ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 18 Jul 2010
ตอบ: 172
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 10:41 am
1990s : "Football , Bloody Hell"
1990s : Football , Bloody Hell ( ฟุตบอลมันก็นรกดีๆนี้เอง )

พิษจากฉากอวสานสงครามเย็น ลามเรื้อรังไปทั่ว ไร้เงาผู้รับยกเว้นหรือนิรโทษกรรม บ้างก็แผลปิด เฉก สองทิศเยอรมันทลายกำแพงเบอร์ลินกลมเกลียวเอกเทศ บ้างก็ฝีแตกหนองไหล เช่น โซเวียตเฉือนเนื้อร้ายเป็นรัฐอื่นๆมหาศาล รวมถึง “ ยูโกสลาเวีย “ ที่สละสิทธิฟาดแข้งยูโรจากวิกฤตจลาจลภายใน หวยเลยออกที่โคนมที่พลิกโอกาสเป็นขั้นบันไดให้ “ เดนมาร์ก “ ครองแชมป์ยูโรปี 1992 อารมณ์แบบว่า มาไงว่ะ ?

เพื่อมิให้ขาดตอนมาเต่ะฝุ่นกันบนเกาะผู้ดีเจ้างานยูโร 1996 ที่เยอรมันซึ่งจูบปากกันได้ไม่นาน เถลิงแชมป์แรกและแชมป์เดียวถึงชั่วโมงนี้ ซึ่งโลกยังโคจรไม่ครบรอบดวงอาทิตย์ Matthias Sammer ก็ได้อวดโฉมบัลลงดอร์ทิ้งทวนของเยอรมันและ Libero ตำแหน่งที่ทำให้อินทรีเหล็กคว้าบอลทองคำได้สามคนจากห้าคน ดังนั้นอุปมาอุปมัยถ้วยนี้ดั่งภาพรำลึก ตำแหน่ง Libero สัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่แห่งเยอรมันตะวันตก

เยอรมันตะวันตกปิดงานเลี้ยงได้ไร้ที่ติ แม้นสะท้อนแสงในบอลโลกที่ห่วยบรมปี 1990 ที่อิตาลี หลักฐานมัดตัวคือมีบอลกลิ้งในตะข่ายน้อยที่สุดและใบแดงปลิวว่อน 16 ใบ จำนนต่อหลักฐานให้ฟีฟ่าทำโบท็อกซ์ลวงทวารสังคายนาระบอบดึกดำบรรพ์ เช่นผู้รักษาประตูมิอาจจับบอลที่ฝั่งตนส่งกลับได้ รวมถึงล่อใจเป็นชัยชนะแลกสามแต้ม เพื่อรณรงค์ปล่อยการ์ดบุกแหลก ต่างจากโบราณที่ให้เพียงสองแต้ม สมัยก่อนการเสมอจึงอินเทรนด์

บอลโลกครั้งนี้ดารานำชายยังคงใช้มาราโดน่า แต่ครั้งนี้เสือเตี้ยไม่แกร่งดังเดิม จากอาการบาดเจ็บข้อเท้าและระดับการเล่นที่ดรอปลงไปมากหากเทียบกับช่วงเวลาบอลโลกสี่ปีก่อน ถึงกระนั้นคำว่าเบอร์หนึ่งของโลกยังค้ำคอ เพราะยังระหกระเหินหิ้วทีมมาป้องกันแชมป์จนได้ โดยคู่ต่อสู้ของเขาครั้งนี้ หน้าด้านมาจากสี่ปีก่อน เยอรมันตะวันตก และคู่ดวลของเขาก็หน้าเดิม “ Lothar Matthaus “

ทั้งสองทีมมีแมสคอร์ทคือสไตล์รุก ท่ามกลางดงเล่นชัวร์ไว้ก่อน ฝั่งฟ้าขาวกรีฑาทัพโดย “ God “ มาราโดน่า ส่วนอินทรีเหล็ก มีนาวาเอกคือ “ Superman “ มัทเธอุสหนึ่งใน Libero หรือ Sweeper ตัวฟรี บัญชาการทั้งรุกรับในตัวคนเดียว ซึ่งคงมิกล้าอาจเทียบรัศมีเบ็คเคนเบาเออร์ลิเบอโร่ที่ดีที่สุด แต่มัทเธอุสนับเป็นลิเบอโร่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่ง อันเด่นชัดจากการยืนตำแหน่ง วิสัยทัศน์การจ่ายบอล การเข้าสกัดบอล รวมถึงการยิงไกล ล้วนยอดเยี่มมทั้งสิ้น ฉะนั้นสมญานามอมนุษย์ ซูเปอร์แมน ไม่เป็นการยกเมฆแต่อย่างใด

การปะทะกันของพระเจ้าแห่งศาสนามาราโดน่าพร้อมโค๊ด D10S ( D คือ Diego Maradona , 10S คือเสื้อหมายเลขสิบ ) ซึ่งเจตนาแปรอักษรเป็น DIOS อันมีนัยว่า “ พระเจ้า “ ตามภาษาสเปน ซึ่งพระเจ้าที่เสื่อมมนต์ตราไหนเลยจะเทียมซูเปอร์แมนที่หนุ่มแน่น ผลลัพธ์คือพระเจ้าจำต้องศิโรราบ ถวายแชมป์แก่พลพรรคขุนพลเยอรมันตะวันตก พร้อมคำสรรเสริญแด่ซุปเปอร์แมนประกอบงานเลี้ยงว่า “ เขาคือคู่ต่อสู้ที่เก่งที่สุดเท่าที่มีมา “

ขอต่อแบบนันสต็อปที่บอลโลกปี 1994 ซึ่งฟีฟ่าตัดสินใจย้ายตลาดลูกหนังไปจัดที่อเมริกาที่เริ่มสนใจในฟุตบอลหรือที่มะกันเรียกว่าซ็อคเกอร์ เพราะคำว่าฟุตบอล เข้ายกให้เป็นเอกสิทธิ์ของกีฬาคนชนคน อเมริกันฟุตบอล ซึ่งแค่ชื่อก็รู้สาเหตุใยต้องหลีกทางให้ ถึงที่สุดแล้วหลังจบการแข่งขัน ฟีคแบคเกินคาดอย่างถล่มทลายบะละฮึ่ม เพราะพื้นเปลือกโลกใหม่ของโคลัมบัส เป็นบอลโลกที่มียอดผู้ชมสูงที่สุด ถึง 3.6 ล้านคน

โดยบอลโลกหนนี้เป็นการเดี่ยวโชว์ระหว่าง Romario จากบราซิล และ Roberto Baggio จากอิตาลี เพราะต่างซัลโวเป็นว่าเล่น จนแบกทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งสมราคาเต็งเพราะเกมสูสีคู่คี่เอากันไม่ลง ต้องดวลจุดโทษหาผู้หิ้วถ้วยกลับรัง ซึ่งการยิงเป้าครั้งนี้ สวรรค์กลั่นแกล้ง เทพบุตรเปียทองคำ จากที่เขารับสังหารจุดโทษพลาดคำนับต่อแซมบ้าที่ยกคลาสเพิ่มแชมป์โลกสมัยที่สี่ เป็นจักรพรรคิลูกหนังอย่างแท้จริง

ปิดทัวร์ที่บอลโลกสุดท้ายของทศวรรษนี้ “ ฟรองซ์ 98 “ ซึ่งน่าจะเป็นบอลโลกที่วัยเอ๊าะๆในบอร์ดนี้เริ่มดูเป็นครั้งแรก ดังนั้นบอลโลกครั้งนี้ผมคงไม่ต้องนัดระดมพลกองทัพสมองอันไม่ค่อยจะมี เพราะเชื่อว่าทุกท่านยังคงมีภาพลางๆความตื่นเต้นของชาวสยาม ที่ตัวแทนคนไทยจะไปเหยียบหญ้าสนามบอลโลก ในฐานะกรรมการ จากสิงห์เชิตดำ '' เปาอั๋น '' ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ และแชมป์โลกสมัยแรกของเจ้าภาพ น้ำหอมตราไก่ ฝรั่งเศส

ยังไม่นับประตูสุดเมพของเบิร์กแคมป์เกมเฉือนฟ้าขาว ความคมกริบดาวซัลโวซูเคอร์ ลีลาโซโลเดี่ยวไอ้หนูเบบี้โกลกับใบแดงของเทพบุตรเบ็คแฮมในเกมเสียท่าฟ้าขาว ภาพบล็องก์ถือเคล็ดประทับริมฝีปากบนเหม่งบาร์เตซ และไม่มีทางลืมนักเตะที่ชื่อว่า “ Zinedine Zidane “ เสียดายคนตายไม่ทันสัมผัสอัจฉริยภาพนี้

ยุคนี้เกิดจุดหักเหเปลี่ยนกติกาคุณสมบัติให้ผู้เล่นนานับทวีปมีสิทธิเข้าชิงบัลลงดอร์ ในปี 1995 ซึ่งในปีนั้นเลยก็เกิดบัลลงดอร์ที่ไม่ใช่ชาวยุโรปผุดขึ้นจาก George Weah ชาวลิเบอเรีย นับแต่นั้นถึงวินาทีนี้ก็มีการตั้งขบวนพาเหรดรับรางวัลของบราซิล อาทิ กลุ่มสาม R อันได้แก่ Ronaldo , Ronaldinho , Rivaldo เกือบรวมไปถึง Roberto Carlos ที่เฉียดเข้าอันดับสองรองแต่โล้นทองคำ ส่วนในยุคใหม่ก็มีขวัญใจมหาชนอย่าง Kaka

และแล้วก็มาถึงช่วงสุดท้ายนั้นคือเวทียักษ์เวทีสุดท้ายกับศึกชิงแชมป์สโมสรยุโรป ที่ในรอบสิบปีนี้มีการเปลี่ยนชื่อจาก European Cup เป็น Uefa Champions League ที่เราถางตาลุ้นจนตัวเกร็งในตอนนี้ โดยแชมป์สุดท้ายของชื่อเดิมนี้คือบาร์เซโลน่ายุคดรีมทีมจากการปลุกปั้นของเทวดาครัฟฟ์ ที่เอาชนะซามพ์โดเรียจากอิตาลี เป็นจุดล้มเพื่อลุกแสดงพลานุภาพอันเกรียงไกรของ กัลโช่ ซีเรีย อา จากแดนร้องเท้าบูท

ในปี 1993 มาร์กเซยกลายเป็นแชมป์ป้ายแดงของ Uefa Champion League ( UCL ) ด้วยการล่ม เอซีมิลาน แต่แชมป์แรกนี้เป็นแชมป์ไม่โปร่งใส เพราะประธานโอแอม ดันยัดใต้โต๊ะให้คู่ต่อสู้ในลีกล่มบอล เพื่อรวมศูนย์สมาธิพุ่งมาที่ UCL เท่านั้น จึงเจอะกรรมติดจรวดทั้งริบแชมป์ลีก ปรับตกชั้น ตัดสิทธิป้องกันแชมป์ UCL และรายการอื่นใด โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่บุญเก่ายังหนุนไว้จึงรอดตัวจากการถูกลบรอยสลักแชมป์แรกของ UCL

พลิกปฎิทินสู่ปี 1994 เอซีมิลานก็สอยเจ้าหูโตจนได้ ทำให้ Marcel Desaily กลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ UCL สองปีติดจากสองทีม เพราะปีก่อนเขาร่วมทีมกับมาร์กเซยที่ตอนนี้ดิ้นรนในลีกรอง ถัดมาในปี 1995 เอซีมิลาน ก็เข้าชิงเป็นสมัยที่สาม แต่ครานี้ถึงฆาตให้แก่พลังหนุ่มเยาวชนอาแจ็กซ์ ที่ปาไปสมัยที่สี่และหนุ่มน้อยใหญ่ในชุดนี้ก็แยกย้ายไปสังกัดทีมใหญ่ทั่วทุกมุมโลก สวนกับเม็ดเงินมหาศาลที่ไหลเข้ามาแทนที่

ถัดมาปี 1996 อาแจ็กซ์แชมป์เก่าป้องกันแชมป์ไม่สำเร็จ ปราขัยแก่ยูเวนตุส ซึ่งฤดูกาลต่อมาม้าลายก็ป้องกันแชมป์ไม่สำเร็จตามสูตร โดยแชมป์เซอร์ไพรต์ตกกลางกระหม่อมดอร์ทมุนด์ผลงานของ ท่านนายพล “ Ottmar Hitzfeld “ และในปี 1998 ยูเวนตุสเข้าชิงเป็นสมัยที่สามและสมัยที่เจ็ดติดต่อกันของกัลโช่ ซีเรีย อา แต่ก็อกหักรักคุดให้กับราชันชุดขาว รีลมาดริดที่ห่างเหินจากแชมป์นี้มา 32 ปี พร้อมกับหยุดเส้นทางมหากาฬของกัลโช่

เจ้าของแชมป์สุดท้ายของศกนี้ที่แย่งซีนแชมป์ก่อนๆ ภูมิใจนำเสนอโดยปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำกับการแสดงโดย อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับหนึ่งแชมป์ประวัติศาสตร์ดราม่าของ UCL นั้นคือแชมป์แรกของลีกอังกฤษนับแต่ที่ลิเวอร์พูลทำไว้ในชื่อเดิมปี 1984 ก่อนเกิดโศกนาฎกรรมที่เฮย์เซลในปีถัดมา อีกทั้งยังเป็นแชมป์ที่ชนะน้อยที่สุด เพียงห้าเกมเท่านั้น และที่ยังจารึกในกะโหลกใบนี้ คงหนีไม่พ้นที่กล่าวย่อหน้าต่อจากนี้

สิ่งที่คลาสสิกที่สุดคือรอบชิงชนะเลิศที่ปะทะกับบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเสือใต้นำแต่นกกระจอกไม่ทันกินน้ำนาทีที่หก ไม่พอแค่นั้นยังไล่ปิดประตูตีแมวล่อทั้งเสาทั้งคานสนั่นหวั่นไหว ไม่น้อยไปกว่าจิตใจเรด อาร์มี่เลย แต่แล้วนาทีที่ 80 ท่านนายพลฮิตเฟลด์ สั่งการพักลุงซูเปอร์แมนมัทเธอุส ที่อายุอานามปาเข้า 38 ปี ส่วนทางกลับฝั่งป๋าอเล็กที่ส่งซูเปอร์ซับที่ดีที่สุดในโลก “ Ole Gunnar Solskjaer “ ในนาทีที่ 81 และนี้คือจุดผกผันของศึกนี้ เมื่อทดเวลาภายเจ็บนาทีแรกน้าหมี “ Teddy Sheringham “ ทำประตูเสมอ ให้ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ

ความจริงแสนบรรลัย เมื่อทดเจ็บนาทีสุดท้ายเพรชฆาตหน้าทารก สะกิดพลิกนำเสือใต้สุดตาลปัตร ตัดขั้วหัวใจเสือใต้ทั้งเป็น ไร้เรี่ยวแรงกระทั่งก้าวขาไปเขี่ยบอล กรรมการมือหนึ่งของโลก Pierluigi Collina อนาถสภาพที่ปรากฏ จึงตัดสินใจเป่านกหวีดหมดเวลาในเกมที่แกประทับใจที่สุด กลายเป็นเพอร์เฟคท์เอ็นดิ้งของยักษ์เดนส์ “ Peter Schmeichel “ เป็นของขวัญวันเกิดที่สุดพิเศษแก่ดวงวิญญาณ Sir Matt Busby ผู้แรกที่พาปีศาจแดงคว้าแชมป์รายการนี้ และเป็นสุดยอดทริปเปิลแชมป์ของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โลกไม่กล้าลืม

คำสัมภาษณ์หลังจบเกมของผู้แพ้ยังค้านสายตาต่อภาพปราชัย ซึ่งทั่วโลกไม่เว้นแต่ Alex Ferguson ก็เห็นใจกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งเขาแสดงออกโดยทิ้งวลีอมตะตลอดกาล เสมือนคำปรารภในยศใหม่ “ Sir “ Alex Ferguson อันตอบรับตามผลงานชิ้นโบว์แดงนี้ ไว้ว่า

“ ฟุตบอลมันก็นรกดีๆนี้เอง ( Football , Bloody Hell ) “

นี้เป็นบทความปิดต้นฉบับซีรีย์ชุดนี้ ตัวผมคงไม่ขอต่อยอดยุค Y2K ปี 2000 เพราะคราบน้ำหมึกที่ประวัติศาสตร์ยังมิทันแห้งเจือจางให้ผมต้องลากเส้นซ้ำ แต่มันยังติดแน่นตราตรึงหัวใจทุกๆคน ทั้งภาพวาดกาแลคติคอสแห่งสถิตหมู่ดวงดาวในอุดมคติ , ค่ำคืนปาฎิหาร์ย ณ อิสตันบูล , โชว์สุดท้ายของซีดาน , บาร์เซโลน่ามรดกเงาปรัชญาโททัลฟุตบอล และเด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นจอมอหังการ เดอะสเปเชียลวัน “ โจเซ่ มูรินโญ่ “ ที่หากหาญอาจเอื้อมแชมป์ UCL และแชมป์ลีกที่ไม่เคยสัมผัสแค่สมัยเดียวเท่านั้น พวกเราก็จักกลายเป็นสักขีพยาน แด่ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดของประวัติศาสตร์กีฬาฟุตบอล

แต่เมื่อพลิกไปหน้าสุดท้ายของบันทึกนี้ผู้ใดจะหยั่งถึงว่าเครื่องจักรสีแดงอาจทำงานอีกครั้ง บาร์เซโลน่าอาจพังครืนต่อหน้า มูรินโญ่อาจอาภัพร้างความสำเร็จ ฟังดูระคายหูราวตลกร้าย แต่เพียงให้ตั้งใจจับตาลูกกลมๆลูกนี้ เพราะวินาทีใดที่มันกลิ้งในก้นตะข่าย วินาทีหน้าเมื่อเราย้อนกลับไปมอง มันก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่จำต้องก้มหน้ายอมรับมัน อาจน่าจนจำ ไม่น่าจดจำ สุขทุกข์คละเคล้าปนเป

ดั่งมันต้องการเตือนใจมนุษย์ทุกสกุลที่รับบทสวมโขนเป็นวณิพก ผู้ทำได้เพียง สุขไปกับชีวิต ยิ้มไปกับชีวิต เศร้าไปกับชีวิต ตายไปกับชีวิต ในละคร ณ เวทีพิภพทรงกลมใบนี้ …ว่า...

“ ชีวิตมันก็นรกดีๆนี้เอง “


-------------------------------------------------------------------------------------


Pre War : ทีมมหัศจรรย์
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?p=11315495#11315495

1950s : ตราบาปแห่งบราซิล (1)
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?p=9184439#9184439

1950s : ที่สุดของลูกหนังตลอดกาล (2)
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?p=9190204#9190204

1960s : อังกฤษครองโลกา
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=370357

1970s : อภิปรัชญาแห่งศาสตร์การกีฬาฟุตบอล
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=370711

1980s : วันที่ลูกหนังไม่มีที่ว่างให้ฟุตบอล
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=371125

วาทยกรผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดแห่งสนาม
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?p=10117253#10117253

กุหลาบไร้หนามในหัตถ์ราชัน
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?p=10312183#10312183

บทบาทปฏิวัติแผ่นหลังวงการฟุตบอล
http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?p=10762027#10762027
0
0
เข้าร่วม: 18 Jul 2010
ตอบ: 172
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 10:47 am
จบๆสักที ผมขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแนะนำติเตียน รวมถึงให้กำลังใจทุกท่านครับ

ตอนนี้ในหัวผมโล่งเตียน ถ้าเป็นไปได้ขอความกรุณาช่วยเสนอหัวเรื่องอะไรก็ได้ที่ท่านสนใจครับ สากกะเบือยันเรือรบได้หมดครับ ผมจะลองพยายามเอามันผูกๆใหกลายเป็นเรื่องเดียวดู ขออภัยที่ขอบคุณล่วงหน้าเลยน่ะครับ
0
0
เข้าร่วม: 03 Nov 2009
ตอบ: 1306
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 10:53 am
ขอบคุณสำหรับบทความครับผม
0
0

เข้าร่วม: 20 Jun 2008
ตอบ: 4190
ที่อยู่: OlD Trafford / ณ เทพศิรินทร์
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 11:00 am
เนื้อเรื่องยังคิดไม่ออก

แต่มีตรงส่วนคำศัพท์ยังพิมพ์ไม่ถูกต้องครับ

เช่น บรรไล ต้องพิมพ์ว่า บรรลัย

แต่เขียนบทความได้ดีมากเลย ชื่นชมครับ
0
0
เดินตามรอยเท้าผู้อื่น ก็มิอาจมีรอยเท้าของตนเอง
เข้าร่วม: 18 Jul 2010
ตอบ: 172
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 11:05 am
extinction พิมพ์ว่า:
เนื้อเรื่องยังคิดไม่ออก

แต่มีตรงส่วนคำศัพท์ยังพิมพ์ไม่ถูกต้องครับ

เช่น บรรไล ต้องพิมพ์ว่า บรรลัย

แต่เขียนบทความได้ดีมากเลย ชื่นชมครับ


ขอบคุณที่แจ้งครับ เสียหมาเลย
0
0
เข้าร่วม: 17 Jan 2010
ตอบ: 22305
ที่อยู่: Stamford bridge , Westfalen Stadion ,The Dell
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 11:17 am
เขียนได้สุดยอดครับ
0
0
__________________________________
เข้าร่วม: 24 Aug 2006
ตอบ: 3505
ที่อยู่: Designer's RoOm`
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 11:50 am
อยากรู้เกี่ยวกับเรื่อง พวก"จอมทัพ" "เพลย์เมคเกอร์" หรือ "หน้าต่ำ"
ประมาณนี้อ่ะครับ จัดให้ซัก1กระเบื้องนะครับท่าน
0
0
เดอะ คิง อองรี
เข้าร่วม: 18 Jul 2010
ตอบ: 172
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 11:55 am
Pilla พิมพ์ว่า:
อยากรู้เกี่ยวกับเรื่อง พวก"จอมทัพ" "เพลย์เมคเกอร์" หรือ "หน้าต่ำ"
ประมาณนี้อ่ะครับ จัดให้ซัก1กระเบื้องนะครับท่าน


จัดไปครับ เรื่องแรก แต่ผมลืมบอกไปว่าผมคงต้องใช่เวลาพักใหญ่ๆน่ะครับ ในการหาข้อมูลครับ แต่ผมมาแน่ๆครับผมรับประกัน

0
0
เข้าร่วม: 24 Aug 2006
ตอบ: 3505
ที่อยู่: Designer's RoOm`
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 11:57 am
The White พิมพ์ว่า:
Pilla พิมพ์ว่า:
อยากรู้เกี่ยวกับเรื่อง พวก"จอมทัพ" "เพลย์เมคเกอร์" หรือ "หน้าต่ำ"
ประมาณนี้อ่ะครับ จัดให้ซัก1กระเบื้องนะครับท่าน


จัดไปครับ เรื่องแรก แต่ผมลืมบอกไปว่าผมคงต้องใช่เวลาพักใหญ่ๆน่ะครับ ในการหาข้อมูลครับ แต่ผมมาแน่ๆครับผมรับประกัน



ขอบคุณมากครับ ยังไงจะรอนะ ผมติดตามงานของท่าน ทุกมู้เลย ชอบแนวนี้
0
0
เดอะ คิง อองรี
เข้าร่วม: 24 Jul 2009
ตอบ: 438
ที่อยู่: ดาวอังคาร
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 12:02 pm
เยี่ยมครับ
0
0
เข้าร่วม: 15 May 2010
ตอบ: 515
ที่อยู่: หุบเขากระเรียน ดอยพริ้วไหว
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 12:12 pm
เขียนดีมากครับ





0
0
เข้าร่วม: 06 Nov 2009
ตอบ: 153
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 12:15 pm
ท่าเต้นของแคเมอรูน ไม่น่าใช่ปี98นะครับ

น่าจะเป็น90 โรเจอร์ มิลล่า มากกว่า

94 ก็ยิงได้1ประตู แต่ไม่ได้เต้นเพราะว่าแมชนั้น โดนรัสเซียยำ6-1
0
0
เข้าร่วม: 08 Mar 2010
ตอบ: 192
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 12:21 pm
สุดยอดครับ
อ่านมันส์มากเลย
0
0
เข้าร่วม: 18 Sep 2008
ตอบ: 1072
ที่อยู่: Allianz-Arena
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 12:24 pm
ขอแก้ไขข้อผิดพลาดของ จขกท. หน่อยนะครับ ปี 1990 มัทเธอุสไม่ได้เล่นเป็นลิเบอโร่นะครับ อีกทั้งมัทเธอุสก็ไม่ได้เป็นคนตามประกบมาราโดน่าด้วย


แผงหลัง 3 คนของเยอรมันชุดนั้นลิเบอโร่คือ เคล้าส์ เอาเกนท์ธาเล่อร์นะครับ ส่วนสตอปเปอร์ 2 คนคือ เจอร์เก้น โคห์เลอร์ กับกีโดร์ บุควัลด์ซึ่งเป็นบุควัลด์นี่เองที่ทำหน้าที่ตามประกบมาราโดน่าจนแผลงฤทธิ์ไม่ออกในนัดชิงชนะเลิศ
0
0
เข้าร่วม: 17 Jun 2008
ตอบ: 34003
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 12:40 pm
จะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆนะครับ

อ่านชุดนี้สนุกจริงๆ

0
0
เข้าร่วม: 18 Jul 2010
ตอบ: 172
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 12:43 pm
kradeub1818 พิมพ์ว่า:
ท่าเต้นของแคเมอรูน ไม่น่าใช่ปี98นะครับ

น่าจะเป็น90 โรเจอร์ มิลล่า มากกว่า

94 ก็ยิงได้1ประตู แต่ไม่ได้เต้นเพราะว่าแมชนั้น โดนรัสเซียยำ6-1


ขอประทานโทษครับผมพลาดจริง ตีกันมั่วหมดในหัวกับปี 1990 ครับ แก้ไขแล้วครับ ขอบคุณมากครับ



Bellatrice พิมพ์ว่า:
ขอแก้ไขข้อผิดพลาดของ จขกท. หน่อยนะครับ ปี 1990 มัทเธอุสไม่ได้เล่นเป็นลิเบอโร่นะครับ อีกทั้งมัทเธอุสก็ไม่ได้เป็นคนตามประกบมาราโดน่าด้วย


แผงหลัง 3 คนของเยอรมันชุดนั้นลิเบอโร่คือ เคล้าส์ เอาเกนท์ธาเล่อร์นะครับ ส่วนสตอปเปอร์ 2 คนคือ เจอร์เก้น โคห์เลอร์ กับกีโดร์ บุควัลด์ซึ่งเป็นบุควัลด์นี่เองที่ทำหน้าที่ตามประกบมาราโดน่าจนแผลงฤทธิ์ไม่ออกในนัดชิงชนะเลิศ


กรณีประกบ ผมหมายถึงเปรียบกับมวยคู่เอกประกบกันตัวต่อตัวครับ ขออภัยอีกครั้งน่ะครับที่สื่อออกมาเป็นตามประกบครับ ส่วนกรณี Libero ผมแค่ต้องการแสดงให้เห็นถึงความเทพของมัทเธอุสในตำแหน่ง Libero ครับ ขออภัยอย่างยิ่งอีกครั้งที่เขียนสองแง่สามง่ามครับ ผมแก้ไขให้แล้วครับ

0
0
เข้าร่วม: 14 Mar 2010
ตอบ: 181
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 1:15 pm
เขียนได้ดีจริงๆ
0
0
เข้าร่วม: 21 Nov 2010
ตอบ: 50
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 2:54 pm
อ่านสนุกดีครับ เขียนมาอีกเยอะๆ นะครับผมชอบ ได้ความรู้ ได้รำลึกถึงอดีต ฮ่าๆๆ


แต่ขอตินิดนึงตรงบทความหลังๆ ผมรู้สึกว่าจขกท. จะใช้พวกสำบัดสำนวนออกทางกวีบ่อยเกินไปอะครับ ผมอ่านแล้วบางทีก็รู้สึกขัดๆ อยู่นิดนึง อยากให้ลองปรับดูให้พอดีจะเยี่ยมมากเลยครับ
0
0
เข้าร่วม: 18 Jul 2010
ตอบ: 172
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 3:10 pm
ihbnroll พิมพ์ว่า:
อ่านสนุกดีครับ เขียนมาอีกเยอะๆ นะครับผมชอบ ได้ความรู้ ได้รำลึกถึงอดีต ฮ่าๆๆ


แต่ขอตินิดนึงตรงบทความหลังๆ ผมรู้สึกว่าจขกท. จะใช้พวกสำบัดสำนวนออกทางกวีบ่อยเกินไปอะครับ ผมอ่านแล้วบางทีก็รู้สึกขัดๆ อยู่นิดนึง อยากให้ลองปรับดูให้พอดีจะเยี่ยมมากเลยครับ


ขอบคุณที่แนะนำครับ จะเอาไปปรับปรุงครับ
0
0
เข้าร่วม: 18 Sep 2009
ตอบ: 379
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 4:10 pm
เพลินเลย .
0
0
united..
เข้าร่วม: 31 May 2009
ตอบ: 4075
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 4:23 pm
เขียนดีจังเลย
0
0
เข้าร่วม: 18 Feb 2010
ตอบ: 384
ที่อยู่: อยู่ในมุมที่เธอไม่สนใจ แอบมองดูเธอไกลๆอย่างนี้ต่อไป
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 4:35 pm
อ่านสนุกทุกตอนเลยครับ ขอบคุณมาก

ว่าแต่ไม่อยากลองเขียนถึงฟุตบอลยุคก่อนสงครามโลกบ้างเหรอครับ
0
0
เข้าร่วม: 30 Jan 2009
ตอบ: 1014
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jan 07, 2011 10:29 pm
จบแว้ววววววววววว
0
0
.
.
.
.
.


Lee Chuk Chuk !!!
เข้าร่วม: 31 Jan 2008
ตอบ: 359
ที่อยู่: ใต้ต้นโหนด
โพสเมื่อ: Fri Feb 10, 2012 6:20 pm
อ่านจบ เเล้ว เเละจะอ่านต่อไปครับ

0
0