ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 276
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Sep 25, 2015 4:25 pm
25 สุดยอดแข้งไทยตลอดกาล โดย FourFourTwo TH Part2


อันดับที่ 19 เพื่อชาติไทย...ใจเกินร้อย

“แบ๊คหนวดหิน” สุทิน ไชยกิตติ สุดยอดแนวรับระดับตำนานที่รับใช้ทีมชาติไทยอย่างยาวนาน ผู้ชาญฉลาดด้านการแย่งบอลจากเท้าคู่แข่ง และผ่านการรับใช้ทีมชาติกว่า 100 นัด ระหว่างปี พ.ศ. 2520 – 2540…ว่ากันว่า นี่ คือ แบ็คขวาที่ดีที่สุดของไทยตลอดกาลในแบบฉบับที่ว่า นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม หรือกระทั่ง ทริสตอง โด ยังมิอาจเทียบเคียง…

สุทิน ไชยกิตติ เกิดที่จังหวัดชัยภูมิ มีน้องชายร่วมทีมชาติที่ยืนในตำแหน่งแบ็คซ้ายอย่าง สุรัก ไชยกิตติ…จุดเริ่มต้นในความรักของเกมลูกหนัง และอยากติดทีมชาติไทยอย่างจริงจัง เกิดขึ้นเมื่อได้เห็นนักเตะทีมชาติไทยไปเล่นฟุตบอลเดินสายแถวบ้านเกิดของเขา จึงตัดสินใจออกจากบ้านมาเล่นฟุตบอลที่ อ.หนองบัวลาย จังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะได้รับโอกาสเข้าไปเล่นทีม “ตราชฎา” ราชประชา… สถานที่แห่งนั้นทำให้ประตูการติดทีมชาติของเขาเปิดกว้าง และเขาก็ทำมันสำเร็จ รวมถึงการเป็นกัปตันทีมชาติในชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 13 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในขุนพลชุดคว้าอันดับ 4 เอเชี่ยน เกมส์ 1900 หรือ ปี พ.ศ. 2533 ด้วย

สุทิน นับเป็นผู้เล่นตำแหน่งแบ็ค ที่ไม่ค่อยเหมือนสไตล์คนไทยทั่วไป เขาวิ่งขึ้น-ลง เล่นทั้งรุก และรับ เหมือนกับแบ็คยุโรป นอกจากนี้ยังเป็นคนที่เอาจริงเอาจังด้วย
ชีวิตหลังการเป็นนักเตะ เขาหันมารับหน้าที่การเป็นเฮดโค้ชให้กับสโมสรฟุตบอลราชประชา ต้นสังกัดเก่า รวมไปถึงการเปิดสอนฟุตบอลให้กับเด็กๆในโครงการ “ยูคอมแข้งทอง” อย่างไรก็ตามปัจจุบัน “แบ๊คหนวดหิน” สุทิน ไชยกิตติ ต้องล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง… แต่เขายังคงต่อสู้กับชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยแรงใจจากทุกๆคนรอบกาย




อันดับ 18 “กบไซเบอร์”

สุเชาว์ นุชนุ่ม กัปตันทีมของสโมสรที่ดีที่สุดในประเทศไทยยุคปัจจุบัน... เขา คือ “กัปตันกบ” สุเชาว์ นุชนุ่ม กองกลางไดนาโมของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผู้ที่เป็นส่วนสำคัญพาทีมกวาด 14 แชมป์ ใน 5 ปี!

สุเชาว์ นุชนุ่ม วัย 32 ปี (เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) ชาวจังหวัดกาญจนบุรี ในวัยเด็ก “กัปตันกบ” เคยเป็นนักมวยใช้ชื่อว่า “กบน้อย ส.สกุลภัณฑ์” ก่อนจะเลิกชกเมื่อจบ มัธยมศึกษาปีที่ 3 เพราะค่ายมวยมีปัญหา ชีวิตเขาจึงค่อยๆก้าวเข้ามาอยู่กับเส้นทางลูกหนังแทนสังเวียนผ้าใบหลังจากนั้น... เพราะเขาได้เริ่มเข้ามาสู่ถนนฟุตบอลเดินสาย
ในวัย 19 ปี เขาไปทดสอบฝีเท้า สโมสรฟุตบอลทีโอที... ความเร็วและทักษะของเขาไปเข้าตาชายร่างเล็กผู้เป็นตำนานวงการลูกหนังไทยคนหนึ่ง... “โค้ชก๊อก” พงษ์พันธ์ วงศ์สุวรรณ จึงได้ติดทีม และได้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2546 พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ก่อนที่จะได้รับโอกาสติดจาก “โค้ชหรั่ง” ชาญวิทย์ ผลชีวิน ที่ดึงตัวเขาไปแข่งขันฟุตบอลกีฬามหาวิทยาลัยโลก เมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่ประเทศตุรกี และหลังจากนั้นเขาก็กลับมาติดทีมชาติในชุดแชมป์คิงส์คัพ (2006,2007) และ เหรียญทองซีเกมส์ (2005) อีกทั้งยังพาทีมไทย เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายของเอเชี่ยน เกมส์ 2006 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ด้วย

ปี 2552 หรือ ปี 2009 สุเชาว์ ย้ายไปเล่นให้กับ เปอร์ซิบ บันดุง ของอินโดนีเซีย เป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะย้ายกลับมาเล่นให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในยุคเริ่มต้นทำทีมของนาย เนวิน ชิดชอบ และกลายเป็นกำลังสำคัญของสโมสรในการคว้าแชมป์เป็นว่าเล่น ทั้ง ไทยพรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย, ลีกคัพ 3 สมัย, ถ้วย ก. 3 สมัย และ โตโยต้าพรีเมียร์คัพ อีก 2 สมัย แถมยังพาทีมทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายของการแข่งขัน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2013 มาแล้ว...และแม้วัยจะเกินเลข 3 แต่สมรรถนะร่างกาย, การจ่ายบอล, การยิงบอลจากแถวสองที่เป็นทีเด็ดของเขา ยังไว้เนื้อเชื่อใจได้เสมอ บางครั้งอาจจะบอกได้ว่า ยิ่งแก่ ยิ่งเก่งเสียด้วยซ้ำ...

สุเชาว์ นุชนุ่ม ติดทีมชาติชุดใหญ่ทั้งหมด 50 นัด ตามเกมที่ถูกบันทึกโดยฟีฟ่า และแม้ว่าเขา (อาจจะ) ไม่มีโอกาสได้รับใช้ชาติมาร่วม 2 ปีแล้ว แต่สิ่งที่สั่งสมมาถึงอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวา และถ้วยแชมป์ที่ประดับตัวเองมากมาย... ทำให้เขามาอยู่ในโผของเรา




อันดับ 17 เจ้าง้วนจอมฟิต

สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ อดีตมิดฟิลด์สุดฟิต วิ่งไม่มีเหน็ดไม่มีเหนื่อย เล่นได้ทั้งรุกและรับ ครองเกมได้ดี แถมยังมีทีเด็ดจากลูกยิงไกลนอกกรอบเขตโทษ ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง... สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ คือ หนึ่งในกองกลางอุดมคติของโค้ชหลายๆ คน...
“ง้วน” อดีตกองกลางหมายเลข 12 ทีมชาติไทย นอกจากจะอยู่ในทีมชาติไทยชุดดรีมทีม เขายังเป็นหนึ่งในนักเตะที่พาธนาคารกสิกรไทย คว้าแชมป์ เอเชียน คลับ คัพ หรือ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ในปัจจุบันมาครอบครองได้สำเร็จ 2 สมัย อีกด้วย โดยความสำเร็จที่มากมายในเมืองไทย กับ แชมป์ไทยลีกถึง 4 สมัย ตั้งแต่ปี 1991, 1992, 1993, และ 1995 เขาก็ไปเล่นให้ตลาดหลักทรัพย์อีก 2 ปี ก่อนจะไปสร้างชื่อที่แดนสิงหปุระกับเอสลีก...

สุรชัย หรือ ง้วน เริ่มต้นกับ กอมบัค ในปี 2001 และย้ายไปร่วมทีม โฮม ยูไนเต็ด ในปี 2003 และพาทีมคว้าแชมป์ลีกทันที นอกจากนี้ยังได้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของเอสลีก สิงคโปร์ปี 2004 ด้วย

ส่วนผลงานกับทีมชาติ... สุรชัย ร่วมคว้าเหรียญทองซีเกมส์ 4 ครั้งติดต่อ นับตั้งแต่ปี 1993 – 1999, ได้แชมป์อาเซียน คัพ 2 ครั้ง และ คิงส์คัพ 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังอยู่ในชุดคว้าอันดับ 4 เอเชี่ยน เกมส์ 1998 ที่กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันด้วย



อันดับที่ 16 ซ้ายกดรีโมท

ดุสิต เฉลิมแสน ถ้า สุทิน ไชยกิตติ คือ แบ็คขวาที่ดีที่สุด…แบ็คซ้ายที่ดีที่สุดตลอดกาลของไทยก็คงเป็นเจ้าของดาราเอเชีย… ดุสิต เฉลิมแสน อีกหนึ่งแบ็คในตำนานยุคดรีมทีม โดยเฉพาะลูกฟรีคิก ลูกเตะมุม หรือกระทั่งลูกครอสจากริมเส้นของเขายังคงติดตาติดใจแฟนบอลยุคก่อนอยู่เสมอ

ดุสิต เฉลิมแสน หรือ “โอ่ง” เป็นชาวจังหวัดสกลนคร โดยในสมัยเล่นให้กับวิทยาลัยพลศึกษจังหวัดชลบุรี เขาเล่นในตำแหน่งกองกลาง ก่อนที่จะโยกมาเล่นแบ็คซ้ายในเวลาต่อมา…

เขาเริ่มต้นระดับสโมสรกับ โรงเรียนศาสนวิทยา หรือ บีอีซีเทโรศาสน จากนั้นย้ายไปเล่นให้กับสโมสรตำรวจเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนกลับมาอยู่ บีอีซี เทโรศาสน อีกครั้งในช่วงปี พ.ศ. 2539 ในช่วงเริ่มต้นของไทยลีกครั้งแรกๆ โดยในปี พ.ศ. 2541 “เดอะโอ่ง” เคยย้ายไปเล่นในอินเดียกับ โมฮัน บากัน ถึง 3 ปี และก็ย้ายกลับมาเล่นให้กับ บีอีซี เทโรศาสน อีกครั้ง… ช่วงบั้นปลายอาชีพ ดุสิต เฉลิมแสน ย้ายไปเล่นให้กับ ฮองอันห์ยาลาย ในวีลีกถึง 5 ปี ก่อนที่จะกลับมาแขวนสตั๊ดกับทีมตำรวจ ในปี พ.ศ. 2551

สำหรับผลงานกับทีมชาติไทยแล้ว ดุสิต เฉลิมแสน ลงเล่นมากกว่า 120 นัด ตลอดระยะเวลา 14 ปี ที่เขารับใช้ชาติ (พ.ศ. 2535 - 2547) พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซีเกมส์ ครั้งที่19 และ 20, แชมป์ฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 25 ,แชมป์อาเซียน คัพ 3 สมัย และ เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่พาทีมชาติไทยสู่ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบ 10 ทีมสุดท้าย ยุคที่ ปีเตอร์ วิธ คุมทัพ ลูกเปิดและลูกยิงโค้งๆของเขา… ถ้ายังจำไม่ได้ ขอให้รีบเปิดดู!!



อันดับที่ 15 “ดำดินปืน”

นที ทองสุขแก้ว นี่อีกหนึ่งกองหลังที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา...
จากอดีตนักฟุตบอลโรงเรียนในจังหวัดอุตรดิตถ์… เด็กชาย นที ทองสุขแก้ว เป็นคนประเภทที่ว่า...หากใครโยนโอกาสให้ เขาจะไม่ปล่อยให้เป็นอากาศโดยเด็ดขาด และนั่นเองทำให้เขากลายเป็นยอดเซนเตอร์ฮาล์ฟ ตั้งแต่วัยเพียง 17 ปี ทั้งที่เริ่มเล่นฟุตบอลจากกองหน้า!
กองหลังเจ้าของฉายา “ดำดินปืน” ได้รับโอกาสเข้าร่วมทีมชาติไทยครั้งแรกสมัยเล่นให้กับ ถาวร ฟาร์ม ประมาณปี พ.ศ. 2528 โดยในยุคนั้นมียอดเซนเตอร์ฮาล์ฟอย่าง “น้าอำ”อำนาจ เฉลิมเชาวลิต กับ ณรงค์ อาจารยุตต์ ยืนขวางหน้าอยู่ แต่วันที่ ณรงค์ อาจารยุตต์ เกิดอาการป่วย นั่นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตเขา เพราะดาวรุ่ง (ในขณะนั้น) รายนี้ได้ลงทำหน้าที่แทน และหลังจากเขาก็เริ่มสร้างตำนานกองหลังหมายเลข 7 เรื่อยมา ด้วยการติดธงยาวนาน 15 ปี โดยมีเกียรติประวัติคว้าเหรียญทองซีเกมส์ 3 ครั้ง, อันดับ 4 เอเซียนเกมส์ 4 ครั้ง 2 ครั้ง ส่วนรายการอย่าง เอเซียน คัพ, ปรี โอลิมปิก, คิงส์คัพ พวกนี้เขาผ่านการติดธงมาหมดแล้ว นอกจากนี้ยังเคยถูก วิทยา เลาหกุล ชักชวนไปเล่นสโมสรฟุตบอล มัตซึสิตะ หรือกัมบะโอซาก้า ในปัจจุบัน ที่ญี่ปุ่นมาแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจแขวนสตั๊ดเมื่ออายุได้ประมาณ 34 ปี หรือปี พ.ศ. 2543
เขา คือ ปราการหลังที่ดี และครบเครื่องที่สุดคนหนึ่ง แต่เชื่อมั๊ย??? ว่าเขาไม่เคยเป็นโค้ชเลย…

เดี่ยวมาต่อ กับอันดับ 14-10 ครับ
0
0