล้วแม้มันยังเหลืออีกนัดก็ตาม แต่มันคงยากที่จะเกิดขึ้น สตุ๊ตการ์ตมีผลงานในบ้านที่ยอดเยี่ยม นัดสุดท้ายทีมม้าขาวเปิดบ้านซัดเอเนอร์กี้ ค็อตบุสไป 2-1 ทำให้ชัยชนะของชาลเก้ที่มีต่ออาร์มีเนีย บีเลเฟลด์ที่สกอร์เดียวกันต้องสูญเปล่า

สำหรับฤดูกาลนั้นคงต้องบอกว่าแชมป์ถูกตัดสินที่ซิกนัล อิดูน่า ปาร์ค และเป็นดอร์ทมุนด์ที่ทำแสบสุดๆด้วยการดับฝันแชมป์ของคู่อริเพื่อนบ้าน



ภาพนี้แปลได้ว่า "พวกแกก็มีปัญญาทำได้แค่มองแหล่ะว้า"

คลิปไฮไลต์




13 กันยายน 2008



เกมส์แรกๆของดอร์ทมุนด์ในยุคของเจอร์เก้น คล็อปป์ เขาจะโดนรับน้องในเกมดาร์บี้เหมือนที่ฮิตซ์เฟลด์โดนหรือไม่ คำตอบคือ เกือบแล้วล่ะ เพราะชาลเก้วันนี้คึกดีเหลือเกินบุกมานำไปก่อนในครึ่งแรก 2-0 จากเจฟเฟอร์สัน ฟาร์ฟาน และ ราฟินญ่า จากนั้นครึ่งหลังแค่สิบนาที ไฮโค เวสเตอร์มันน์ ตอกย้ำสถานการณ์ของคล็อปป์ให้เลวร้ายลงไปอีกด้วยลูกโหม่งจ่อๆของเขา

เห็นทีวันนี้ท่าทางจะได้แจกปิ๊ปให้แฟนบอลก่อนออกจากสนามเป็นแน่ คล็อปป์อดจะคิดไม่ได้ แต่ยินดีด้วยเจอร์เก้นที่คุณยังไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น เพราะ เนเว่น ซูโบติซ ลูกน้องคนเก่งของคล็อปป์โหม่งจุดประกายให้กับทีมในนาทีที่ 67

ก่อนที่อเล็กซานเดอร์ ฟราย ตัวแสบของชาลเก้เมื่อปีก่อนจะสวมบทฮีโร่ตัวจริง กระทิงแดงยังอายเมื่อโซ้ยคนเดียวสองลูกนาทีที่ 71 และจุดโทษก่อนหมดเวลานาทีเดียว ช่วยให้ทีมกลับมาเก็บแต้มอย่างเหลือเชื่อ

เกมส์แรกๆของดอร์ทมุนด์ในยุคของเจอร์เก้น คล็อปป์ เขาจะโดนรับน้องในเกมดาร์บี้เหมือนที่ฮิตซ์เฟลด์โดนหรือไม่ คำตอบคือ เกือบแล้วล่ะ เพราะชาลเก้วันนี้คึกดีเหลือเกินบุกมานำไปก่อนในครึ่งแรก 2-0 จากเจฟเฟอร์สัน ฟาร์ฟาน และ ราฟินญ่า จากนั้นครึ่งหลังแค่สิบนาที ไฮโค เวสเตอร์มันน์ ตอกย้ำสถานการณ์ของคล็อปป์ให้เลวร้ายลงไปอีกด้วยลูกโหม่งจ่อๆของเขา

เห็นทีวันนี้ท่าทางจะได้แจกปิ๊ปให้แฟนบอลก่อนออกจากสนามเป็นแน่ คล็อปป์อดจะคิดไม่ได้ แต่ยินดีด้วยเจอร์เก้นที่คุณยังไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น เพราะ เนเว่น ซูโบติซ ลูกน้องคนเก่งของคล็อปป์โหม่งจุดประกายให้กับทีมในนาทีที่ 67

ก่อนที่อเล็กซานเดอร์ ฟราย ตัวแสบของชาลเก้เมื่อปีก่อนจะสวมบทฮีโร่ตัวจริง กระทิงแดงยังอายเมื่อโซ้ยคนเดียวสองลูกนาทีที่ 71 และจุดโทษก่อนหมดเวลานาทีเดียว ช่วยให้ทีมกลับมาเก็บแต้มอย่างเหลือเชื่อ



- This is Ruhr –



แม้ว่าในเยอรมันปัจจุบันจะเป็นเรื่องของ “บาเยิร์น มิวนิค VS ทีมที่เหลือ” เมื่อพี่เสือคือมหาอำนาจที่ไร้คู่ต่อกรในดินแดนเยอรมัน
แต่นั่นมันไม่เคยทำให้ความเข้มข้นของรูห์ร ดาร์บี้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงมีแฟนบอลจำนวนมหาศาลที่ยังคอยให้ให้การสนับสนุนดอร์ทมุนด์และชาลเก้อยู่ดี

คุณไม่อาจจะสวมเสื้อสีน้ำเงินของชาลเก้เข้าไปเดินตะแล๊ดแต๊ดแต๋เล่นๆในดอร์ทมุนด์ได้ พ่อค้าแม่ค้าอาจจะไม่ยินดีขายของให้คุณ ผับหรือร้านอาหารอาจจะไม่ยินดีต้อนรับ คุณจะกลายสภาพเป็นเหมือนตัวประหลาด สิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับชาวเมือง ใครอยากลองของก็เชิญได้ แต่เราไม่รับประกันความปลอดภัยนะ

เช่นเดียวกับที่เกลเช่นเคียร์สเซ่น ที่นี่ไม่ยินดีต้อนรับสีเหลือง-ดำและตราสัญลักษณ์ของดอร์ทมุนด์ เมื่อฟุตบอลในดินแดนแคว้นนี้ได้หยั่งรากฝังลึกกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ส่วนหนึ่งของลมหายใจของที่นี่ไปแล้ว

มันไม่เหมือนกับในอังกฤษ คุณสามารถกระโดดโลดเต้นไปรอบๆโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะเคือง เพราะคนข้างๆของคุณก็ทำเหมือนกัน แฟนบอลของดอร์ทมุนด์ที่เคยตีตั๋วไปดูพรีเมียร์ลีกไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ “ที่นั่นผู้คนตบมือกันเปาะแปะๆ และจะกระตือรือร้นเมื่อทีมของพวกเขาเป็นฝ่ายขึ้นนำเท่านั้น ไม่เหมือนพวกเราที่ไม่ว่าจะยังไง เราจะตีกลองร้องเพลง ส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจทีมรักของเราเสมอ” เอาน่า ของกัดคู่อริซักหน่อยเหอะ

ที่สนามในเยอรมันคุณสามารถทำได้แม้กระทั่งเอาเบียร์เข้าไปดื่มหรือเอาไส้กรอกเข้าไปกินกับแกล้ม สาเหตุหนึ่งที่คนเข้ามาชมกันเยอะคือ ค่าตั๋วที่ถูกมากเมื่อเทียบกับลีกชั้นนำทั่วยุโรป ทีมในเยอรมันถือว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมาจ่ายแพงๆเพื่อแลกกับการไปดูฟุตบอลซักนัด ที่นี่ที่เยอรมันฟุตบอลเป็นของทุกคนไม่มีแบ่งแยก

โมเดลและการประสบความสำเร็จของพวกเขาช่างน่าทึ่งและน่ายกย่อง

และคุณจะได้พบกับบรรยากาศการเชียร์ฟุตบอลที่เร้าใจตื่นเต้นไม่เป็นรองที่ไหน คลิปที่คุณจะได้เห็นต่อไปข้างล่างนี้คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่กล่าวไป

Dortmund Fan



Schalke Fan



Hate 2 Hate


Borussia Dortmund VS FC Schalke04 “Revier (Ruhr) Derby”

เคยพบกันทั้งหมด 144 นัด ดอร์ทมุนด์ชนะ 49 นัด ชาลเก้ชนะ 57 นัด เสมอกัน 38 นัด

ดอร์ทมุนด์ทำได้ 220 ประตู ชาลเก้ทำได้ 276 ประตู

พบกันครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2014 ชาลเก้ 2 – ดอร์ทมุนด์ 1 รายการ: บุนเดสลีกา

พบกันครั้งต่อไป: 27 กุมภาพันธ์ 2015 รายการ: บุนเดสลีกา เจ้าบ้าน: ดอร์ทมุนด์



ที่มา : http://pantip.com/topic/32648096




Gol Sur 1986
เข้าร่วม: 03 Oct 2013
ตอบ: 885
ที่อยู่: BKK
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 8:19 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
สาระมีอยู่จริง

เข้าร่วม: 07 Jul 2006
ตอบ: 973
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 8:32 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
ตอนนั้นลุ้นให้ชาลเก้ได้แชมป์มากๆ เพราะไม่อยากให้น้อยหน้าดอร์ทมุนด์นี้แหละ

เข้าร่วม: 14 Feb 2014
ตอบ: 1448
ที่อยู่: อาร์เซน่อล Emirates Stadium
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 8:33 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
กระทู้ดีมีสาระ ชอบครับทำออกมาบ่อยๆน่ะ อยากให้เขียนถึงเลเวอร์คูเซ่นผมจัง
เข้าร่วม: 14 Feb 2014
ตอบ: 5256
ที่อยู่: München Deutschland
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 8:46 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]


ยอดเยี่ยมมากครับผม ...

เข้าร่วม: 29 Jan 2011
ตอบ: 8991
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 9:19 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
อ่านจบเเล้วครับ ขอบคุณครับ

เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 3659
ที่อยู่: ง่ายกินง่าย
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 9:28 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
ขอบคุณครับ

อ่านจนจบ
"Soccerศาสตร์ ความรู้คู่ฟุตบอล" https://www.facebook.com/Soccerknowledge
เข้าร่วม: 29 Apr 2006
ตอบ: 86
ที่อยู่: Italy
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 10:07 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
ชอบมากครับ
ฝากเพ็จด้วยครับ

https://www.facebook.com/forumofsports

Where ideas are debated!

เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 391
ที่อยู่: League Of Legends
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 10:11 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
ชอบสีหน้าคล็อปนะ

อ่านชื่อแต่ละคน มีแต่ตำนานที่น่าจดจำ ผมยังจำภาพตอน ชาลเก้ ได้แชมป์ยูฟ่า
และ ดอทมุนได้ UCL อยู่เลยถึงเด็กมากแต่ก็ตามดูทั้นตอนนั้น
เข้าร่วม: 30 Apr 2010
ตอบ: 7174
ที่อยู่: ---
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 10:12 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
ยาวมากๆ กว่าจะอ่านจบ

แต่ชอบครับ บทความดีๆ
เข้าร่วม: 01 Jun 2014
ตอบ: 1915
ที่อยู่: ♪♫♫♪♪♫♪♫
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 11:06 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
อ่านจบจนได้
สำหรับผม ใครจะเป็นแชมป์บุนเดสก้อได้ ขอให้ไม่เป็นบาเยิร์นก้อพอ บุนเดสลีกาจะได้สนุกขึ้น มีลุ้นแชมป์หลายทีม
0
0

เกรียนมา เกรียนกลับ ไม่โกง



โดย เบน ฟรีคิก เมื่อวันที่ 69 June 6969 69:69 [เหตุผล]
เข้าร่วม: 14 Jun 2009
ตอบ: 62
ที่อยู่: อยู่บ้านจ้ะ
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 11:13 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
ผมเป็นแฟนชาลเก้คนนึงที่เงิบครับจำได้เลย รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 10675
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Oct 28, 2014 11:47 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
ตอนแรกที่เชียร์ดอร์ทมุนก็ไม่ชอบชาลเก้ไปตามกระแสด้วย แต่พอดูไปสักพักยิ่งปี 1997 ที่ต่างคนต่างได้แชมยุโรป จำได้ว่า ทั้งแคว้นมาฉลองด้วยกัน ส่งเบียร์ ส่งไส้กรอก ยินดีให้กับอีกทีม ตอนนั้นก็ตามเชียร์ชาลเก้เพิ่มทันที
0
0
เข้าร่วม: 03 May 2009
ตอบ: 5036
ที่อยู่: CM
โพสเมื่อ: Wed Oct 29, 2014 12:26 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
ขอบคุณกระทู้คุณภาพ เดี๋ยวเดือนหน้าแผล่บให้ครับ
0
0


ดอร์ทมุนด์ด้วย หาลายเซ็นต์แปป
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 2877
ที่อยู่: Chuo,Osaka,Japan
โพสเมื่อ: Fri Oct 31, 2014 6:23 pm
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
เจ้าของมู้อ่านจบยัง
0
0




เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 403
ที่อยู่: Cobham
โพสเมื่อ: Sun Nov 02, 2014 12:48 am
[RE: ''รูห์ดาร์บี้'' ดาร์บี้เหมืองแห่งเยอรมัน]
เยี่ยม
0
0
chelsea fc