Frankie and Stevie: Last chance… last dance

นับเป็นเวลาราวสิบปีได้แล้วหลังจาก Paul Scholes อำลาทีมชาติไป ที่ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ได้มีกองกลางที่เป็น Golden Generation ขึ้นมานำทัพ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทั้ง Frank Lampard และ Steven Gerrard เป็นสองกองกลางที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุด จากความสำเร็จของสโมสร ผลงานในสนาม คำยกย่องจากบรรดาตำนานวงการฟุตบอลมากมาย

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ทีมชาติอังกฤษยัง”ไม่ประสบความสำเร็จ”ภายใต้การนำของสองคนนี้เลย กุนซือมากหน้าหลายตาถูกนำเข้ามาแก้ไขโจทย์ใหญ่ข้อนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครที่สามารถจะจับ Lampard และ Gerrard มาเล่นคู่กันแล้วเค้นศักยภาพที่ดีที่สุดของทั้งคู่ออกมาได้เลย ทั้งสไตล์การเล่นที่มักจะคุ้นชินกับการวิ่งเติมขึ้นไปข้างหน้าให้กับสโมสร ความสามารถในการเล่นเกมรับ การยืนตำแหน่งที่ค่อนข้างจะสูง ปล่อยให้เป็นภาระของกองหลังมากเกินไป เรื่องเหล่านี้คือปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในฟุตบอลทัวร์นาเมนท์ใหญ่ๆที่ทีมชาติอังกฤษลงไปโม่แข้งด้วยและกลับมามือเปล่า

แต่สำหรับ”ครั้งสุดท้าย”นี้ Lampard วัยย่าง 36 และ Gerrard วัยใกล้ 34 อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นสองคนนี้เล่นอย่างเข้าขากันจริงๆก็เป็นได้

สำหรับฤดูกาลที่ผ่านมา ทั้ง Brendan Rodgers และ Jose Mourinho ได้ปรับกองกลางหมายเลข 8 ของทีมลงมายืนต่ำประคองเกม โดยเฉพาะ Stevie G ที่ยืนอยู่หน้าแผงหลังคอยคุมเกม คอยเปลี่ยนทิศทางของบอล ผิดกับสมัยหนุ่มๆที่วิ่งเป็นม้าไปทั่วสนามตั้งแต่แบ็คขวายันกองหน้า ขึ้นสุดลงสุดสมฉายา”กัปตันไดนาโม”ของเหล่าเดอะค็อป ส่วนของ Lampard นั้น เดิมทีก็ลงมายืนต่ำได้สักพักแล้ว หลังจากที่ Di Matteo ได้เอาแผน 4-2-3-1 มาใช้ แล้วให้ Lampard ยืนอยู่หน้าแผงหลังร่วมกับ John Obi Mikel ในช่วงปี 2012 เป็นต้นมา แต่ยังมีเติมขึ้นไปเป็นระยะในการช่วยกดดันแผงหลังฝั่งตรงข้าม

แล้วถ้าในทีมชาติอังกฤษจับสองคนนี้ลงคู่กันอีกครั้งล่ะ?

ดูจะเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อมลงตัวมากขึ้น จากตั้งหน้าตั้งตาจะบุกทั้งคู่ เปลี่ยนมาเล่นเพื่อทีม เล่นเพื่อประคองกันแบบจริงๆเสียที น่าจะดูดีกว่าก่อนหน้านี้ที่ Roy Hodgson มักจะให้ Gerrard เป็นคนบุก เป็นคนวิ่ง แล้ว Lampard เป็นคนคอยยืนคุมกลางประคองเกม ซึ่งตอนนั้นเห็นผลชัดเจนว่า ไม่เวิร์ค จนต้องเอา Michael Carrick มายืนซ้อนให้กับสองคนนี้อีกชั้นหนึ่ง ให้กลางแน่นขึ้น แต่ก็กลายเป็นลดจำนวนตัวรุกที่มีลงไปเสียอย่างนั้น

เนื่องด้วยฟอร์มการเล่นให้สโมสรของ Carrick นั้นดูตกลงไป ส่วน Gerrard เองก็เริ่มชินกับการยืนต่ำให้กับสโมสร อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งให้ Hodgson เลือกที่จะใช้ Gerrard ยืนหน้าแผงหลังเป็นตัวจริงเลย ทำให้การใช้แผน 4-2-3-1 โดยมี Gerrard & Lampard ยืนคุมกลางคู่กันดูจะเป็นไปได้มากขึ้น และน่าจะมีผลดีในการเล่นเกมรุกมากขึ้น

แต่ไม่ใช่ว่าปัญหาจะไม่เกิดนะครับ

เป็นอันรู้กันว่า Gerrard เองไม่ใช่คนที่สามารถสกรีนบอล เข้าบอล แย่งบอลได้เนียนตาอะไรอยู่แล้ว กลับเป็นคนที่มักจะเข้าบอลรุนแรง เข้าหนัก เข้าโฉ่งฉ่างมาตลอดชีวิตค้าแข้งด้วยซ้ำ ซึ่ง Lampard เองก็ไม่ได้ดีกว่ากันในจุดนี้สักเท่าไหร่ การเอาสองคนนี้มายืนคุมเกมแดนกลางคู่กัน ในสถานการณ์ที่ทีมต้องตั้งรับ จะมีอะไรการันตีได้ว่า ภาระในการรับมือฝั่งตรงข้ามจะไม่ต้องตกไปอยู่ที่กองหลังมากเกินไป เพราะถึงแม้จะเป็นคู่เซนเตอร์ที่ดีที่สุดของทีมตอนนี้อย่าง Gary Cahill และ Phil Jagielka ก็ยังดูจะมีปัญหา โดยเฉพาะ Jagielka ที่ดูจะยังห่างชั้นกับเกมระดับสูงอยู่พอสมควร ต่างกับ Cahill ที่ฟอร์มการเล่นในฤดูกาลที่ผ่านมานั้นดีมาก ทั้งได้รับการติวจาก Jose Mourinho จนกลายเป็นคู่ภูผาเหล็กคู่กับ John Terry กัปตันทีม

ยิ่งสังเกตดูใน 30 คนที่เรียกมา คนที่ดูจะยืนหน้าแผงหลังของทีมได้ กลับมีแค่ Phil Jones ที่ไม่รู้ว่าจะฟิตทันหรือไม่ และ Michael Carrick ที่เป็นเพียงตัว Stand by เท่านั้น ตำแหน่ง Defensive Midfield ที่เล่นได้โดดเด่นอย่าง Gareth Barry กลับไม่ถูกเรียกเสียอย่างนั้น

ดังนั้น แฟนๆทีมชาติอังกฤษอาจจะทำใจไว้เสียหน่อยว่า ทีมอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในรอบลึกๆ แต่น่าจะมีระบบการเล่นดีขึ้น เป็นทีมมากขึ้น ส่งท้ายให้กับ Lampard และ Gerrard ที่น่าจะเล่นรายการนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะส่งต่อให้รุ่นน้องแล้ว

สถานีต่อไป รอส บาร์คลีย์

อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นสิงที่อยากเห็นที่สุดกับทีมชาติอังกฤษชุดนี้

เดวนี้ เจอราด เค้าเล่น หน้าเเผงกองหลังเเล้วววว

ฟุตบอลไม่ได้เล่นแค่ 1 หรือ 2 คน ส่วนใหญ่จะโทษว่าเพราะสองคนนี้เล่นไม่เข้ากันถึงไปไม่ได้ไกล แต่กรุณาดูตำแหน่งอื่นด้วย กองหน้า? ขาดกองหน้าดีๆมาหลายปีแล้ว สู้ทีมอื่นเค้าได้ที่ไหน