Slow Lane - ทางรวยแห่งฝันที่มักไปไม่ถึง
เป็นเนื้อหาส่วนที่ต่อมาจากกระทู้นี้ครับ
http://www.soccersuck.in.th/boards/topic/1363649
โดยมีกระทู้นี่คั่นกลางก่อน
http://www.soccersuck.in.th/boards/topic/1364167
ในสามทางเลือกที่ในหนังสือจากกระทู้แรกได้กล่าวไว้นั้นผมได้กล่าวถึงทางแรกคือ Side Walk หรือถนนคนเดินซึ่งจะนำไปสู่ความจนในบั้นปลาย คราวนี้ก็มาถึงถนนเส้นที่สองคือ Slow Lane (เลนสำหรับขับช้า)ผมขอสรุปตามที่ผมเข้าใจดังนี้นะครับ
ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่คนในเส้นแรก (Side Walk) เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันไม่ใช่ เจอภาวะอับจนต่าง ๆ จนคิดว่าต้องเปลี่ยนแปลงและส่วนใหญ่มักจะมาเริ่มที่ถนนเส้นนี้
คำจำกัดความของถนนเส้นนี้มีอยู่ว่า
ความมั่งมี = การอดออมรายได้ + การลงทุนที่ขึ้นอยู่กับผู้อื่น
เส้นทางนี้เริ่มจากการทำงานโดยพยายามเก็บออมเงินให้มากที่สุด ประหยัดให้มากที่สุด ใช้ชีวิตอย่างสมถะสุด ๆ พร้อมกับนำเงินไปลงทุนต่าง ๆ ที่คุณไม่ได้คุมเอง เช่น กองทุนรวม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นต้น
จริง ๆ แล้วเส้นทางนี้ก็เป็นเส้นทางที่คุณสามารถรวยได้ภายใต้แนวคิดว่าเมื่อคุณเก็บออมงประหยัด ยอมอดใจไม่เอาเงินไปซื้อของที่อยากได้และเอาเงินไปลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจหรือให้คนอื่นดูแล คุณ "อาจจะ" รวยได้ภายใน....40 ปีหรือมากกว่านั้น
ถ้าตอนนี้คุณอายุ 20 ปี คุณจะอยู่ในขั้นรวยตอน 60
ถ้าตอนนี้คุณอายุ 30 ปี คุณจะอยู่ในขั้นรวยตอน 70
คุณคงนึกภาพออกว่านอกจากมันจะเป็นเส้นทางที่ไม่รับประกันว่าโอกาสรวยคุณคือ 100% แน่ ๆ แล้วมันยังใช้เวลานานมากอีกด้วย ในอายุขนาดนั้นถึงแม้จะมีเงินตามเป้าจริงแต่ก็จะไม่ได้ใช้มันอย่างสุขตามที่ฝันไว้ด้วย (อาจต้องเลี้ยงหมอมากกว่าไปเที่ยว)
ทำไมจึงนานขนาดนั้น??
เพราะการทำงานของคุณคือการขายเวลามาเป็นรายได้ของคุณและภายใต้เงื่อนไขที่คุณควบคุมไม่ได้ ตัวอย่างเช่น
- ถ้าคุณเป็นพนักงานที่ได้รายได้ชั่วโมงละ 100 บาท โดยมากเรามักจะทำได้อย่างมากก็ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน หรือสุด ๆ เลยในหนึ่งวันคุณคงไม่สามารถทำงานได้มากกว่า 24 ชั่วโมง (สมมติคุณทำไหวและทำได้ทุกวัน) หรือถ้าคุณรับเงินเป็นเดือนคุณก็จะไม่ได้ไปมากกว่า 12 เดือนในหนึ่งปี
- อัตราส่วนเพิ่มของรายได้คุณขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้างของคุณ สมมติว่าคุณทำงานสร้างผลกำไรได้มากสุด ๆ ในช่วง 6 เดือนหลังคุณคงไม่สามารถที่จะเดินไปแล้วบอกกับเจ้านายว่า "นายครับ ผมทำงานสร้างคุณค่าให้บริษัทเยอะมาก ผมขอขึ้นเงินเดือน 10 เท่า" ได้่ ผลตอบแทนที่คุณได้อาจเป็นการขึ้นเงินเดือนซัก 5-10% พร้อมเงินก้อนโบนัสจำนวนหนึ่ง หรือไม่งั้นเค้าก็เอาคุณออกและหาคนใหม่ที่ต้นทุนถูกกว่าเข้ามาทำแทนคุณ
ในชีวิตปกติของเราถามว่าถ้ามีคนเอาของมาขายคุณในราคา 50 บาทแต่มูลค่าของมันคือ 20 บาท คุณจะยินดีซื้อหรือไม่ครับ?? คำตอบของคนส่วนใหญ่คือไม่แต่ในชีวิตจริงคนส่วนใหญ่ทำตรงกันข้ามนั่นคือการยอมทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์เพื่อแลกกับวันพักผ่อน 2 วัน (และหลายที่ในไทยก็ทำงาน 6 วันเพื่อแลกวันหยุด 1 วันด้วยซ้ำ เท่ากับจ่ายเงิน 60 ซื้อของมลูค่า 10 บาทเลยทีเดียว)
สิ่งที่เป็นสัญญาณคืออะไร ลองกวาดตามองไปทั่วโลกมีคนจำนวนมากที่รู้สึกยินดีมากเมื่อวันศุกร์มาถึงเพราะเสาร์ - อาทิตย์จะได้พักผ่อนและเกลียดเช้าวันจันทร์ที่จะมาถึง วันศุกร์คนจำนวนมากก็เลือกไปสังสรรค์ตามแหล่งบันเทิงต่าง ๆ พร้อมกับบ่นว่า "เจ้านายแม่งเคี่ยว" / "งานแม่งห่วย" / "บริษัทแม่งตัดวันหยุดกู" ฯลฯ แต่ก็ยังต้องไปทำแบบเดิมเพื่อความอยู่รอด
เมื่อหลายคนเจอทางตันระหว่างขับรถไปในเลนนี้จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่างั้นเราหาทางทำเงินให้งอกเงยกันดีกว่าซึ่งสำหรับคนที่ชอบศึกษาหน่อยก็มักจะลงทุนด้วยตัวเอง ส่วนคนที่ชอบอะไรง่าย ๆ สำเร็จรูปก็มักจะหาทางที่ง่าย เช่น เอาเงินไปลงทุนในกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนคนหนึ่งดูแล
หนังสือเล่มนี้เปรียบเรื่องนี้ไว้ได้น่าสนใจมากว่าการลงทุนแบบนี้ก็เหมือนนักโบกรถ (Hitchhiker) คนที่เอาเงินไปให้กองทุนคือคนโบกรถ ส่วนผู้จัดการกองทุนคือคนขับรถคันที่คุณโบก (Driver)
- แม้คุณจะมีโอกาสได้ขึ้นรถจากการโบกแต่โดยมากคุณกำหนดปลายทางที่คุณจะไปเองไม่ได้
- และไม่มีการรับประกันด้วยว่าปลายทางที่คนขับบอกคุณจะเป็นปลายทางที่คุณไปถึงจริง ๆ
- คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคนขับรถคันนั้นเป็นคนปกติ มีเมตตาหรือเป็นพวกโรคจิต มีโอกาสที่คุณจะโดนโดนปล่อยกลางทาง ฆ่าทิ้งหมกศพข้างทางที่ไหนซักที่
- โดยมากรถที่รับคุณมักจะเป็นกะบะซึ่งคุณต้องนั่งท้ายกะบะ ฝุ่นผงมลภาวะที่เกิดขึ้นในระหว่างที่รถเดินทางไปคุณได้รับเต็ม ๆ ขณะที่คนขับนั่งขับสบายในห้องโดยสารติดแอร์ (เปรียบได้กับภาวะที่ราคากองทุนผันผวน แม้ผลกำไรจะหายแต่ผู้จัดการกองทุนล้มบนฟูกอยู่แล้ว)
- และที่สำคัญที่สุดถ้าคนขับพลาดขับตกเหวคุณก็ตกเหวไปด้วย!!
คนส่วนมากรู้ตามนี้ก็แต่ยังเลือกทางแบบนี้ เพราะอะไร?? เพราะคนเหล่านี้มักแยกไม่ออกระหว่างผลลัพธ์ที่ออกมา (Event) กับกระบวนการ (Process) ที่ส่งผลดังกล่าวออกมา กระบวนการก่อนผลลัพธ์ดี ๆ ที่เห็นหน้าฉากเป็นเรื่องยุ่งยากและคนส่วนใหญ่อยากได้ผลลัพธ์สำเร็จรูปจึงเลือกการลงทุนแบบนี้
เปรียบเสมือนกับคนที่มีกล้ามสวยงาม คนหลายคนมองแต่รูปร่างที่ดูดีเหล่านั้นจนลืมนึกไปว่ามันมี "กระบวนการ" มากมายก่อนที่รูปร่างดี กล้ามแน่นและซิกแพ็กจะเกิด (เข้ายิมสม่ำเสมอ / คุมอาหารมัน กินโปรตีนในอัตราส่วนที่เหมาะสม / ออกกำลังกายตามโค้ชสั่งแม้ในเวลาที่ไม่อยากทำ) ดังนั้นเมื่อมียาที่โฆษณาว่ากินแล้วกล้ามขึ้นทันที (สมมติ) คนจึงแห่ไปซื้อกินโดยหวังว่ากินแล้วจะได้กล้ามตามในภาพทันทีโดยไม่ต้องต้องผ่านกระบวนการที่เหนื่อย ยุ่งยากและใช้เวลา
คนด้านบนนี้คือเหยื่อชั้นดีของผู้ประกอบการในตลาด ลองไล่ดูไปครับ มีตั้งแต่ยาลดความอ้วนจนถึงหลักสูตรเทรดหุ้น Day Trade 50,000 บาทต่อคอร์สที่คนสอนไม่ได้รวยจากสิ่งที่ตัวเองเอามาสอนแต่รวยจากคอร์สที่เอามาขาย เป็นต้น
หนังสือไม่ได้บอกว่า Slow Lane เป็นหนทางที่แย่ที่สุดนะครับ สำหรับหลายคนมันเป็นหนทางที่ไม่เลวถ้าคุณยอมทนกับชีวิตอึดถึกไปได้ 30-40 ปีก่อนเกษียณและพอใจกับชีวิตแบบนั้นว่าเพียงพอแล้ว
สำหรับคนที่อยู่ในเส้นทางนี้ คุณพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่หรือไม่ครับ??
ปล. สำหรับบางคนที่ห่วงว่าในบั้นปลายผมจะมานำเสนอ MLM หรือขายตรงหรือขายคอร์สสอนอะไรซักอย่างในภายหลังสุด รับรองได้ว่าไม่มีแน่นอนครับ สิ่งเดียวที่ผมอยากให้ทำจริง ๆ คือยอมจ่าย $5.99 กับหนังสือเล่มนี้เพื่อเรียนรู้ครับ มันแตกต่างจากหนังสือแนวนี้เล่มอื่น ๆ มาก ผมอ่านมาเป็นร้อยเล่มแล้วตลอดชีวิตแต่เล่มนี้เป็นหนึ่งในสามเล่มที่คุ้มค่าสุดครับ
เรื่องราวภาคต่อที่เกี่ยวข้อง
ความอยาก "ดูแพง" ทำลายความรวยที่แท้จริงของคุณ
ทางเลือกที่อาจเปลี่ยนคุณไปตลอดชีวิต
แผนธุรกิจที่ดีที่สุด
รางวัลแด่คนช่างฝัน...
บัญญัติ 5 ประการสำหรับการทำธุรกิจ