20 หนังต่างประเทศน่าเก็บ แห่งปี 56
ที่มา : อภินันท์ ผู้จัดการออนไลน์
แม้ว่าหนังไทยจะเข้าฉายค่อนข้างน้อย แต่กองทัพหนังจากต่างประเทศทั่วโลก ก็ยกขบวนมาเก็บเงินคนไทยกันอย่างคับคั่งเช่นเดิม และนี่ก็คือหนังต่างประเทศ 20 เรื่องที่น่าเก็บในรอบปีที่ผ่านมา
***หมายเหตุ : อันดับเหล่านี้ไม่ได้ไล่เรียงตามความยอดเยี่ยม แต่จัดตามลำดับเวลาการเข้าฉายก่อน-หลัง
1.Flight : ฝ่าวิกฤติเที่ยวบินระทึก
การแสดงอันยอดเยี่ยมของแดนเซล วอชิงตัน ทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจในตัวละครนักบินผู้อยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นฮีโร่กับคนขี้ยา ส่วนบทภาพยนตร์ก็มีชั้นเชิงลูกล่อลูกชนและความลุ่มลึกแหลมคม หนังรุ่มรวยอารมณ์ขันในแบบตลกร้าย มันเป็นความ “ตลกอย่างเข้าใจในความเป็นมนุษย์” เพราะขณะที่หนังทำให้เรารู้สึกมีประกายความหวังในพลังของความเป็นมนุษย์ที่มักจะสามารถเอาชนะจิตใจตัวเองได้ แต่หนังก็ยังมีพื้นที่ให้กับธาตุแท้อีกด้านของความเป็นคนซึ่งมีความอ่อนแอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นี่คือหนังที่นึกถึงกี่ครั้ง ก็ยังรู้สึกฮา ฮา และฮา
2.Silver Linings Playbook : ลุกขึ้นใหม่หัวใจมีเธอ
หนึ่งในสิบหนังชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมครั้งที่ผ่านมา รวมถึงสาขาอื่นๆ อีก 7 สาขา และเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ก็คว้าตุ๊กตาทองตัวแรกในชีวิตได้สำเร็จในตำแหน่งนักแสดงนำฝ่ายหญิง โดยสถานะของหนังบนเวทีออสการ์นั้น มีคุณค่าคล้ายกับไม้ประดับบนเวที เป็นหนังเล็กๆ ที่งดงาม แบบเดียวกับ ไม่ว่าจะเป็น Juno, Sideways, Up in the Air, Lost in Translation, Little Miss Sunshine, Precious หรือ The Blind Side
Silver Linings ย่อมาจากสำนวน Every cloud has a silver Linings. ซึ่งมีความหมายว่า ในความมืดมน ใช่จะไร้แสงสว่าง หรือท่ามกลางความเลวร้ายก็ยังมีสิ่งดีๆ อยู่เสมอ เมื่อบวกรวมกับคำว่า Playbook ซึ่งมีความหมายในทางของการเป็น “ตำรา” หรือ “คู่มือ” Silver Linings Playbook จึงมีความหมายแบบเข้าใจได้ว่าเป็นดั่งตำรามองโลกในแง่ดีหรือคู่มือต่อสู้เพื่อผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ ในชีวิต ซึ่งหนังที่สร้างมาจากนิยายของแมทธิว ควิก เรื่องนี้ก็นำเสนอสิ่งนั้นออกมาได้อย่างหมดจดงดงามสะเทือนใจ ผ่านการแสดงที่อินเนอร์แรงสุดๆ ทั้งของแบรดลี่ย์ คูเปอร์ และเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์
3.Amour : รัก
ถ้าหนังฮ่องกงเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงโดยหลิวเต๋อหัว แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่งดงามในแบบ A Simple Life หนังของมิคาอิล ฮาเนเก้ เรื่องนี้ ก็คงพูดเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ Simple Love ซึ่งผ่านการนำเสนอแบบเรียบง่ายและเป็นวิถีแห่งชีวิตโดยแท้จริง หนังว่าด้วยเรื่องสามีภรรยาที่อยู่กินกันมาจนแก่เฒ่าและอยู่ในวันเวลาที่กำลังย่างก้าวสู่การพรากจากแบบนิรันดร์ หนังสามารถตอบโจทย์ได้งดงามในแง่ของการแสดงให้เห็นถึงความหมายของคำว่า “รัก” สมศักดิ์ศรีกับที่กล้าตั้งชื่อว่า “อามัวร์” (Amour) ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึง Love ในภาษาอังกฤษ หนังรักหลายเรื่องมีคำว่า “รัก” อยู่ในชื่อเรื่อง แต่กลับไม่สามารถทำให้คนดูรู้สึกสัมผัสได้ถึงพลังของความรัก แต่นั่นไม่ใช่หนัง “รัก” เรื่องนี้อย่างแน่นอน
4.Django Unchained : โคตรคนแดนเถื่อน
เควนติน ทารันติโน ชื่อนี้การันตีคุณภาพ เขาคือผู้กำกับที่นับได้ว่ามีลายเซ็นเป็นเอกลักษณ์มากที่สุดคนหนึ่ง อารมณ์ขันแบบตลกร้าย และความวายป่วงของเรื่องราว เป็นสิ่งที่เรามักจะพบเห็นได้ในหนังของเขา พอๆ กับความเยอะของบทสนทนาจนอาจกล่าวได้ถึงขั้นว่า “พล่าม” แต่ทว่าก็เป็นการพล่ามที่น่าฟังและน่าสนใจ จังโจ้ อันเชนด์ มีครบรสทั้งความโหดมันฮาแบบเควนติน ดาราทุกคนในเรื่อง เล่นได้ถึง ไล่ตั้งแต่เจมี ฟอกซ์, คริสต๊อฟ วอลซ์ (ได้ตุ๊กตาทองตัวที่สองสาขาสมทบชายจากงานนี้) ไปจนถึงลีโอนาโด ดิคาปริโอ หรือแม้กระทั่งซามูเอล แอล แจ็คสัน ซึ่งตีบทแตกได้ชนิดที่ว่ากินกันไม่ลง ทั้งนี้ รางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ ก็รับประกันได้ระดับหนึ่งถึงคุณภาพของตัวเรื่อง ซึ่งถูกเขียนขึ้นมาอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นความทรงจำดีๆ อีกหนึ่งหน้าของคนดูหนัง
5.The Places Beyond Pines : พลิกชะตา ท้าหัวใจระห่ำ
หนังที่ผมชอบส่วนใหญ่ มักจะเป็นหนังที่ไม่ตัดสินชี้ขาดตัวละครด้วยมาตรฐานของความคิดของตัวเองของผู้กำกับ แต่เปิดพื้นที่และเล่าเรื่องของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของคนดูผู้ชมที่จะนึกคิดจินตนาการหรือตีความไปตามพื้นฐานของตัวเอง ถ้าคนดูมีพื้นที่ส่วนตัวในการที่จะคิดเห็นกับเรื่องราวต่างๆ หนังที่ดีก็ต้องเปิดพื้นที่ให้ตัวละครได้สำแดงความเป็นจริงของตัวเองอย่างเต็มที่ และผมก็เห็นว่า The Place beyond the Pines ทำได้ดีถึงขั้นนั้น ทั้งเรื่องราวและเนื้อหา บทหนังเด่น การแสดงดี และตัวละครมีมิติ จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ หนังสามารถแผ่ขยายอาณาเขตทางด้านเนื้อหาออกไปได้ ทั้งในเชิงกว้างและลึก ประเด็นหลายอย่างซ้อนทับกันเป็นขด ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณแห่งการเป็นพ่อ ความรู้สึกรับผิดชอบ ความใฝ่ฝันที่จะสร้างเนื้อสร้างตัว ที่สะท้อนความฝันใฝ่ของตัวละครในฐานะมนุษย์คนหนึ่งซึ่งต้องการจะยกระดับตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับ
6.Fast And Furious 6 : เร็วแรงทะลุนรก 6
จากจุดเริ่มของการเป็นหนังแข่งรถในภาคแรกๆ ฟาส์แอนด์ฟิวเรียสค่อยๆ ขยับจักรวาลของตัวเองให้กว้างออกไปในภาคหลังๆ โดยให้พลังกับตัวเรื่องหรือเนื้อหาไม่น้อยไปกว่าความแรงของรถและความบ้าระห่ำของทีมฟาสต์ เอาเป็นว่า ถ้าให้เลือกหนังแอ็กชั่นที่มันที่สุดแห่งปี โดยที่ไม่กลวงเปล่าด้านประเด็นเนื้อหา (การทำงานเป็นทีม, มิตรภาพ, ครอบครัว, ความรัก) ผมเลือกเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่งครับ
7.star trek into darkness : สตาร์เทรค ทะยานสู่ห้วงมืด
ชัดเจนในแง่ของความเป็นหนังบันเทิง ขนานไปกับการมีเนื้อหาที่จับต้องสัมผัสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวร้ายซึ่งดูเหมือนจะมีบทบาทต่อพัฒนาการของเรื่องราวในเชิงลึก ความเหี้ยมโหดในแนวทางของความดาร์ก ที่ไม่ได้ร้ายเฉพาะในทางรูปธรรม หากแต่ในจิตใจก็ซ่อนไว้ด้วยความร้ายแบบสุดๆ ความมืดมนอนธการของจักรวาล บางทีก็กลายเป็นเด็กอนุบาลไปเลย เมื่อเปรียบเทียบกับความมืดหม่นในจิตใจของมนุษย์
8.Mud : คนคลั่งบาป
แม็ทธิว แม็คคอนนาเฮย์ กลับมาท็อปฟอร์มในด้านการแสดงอีกครั้งอย่างสมบูรณ์แบบ กับบทบาทของชายผู้มีความน่ากังขาสงสัยในพื้นฐานความเป็นมา บรรยากาศของเรื่องเซ็ตติ้งอยู่ในชนบทของอเมริกา และชวนให้นึกถึงหนังเยี่ยมๆ เรื่องหนึ่งจากวันวานอย่าง Stand by Me เพียงแต่เด็กน้อยสองคนในหนังเรื่องนี้ แตกต่างจากมิคกี้และผองเพื่อนในหนังที่สร้างมาจากปลายปากกาของสตีเฟ่น คิง ตรงที่ว่า พวกเขาไม่ได้ออกไปตามหาศพเด็ก แต่ไปพบกับใครสักคนซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอุกอาจ แม้ตอนจบของเรื่องจะดูประนีประนอมอยู่บ้าง แต่ทว่าโดยภาพรวม มันตอกย้ำยืนยันคำประกาศของใครหลายคนได้เป็นอย่างดีว่า นี่คือหนังอเมริกาที่ดีที่สุดซึ่งได้ไปฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งที่ผ่านมา
9.Monsters University : มหา'ลัย มอนสเตอร์
หนังภาคต่อของ Monster Inc. ซึ่งย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์ก่อนที่ “ไมค์ วาโซว์สกี้” กับ “เจมส์ พี.ซัลลี่แวน” จะก้าวขึ้นมาเป็นนักเขย่าขวัญขั้นเทพอย่างเต็มตัว บทหนังเปี่ยมไปด้วยสีสันและมิติ อารมณ์ขันคือความรื่นรมย์ที่ผู้ชมสามารถเก็บเกี่ยวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ขณะที่ความลึกซึ้งในด้านประเด็นเนื้อหาก็มีซ่อนอยู่หลายชั้น เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูก็ยิ่งขบคิดได้สนุก ขณะยิ้มหัวหรือสุขเศร้าไปกับหนัง
10.The Conjuring : คนเรียกผี
นี่คือหนังที่กวาดต้อนเอาทักษะอันหลากหลายของหนังผีรุ่นพี่มาใช้สอยอย่างเกิดประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาซาวด์เอฟเฟคต์ให้คนดูตกใจตามสไตล์ของผีสะดุ้งหรือผีตุ้งแช่, การขับเน้นบรรยากาศให้ดูน่าสะพรึงกลัว ผ่านการจัดแสงและองค์ประกอบต่างๆ ที่ชวนให้ขนลุก ง่ายๆ แค่ตุ๊กตาตัวเดียวก็ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังได้แล้ว สรุปว่ามันคือการนำของเก่ามาบูรณาการและผสมผสานอย่างกลมกล่อมลงตัว จนเกิดเป็นหนังผีที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง
11.Pain And Gain : ไม่เจ็บ ไม่รวย
ม้านอกสายตาที่มาพร้อมกับความเซอร์ไพรส์เกินคาด หนังของไมเคิล เบย์ เรื่องนี้ อาจจะดูแตกต่างไปจากทรานส์ฟอร์เมอร์สที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาจนโด่งดัง แต่ด้วยลีลาน้ำเสียงที่ทั้งสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาถึงคุณค่าความหมายของชีวิต และทั้งเสียดสีเหน็บแนมความเป็นไปในบ้านเกิดของตัวเอง ไมเคิล เบย์ ทำให้หนังเรื่องนี้มีคุณค่ามากไปกว่าการเป็นงานที่บันเทิงมากๆ เรื่องหนึ่ง เพราะเมื่อคำนึงถึงเนื้อหาสาระ งานชิ้นนี้ของผู้กำกับทรานส์ฟอร์เมอร์ส สามารถเทียบชั้นกับงานดีๆ หลายเรื่องที่ใครต่อใครให้คำชื่นชมทำนองว่า “สะท้อนความเป็นจริงทางสังคม” ได้เลย
12.Rush : รัช อัดเต็มสปีด
คำกล่าวที่ว่า Enemy is the power. หรือ ศัตรูคือยาชูกำลัง น่าจะบอกกล่าวถึงแก่นสารของหนังเรื่องได้อย่างแจ่มชัด มันคือมิตรภาพระหว่างคนสองคน ที่บางมุมก็ดูคล้ายเป็นคู่แข่ง แต่อีกหนึ่งมุม กลับดูหนุนเสริมเพิ่มพลังให้แก่กัน ยิ่งรู้สึกว่ามีคู่แข่ง ยิ่งต้องเร่งตัวเองให้เร็วและแรงเพื่อจะแซงอีกคนให้ได้ ทั้งนี้ โดยไม่รู้สึกอาฆาตมาดร้ายอะไรต่อกัน เพราะแม้จะเป็นคู่ต่อสู้บนลู่แข่ง แต่ก็หยิบยื่นความเป็นมิตรได้ในสนามชีวิต สุดท้าย ว่ากันที่ความประทับใจ ก็คงเพราะมันบอกกล่าวเล่าถึง Human Spirit หรือ “จิตวิญญาณของมนุษย์” ที่ไม่หยุดจะฟันฝ่า ท่ามกลางสภาวะแรงบีบคั้นกดดันของโลกและชีวิต และบางที ชัยชนะบนสนามแข่ง อาจเทียบค่าได้ยากกับชัยชนะอีกหนึ่งแบบ คือ ชัยชนะเหนือจิตใจของตนเอง
13.Prisoners : คู่เดือดเชือดปมดิบ
ผมจำไม่ได้แล้วว่า อ่านสเตตัสนี้มาจากดฟซบุ๊กของใคร แต่เนื้อความยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ คำนั้นพูดว่า “ระหว่างที่ฉันไล่ล่าต่อสู้กับปีศาจ ฉันก็กลายเป็นปีศาจไปด้วย” คำกล่าวนี้ดูเหมือนจะเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะกับหนังเรื่องนี้ที่ว่าด้วยเรื่องของครอบครัวที่ลูกคนเล็กหายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุและต้องมีการออกติดตาม โดยระหว่างนั้น หนังก็ค่อยๆ เผยเงื่อนงำและตัวละครต่างๆ ที่มีความน่าสงสัยให้คนดูคาดเดาก่อนจะไปเฉลยตอนจบเรื่อง งานชิ้นนี้ถือว่าควรคู่อย่างปฏิเสธไม่ได้กับคำชมที่ได้รับมาอย่างล้นหลาม นักแสดงดี ตัวละครมีมิติ และบทหนังมีความลุ่มลึก หนังเรื่องหนึ่ง มีคุณสมบัติรอบด้านแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
14.About Time : ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก
หนังคอมิดี้เรื่องล่าสุดของผู้กำกับ Love Actually “ริชาร์ด เคอร์ติส” ซึ่งมีทั้งแง่มุมความรัก ความสัมพันธ์ในครอบครัว (พ่อ-ลูก) หรือแม้กระทั่งการเรียนรู้เติบโตในทางวุฒิภาวะกับบทเรียนชีวิตที่ไม่ถึงกับเค้นมากจนหนักอึ้ง แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังด้านเนื้อหา ทั้งหมดทั้งมวลมาพร้อมกับอารมณ์ขันอย่างร้ายกาจและความฟีลกู๊ดงดงาม แน่นอนว่า เราคงมิอาจย้อนเวลากลับไปเหมือนกับตัวละครในเรื่องได้ แต่โลกยุคใหม่ก็สร้างให้มีเครื่องเล่นทันสมัย ทั้งแผ่นดีวีดี ไฟล์ ไปจนถึงบลูเรย์ ที่สามารถทำให้เรารีเพลย์หนังเรื่องนี้ได้อีกหลายๆ รอบ และยังสนุกกับมันได้
15.Gravity : มฤตยูแรงโน้มถ่วง
งานชิ้นนี้ของ “อัลฟองโซ คัวรอง” ถูกขนานนามว่าเป็น 2001 : A Space Odyssey แห่งปี 2013 มันเป็นหนังแอ็กชั่นไซไฟที่แตกต่างไปจากหนังแนวเดียวกัน เพราะไม่มีตัวร้ายจากต่างดาวอย่างเอเลี่ยนหรืออุกกาบาตที่ต้องเอาชนะ นอกเหนือไปจากจิตวิญญาณและความอ่อนแอภายในจิตใจของตัวเอง แซนดร้า บูลล็อก กับบทนักบินอวกาศ คาดหมายกันว่าคงมีชื่อไปโผล่อีกครั้งบนเวทีออสการ์ และจอร์จ คลูนี่ย์ ก็เช่นกัน หนังงามมาก ภาพสวยมาก การแสดงดีมาก และบทหนังก็น่าประทับใจมาก
16.The Hunger Games : Catching Fire เกมล่าเกม แคทชิ่ง ไฟเออร์
ยกระดับชั้นจากการเป็นหนังแฟนตาซีพื้นๆ สู่การเป็นภาพยนตร์ที่เข้มข้นด้วยประเด็นเนื้อหา ผ่านสถานการณ์ที่กดดันบีบคั้นความรู้สึก จากเกมไล่ล่าคร่าชีวิตที่มุ่งหมายความลุ้นระทึกเป็นหลัก หนังพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกขั้นด้วยการยกระดับการต่อสู้ในหมู่เกมเมอร์ด้วยกันเองซึ่งมีความเป็นความตายเป็นเดิมพัน กลายเป็นการต่อสู้ที่มีความอยู่รอดของสังคมและโค่นล้มระบอบทรราชเป็นแกนหลัก ภายใต้ฉากหน้าของความเป็นหนังแอ็กชั่นแฟนตาซี นี่คือหนังการเมืองซึ่งซีเรียสเข้มข้นมากที่สุดเรื่องหนึ่งและจะปะทุระเบิดอย่างรุนแรงแน่นอนในภาคต่อไป
17.Like Father, Like Son : พ่อครับ รักผมได้ไหม
เข้าฉายช่วงวันพ่อ และลุ่มลึกสะเทือนในประเด็นความสัมพันธ์เกี่ยวกับพ่อและลูก หนังญี่ปุ่นของผู้กำกับ Nobody Knows เรื่องนี้ เล่าเรื่องที่ต้องบอกว่าเสียดแทงหัวใจอย่างถึงที่สุด เพราะมันพูดถึงครอบครัวที่เลี้ยงลูกคนหนึ่งมาตั้งแต่เกิดจนอายุ 6 ขวบ ก่อนจะรู้ว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของตัวเอง หนังมีอารมณ์ขัน พอๆ กับมีความลึกซึ้งคมคายกับการโยนคำถามให้กับตัวละครและคนดูร่วมด้วยช่วยกันค้นหาคำตอบว่า สุดท้ายแล้ว ระหว่าง “ดีเอ็นเอ” หรือสายเลือด กับ “วันเวลาที่เราใช้จ่ายไปด้วยกัน” สิ่งไหนจะสำคัญมากกว่า?
18.Frozen : ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ
นอกไปจาก Despicable Me ภาคสองที่ต้องดูแล้ว ผลงานลำดับที่ 53 ของดิสนีย์เรื่องนี้ก็น่าเก็บสะสมเช่นเดียวกัน นี่คือการกลับมาท็อปฟอร์มอย่างเยี่ยมยอดของวอลต์ ดิสนีย์ หรือแม้กระทั่งว่า หนังการ์ตูนอย่าง Frozen เรื่องนี้ เป็นผลงานที่ดีที่สุดของวอลต์ ดิสนีย์ นับตั้งแต่ Beauty & the Beast หรือ The Lion King เลยก็ว่าได้ และนั่นก็ไม่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด เพราะ Frozen มีมวลสารองค์ประกอบแบบที่แฟนหนังยุคเก่าของวอลต์ ดิสนีย์ ชื่นชอบ มันคือการกลับไปสู่กรอบหรือขนบแบบแผนของดิสนีย์ที่มักจะพิงตัวเองอยู่กับเรื่องราวเชิงเทพนิยายเจ้าหญิงเจ้าชาย (Fairy Tale) ขณะเดียวกันก็มีมิติด้านเนื้อหาสาระผสมผสานไปกับความบันเทิงได้แบบลงตัว ชื่อ Frozen ที่ชวนให้นึกถึงความเหน็บหนาวสุดขั้ว กลับทำให้ทุกคนที่ได้ดูได้ชม รู้สึกอุ่นในหัวใจ ด้วยเรื่องราวที่นอกจากเรื่องรักอันละมุนละไม ยังแฝงไว้ด้วยแง่มุมแห่งความเป็นคน ไปจนกระทั่งการค้นพบตัวเอง (Self Discovery) กล่าวอย่างเรียบง่ายก็คือ ขณะที่เล่าเรื่องซึ่งอ่อนหวานปานเทพนิยาย Frozen ก็แพรวพรายด้วยเนื้อหาอีกหลากแง่หลายมุม เปิดจินตนาการให้คนดูได้ขบคิดตีความ
19.Blue Jasmine : วิมานลวง
สารภาพจากใจว่าผมยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ เนื่องจากหนังเข้าฉายในโรงจำกัดและไกลบ้าน แต่ก็ยังอยากจะสนับสนุนให้เก็บ นี่คือผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของวู้ดดี้ อัลเลน คนทำหนังระดับปัญญาชนที่มักจะมีคารมคมคายจิกกัดได้อย่างน่าฟัง และเท่าที่เช็กจากกระแส อาจจะส่งให้นักแสดงหญิงอย่างเคท แบลนเชตต์ ก้าวไปไกลถึงออสการ์ได้เหมือนกัน ส่วนของตัวเรื่อง ไว้ได้ดูแล้วเมื่อไหร่ จะมาแชร์ความคิดเห็นกันครับ
20.American Hustle : โกงกระฉ่อนโลก
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังที่ดีมากๆ ซึ่งได้ดูช่วงส่งท้ายปีเก่าพอดิบพอดี เดวิด โอ. รัสเซลล์ ถือได้ว่าเป็นผู้กำกับระดับที่เชื่อมือได้ในมาตรฐานการทำหนัง โดยเฉพาะงานยุคหลังๆ ที่ส่งให้ชื่อของเขาโด่งดังขึ้นมาบนเวทีออสการ์ ไล่ตั้งแต่ The Fighter มาจนถึง Silver Linings Playbook งานของเขามักเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึกของคนหรือตัวตนของตัวละครที่ยอกย้อนมีปมหรือบาดแผลหลบมุมอยู่ในเบื้องลึกเบื้อหลัง และสิ่งนี้ก็มักจะนำมาซึ่งความขัดแย้งที่นำไปสู่การปะทะกันกับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยอาจจะมีผลลัพธ์เป็นความงดงามหรือเจ็บปวดหัวใจสลายก็ได้ทั้งนั้น
American Hustle ได้การแสดงที่ยอดเยี่ยมจากนักแสดงหลักทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน เบล, เจเรมี่ เรนเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ คูเปอร์ หรือแม้กระทั่งโรเบิร์ต เดอ นีโร ที่โผล่มาไม่กี่ฉาก ทว่าก็มีความน่าจดจำ และที่ต้องแสดงความนับถือด้วยหัวใจเต็มร้อยก็คงเป็นสาวน้อยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ซึ่งโดดเด่นมากจากบทบาทหญิงลูกหนึ่งซึ่งยากจะคาดเดาได้ในการกระทำของเธอ หนังเรื่องนี้ว่าด้วยปฏิบัติสุมหัวกันต้มตุ๋นอย่างร้ายกาจ นอกจากต้มคนอื่น ต้มคนกันเอง บางที ยังต้มได้แม้กระทั่งตัวเองเสียอีกด้วย ขณะดูหนังไป เราก็เหมือนจะตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับตัวละครในเรื่อง คือ เอาเข้าจริง ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตรงจุดไหนกำลังเป็นเรื่องจริง หรือตรงจุดใดกำลังเป็นความลวง คำกล่าวหนึ่งซึ่งปรากฏอยู่ในหนังและเหมือนเป็นเชิงอรรถอธิบายเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดีก็คือ ตัวละครแต่ละตัวต่างก็มีชีวิตอยู่ด้วยความหลอกลวง หรือ เพราะความลวง จึงทำให้อยู่รอดได้ ฟังดูก็ชวนให้รู้สึกขมขื่น แต่ก็นั่นแหละ เหลียวมองไปรอบๆ นอกโรงหนัง เรื่องอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ยากเย็น
หลายขวบปีที่ผ่านมา เราคนไทยเจ็บปวดหัวใจกับการโกงกระฉ่อนโลก และคำลวงของคนเลวๆ มาเพียงพอแล้ว พ.ศ.ใหม่ที่กำลังมา หวังว่าทุกท่านจะไม่ต้องได้พบพานกับอะไรแบบนั้นอีกนะครับ อันนี้คือความฝัน สวัสดีปีใหม่อย่างเป็นทางการครับ