ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 386
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:31
เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้
ผมเพิ่งได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับแผนที่มาว่ามันสร้างขึ้นมาได้ยังไง แล้วอาจารย์ก็ถามขึ้นมาว่าการสร้างแผนที่โลกมีหลักการยังไง ทำไมมันถึงแบนได้ ทั้ง ๆที่บริเวณใกล้ขั้วโลกเส้นรอบวงมันเล็กกว่าบริเวณเส้นศูนย์สูตรตั้งเยอะ ใครมีเวลาว่าง ๆลองอ่านดูครับ ผมว่าเพลินดีนะ (ตั้งกระทู้ครั้งแรกเนื้อหาเยอะไปนิด ถ้าผิดพลาดอะไรขอโทษด้วยนะครับ)

หากมีใครสักคนถามว่า "โลก" ของเรามีหน้าตาอย่างไร ประเทศอะไรอยู่ตรงไหน ประเทศไหนมีขนาดใหญ่เล็กอย่างไร ผมเชื่อว่าหลายคนคงนึกจินตนาการไปถึง "โลก" ที่มีหน้าตาและเนื้อหาดัง "แผนที่โลก" ทั้ง 2 รูปข้างล่างนี้เป็นแน่





ก็เราเห็นแผนที่โลกหน้าตาเช่นนี้มาแต่เด็ก ทั้งในห้องเรียนและในหนังสือสังคมศึกษา จะมอง "โลก" เป็นอื่นไปได้อย่างไรเล่า

แผนที่โลกที่แสดงให้ดูข้างบนถูกสร้างขึ้นจากระเบียบวิธีที่เรียกกันว่า The Mercator projection (1569) โดย Gerardus Mercator แผนที่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีดังกล่าวมีข้อเด่นคือ สามารถแสดงรูปร่างหน้าตาของแต่ละประเทศในโลกได้ใกล้เคียงกับรูปทรงจริงตามโลกที่เป็นทรงกลม

ความท้าทายสำหรับการเขียนแผนที่โลกคือ นักทำแผนที่จะคลี่ "โลก" ทรงกลมให้เป็น "โลก" ทรงแบนอย่างไร โดยให้สามารถสะท้อน "ความจริง" ของ "โลก" ได้ดีที่สุด

ซึ่งการตอบโจทย์ดังกล่าว นักทำแผนที่ต้องเผชิญ "ภาวะได้อย่าง-เสียอย่าง" (trade-offs) ในระดับพื้นฐานคือ ต้องแลก "ขนาดที่แท้จริง" กับ "รูปทรงที่แท้จริง" ของแต่ละประเทศนั่นคือ หากต้องการให้แผนที่โลกแสดงรูปทรงที่ถูกต้องของแต่ละประเทศมากขึ้น ก็ต้องยอมให้ขนาดของประเทศนั้นถูกต้องลดน้อยลงนั่นคือ สัดส่วนของประเทศนั้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นก็จะถูกบิดเบือนเปลี่ยนขนาดไปจากสภาพความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

เช่นนี้แล้วเมื่อ Mercator world map ซึ่งแพร่หลายจนกลายเป็นแผนที่มาตรฐานของคนทั่วโลก แสดงรูปทรงที่ใกล้เคียงกับความจริงได้ดี แผนที่โลกแบบดังกล่าวเลยบิดเบือน "ขนาด" ของแต่ละประเทศไปมากทีเดียว สัดส่วนของขนาดประเทศหนึ่งเมื่อเทียบกับประเทศหนึ่งห่างไกลจาก "ความจริง" ของ "โลก"

ว่ากันให้ง่าย แผนที่โลกมาตรฐานที่เราใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และถูก "ผลิตซ้ำ" มานับ 100 ปี แพร่หลายไปทั่วโลกนั้น เอาเข้าจริงไม่ได้แสดง "ขนาด" ของแต่ละประเทศได้อย่างถูกต้อง หากในโลกความจริงประเทศ A มีขนาดพื้นที่ผิวใหญ่กว่าประเทศ B เป็น 2 เท่า ขนาดของประเทศ A ในแผนที่ก็ควรจะใหญ่กว่าประเทศ B เป็น 2 เท่าด้วยเช่นกันจึงจะบอกสัดส่วนของแต่ละประเทศในโลกได้ถูกต้องตรงตามจริงมากที่สุด

ซึ่งแผนที่โลกแบบ 2 รูปข้างบนไม่มีคุณสมบัตินั้นแต่อย่างใด

ด้วยระเบียบวิธี Mercator projection เราจะพบว่า หากประเทศหนึ่งยิ่งมีพิกัดห่างไกลออกจากเส้นศูนย์สูตร (equator) และเข้าใกล้กับขั้วโลก (poles) มากเท่าใด "ขนาด" ที่แท้จริงของแต่ละประเทศยิ่งถูกบิดเบือนมากเท่านั้น

ดังนั้น ประเทศที่อยู่แถบเหนือของโลก (the norths) ซึ่งโดยมากเป็นประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป เลยดูใหญ่กว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับประเทศแถบใต้ของโลก (the souths) ที่โดยมากมักเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศในทวีปแอฟริกา และละตินอเมริกา

นอกจากนั้น Mercator world map ยังจัดวางทวีปยุโรปไว้เป็นศูนย์กลางของโลก และเส้น ศูนย์สูตร ซึ่งควรจะใช้แบ่งครึ่งโลกอย่างสมมาตรกันนั้น ก็มิได้อยู่ตรงกึ่งกลางของแผนที่ แต่อยู่ ค่อนไปทางด้านล่างของแผนที่ ทำให้ประเทศแถบเหนือมีพื้นที่ในแผนที่มากถึงกว่า 60% ขณะที่ พื้น ที่ของประเทศแถบใต้มีที่ทางในแผนที่เพียง 40% เท่านั้น ทั้งที่ในโลกความจริงมีขนาดใหญ่ โตกว่ามาก

ไปๆ มาๆ แผนที่โลกซึ่งคนทั่วไปมักคิดว่าถูกจัดทำขึ้นด้วยวิธีที่เป็นวิทยาศาสตร์ จึงน่าจะสะท้อน "ความจริง" ของ "โลก" ได้แบบมีคำตอบหนึ่งเดียวและเป็นสากล เลยดูจะซ่อนเร้นความจริงบางด้าน และบิดเบือนความจริงบางด้านไป

ทราบไหมครับว่า Mercator world map มิใช่แผนที่โลกหนึ่งเดียวที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น แต่แผนที่โลกถูกสร้างขึ้นมากมายหลายแบบด้วยระเบียบวิธีศึกษาที่ต่างกัน

วิธีที่แตกต่างจาก Mercator map จนอาจเรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามคือ แผนที่โลกประเภทที่เรียกกันว่า equal-area projection แผนที่โลกแบบนี้มี เป้าหมายเพื่อให้แผนที่โลกแสดงสัดส่วน "ขนาด" ของแต่ละประเทศที่ใกล้เคียงกับขนาดที่แท้จริงมากที่สุด

แผนที่โลกที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยระเบียบวิธีนี้ ที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็น Peters world map ซึ่งมี รูปร่างหน้าตาแตกต่างไปจากแผนที่โลกในความทรงจำของเราทั้งหลาย ดังรูปข้างล่างนี้ครับ

Peters world map เป็นผลงานการศึกษา ของ Dr.Arno Peters นักประวัติศาสตร์ชาว เยอรมัน ออกสู่สายตาชาวโลกครั้งแรกเมื่อปี 1974 เฉพาะ ในประเทศเยอรมนี และตามมาด้วยฉบับภาษาอังกฤษในปี 1983 ซึ่งเป็นแผนที่โลกที่สร้างเสียงโต้เถียงในวงการแผนที่โลกได้ดังระงม

เนื่องจากแผนที่โลกฉบับนี้ให้ความสำคัญกับ "ขนาด" ที่ถูกต้องของแต่ละประเทศ เราจึงพบความแตกต่างระหว่าง Peters world map และ Mercator world map ดังเช่น

1.แผนที่มาตรฐานบิดเบือน "ขนาด" ของ the souths และ the norths โดยแสดงพื้นที่ของประเทศแถบเหนือใหญ่โตกว่ามาก ทั้งที่ในความเป็นจริงฝ่ายเหนือมีพื้นที่เพียง 18.9 million sq.miles ขณะที่ฝ่ายใต้มีพื้นที่ถึง 38.6 million sq.miles

ดังนั้นใน Peters world map เราจะเห็นว่าแผนที่โลก 2 มิติมีพื้นที่ให้ประเทศแถบใต้ในสัดส่วนใหญ่โตกว่าประเทศแถบเหนือมาก ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริง

2.ในแผนที่โลกฉบับมาตรฐาน ทวีบยุโรปมีขนาดในแผนที่ใหญ่กว่าทวีปอเมริกาใต้ ทั้งที่พื้นที่จริงของทวีปอเมริกาใต้มีขนาดใหญ่กว่าทวีปยุโรปเกือบ 2 เท่า (ยุโรปมีพื้นที่ผิว 3.8 million sq.miles ส่วนอเมริกาใต้มีพื้นที่ 6.9 million sq.miles) ที่สำคัญแผนที่ดั้งเดิมจัดวางประเทศเยอรมนีไว้ตรงกลาง ทั้งที่ประเทศเยอรมนีอยู่ในส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของโลก หากมองโลกจากมุมที่ใช้สร้างแผนที่ทั้ง 2 ฉบับ

3.แผนที่โลกฉบับมาตรฐานแสดงรูปรัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของประเทศเม็กซิโก ทั้งที่ในความเป็นจริงประเทศเม็กซิโกมีขนาดใหญ่กว่า (รัฐอะแลสกามีขนาด 0.6 ส่วนเม็กซิโกมีขนาด 0.7 million sq.miles)

4.แผนที่โลกฉบับมาตรฐานแสดงรูปทวีปอเมริกาเหนือใหญ่กว่าทวีปแอฟริกา ทั้งที่ทวีปแอฟริกามีขนาดใหญ่กว่ามาก (ทวีปอเมริกาเหนือมีขนาด 7.4 million sq.miles ส่วนทวีปแอฟริกามีขนาด 11.6 million sq.miles)

5.แผนที่โลกฉบับมาตรฐานแสดงขนาดของกรีนแลนด์ใหญ่กว่าประเทศจีน ทั้งที่ประเทศจีน มีขนาดถึง 3.7 million sq.miles ขณะที่กรีนแลนด์ มีขนาดเพียง 0.8 million sq.miles เทียบกันไม่ ได้เลย

6.เช่นเดียวกับประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่ดูใหญ่กว่าประเทศอินเดียในแผนที่ฉบับมาตรฐาน ทั้งที่สแกนดิเนเวียมีขนาดเพียง 0.4 million sq.miles ส่วนอินเดียใหญ่โตระดับ 1.3 million sq.miles

Peters world map ปรับสัดส่วนที่ผิดส่วนตามตัวอย่างข้างต้นให้ถูกต้องสอดคล้องกับโลกที่เป็นจริง[imgl][imgr][url]

ผู้ที่ชื่นชอบแผนที่โลกฉบับ Peters ก็อ้างว่าแผนที่โลกฉบับนี้สะท้อนความเป็นจริงของโลกได้ถูกต้องกว่าฉบับหลักที่ใช้กันทั่วไป เนื่องจากแสดงขนาดพื้น ที่ผิวของประเทศต่างๆ ได้ถูกต้องที่สุด ไม่มีประเทศมหาอำนาจไหน "ใหญ่" เกินจริง อีกทั้งแผนที่ฉบับนี้ส่งคืน "ที่ทาง" ของประเทศกำลังพัฒนาแถบใต้ทั้งหลายให้มี "พื้นที่" ใน "โลก" ผืนนี้ด้วยสัดส่วนที่ใหญ่โตขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

"แผนที่โลก" จึงกลายเป็นสมรภูมิของ "การ เมืองว่าด้วยการนิยาม" อีกสมรภูมิหนึ่ง เช่นเดียวกับวาทกรรม ภาษา ฯลฯ

การเมืองอันเป็นศาสตร์ว่าด้วยการช่วงชิงอำนาจ รวมถึงอำนาจในการนิยาม จึงเวียนวนอยู่ทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ในแผนที่โลก

การ "เลือก" ใช้แผนที่โลกแต่ละแบบ หรือชัยชนะของแผนที่โลกแบบหนึ่งเหนือแบบอื่นๆ จนกลายเป็นแผนที่โลกหลักมาตรฐาน ล้วนแล้ว แต่มีอุดมการณ์เบื้องหลังแฝงซ่อนอยู่ มิใช่กระบวนการที่เป็นวิทยาศาสตร์ล้วนแบบไร้ตัวตน ไร้อำนาจ ไร้ความเชื่อ ไร้อุดมการณ์ แฝงอยู่เบื้องหลัง

ผู้นิยม Peters map ให้เหตุผลว่า แผนที่โลกมาตรฐานจัดทำขึ้นสมัยยุโรปครอบงำเป็นมหา อำนาจโลก เต็มไปด้วยอาณานิคมทั่วโลก จึงแฝงไปด้วย "อคติ" ที่เอนเอียงไปทางผลประโยชน์ของประเทศแถบเหนือ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแผนที่ฉบับมาตรฐาน Mercator map ถึงถูก "เลือก" ให้ผลิตซ้ำรุ่นแล้ว รุ่นเล่า และเผยแพร่ทั่วโลกจนกลายเป็นแผนที่โลกทางการของหลายประเทศในโลก

การผลิตซ้ำแผนที่มาตรฐานเป็นกระบวนการ "ผลิตซ้ำ" ภาพลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของประเทศฝ่ายเหนือ ฝังอคติว่ายุโรปเป็นศูนย์กลางของโลก (มี Eurocentric bias) เข้าไปในมุมมองต่อโลก (world view) ของผู้คนทั่วไปที่ถูกหล่อหลอมอย่างไม่รู้ตัวภายใต้กระบวนการ "ผลิตซ้ำ" ที่ว่า

แผนที่โลก 2 มิติที่เราเห็นแต่เด็กในห้องเรียนจึง "ลวงตา" เราระดับหนึ่ง

แผนที่โลกที่ท้าทาย "นิยาม" ดั้งเดิมมิได้มีเพียง Peters world map เท่านั้นนะครับ แต่มีการผลิตสร้างแผนที่โลกขึ้นมาหลากหลายรูปแบบ ภายใต้ข้อสมมติตั้งต้นที่แตกต่างกัน ภายใต้ระเบียบวิธีศึกษาที่แตกต่างกัน ภายใต้เป้าหมายที่ต่างกัน ภายใต้จุดเน้นที่ต่างกัน ซึ่งแผนที่โลกแต่ละแบบก็นำพาเราไปสู่ "ภาพ" ของโลก และ "มุมมอง" ต่อโลกที่แตกต่างกัน ตามแต่เงื่อนไขตั้งต้นที่กำหนดเช่น mollweide map, goode map เป็นต้น

หนักไปกว่านั้นมีนักทำแผนที่ผลิตสร้างแผนที่แบบ upside-down map ที่เอาทวีปออสเตรเลียไปอยู่ด้านบน เอาขั้วโลกเหนือลงด้านล่าง อ้าว...ใครบอกล่ะครับว่าขั้วโลกเหนือต้องอยู่ด้านบนของ โลกเสมอ โลกมันทรงกลมนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าเรามองโลกจากมุมไหนมิใช่หรือ จะมองโลกแบบกลับหัวบ้างไม่ได้หรือ แต่ เอ...ใครบอกได้ว่าหัวของ โลกมันอยู่ทิศไหนกันแน่ ทิศที่เราคิดว่าใช่ มันใช่จริงหรือ หรือเพราะเราเองก็ถูกแผนที่โลกฉบับมาตรฐาน Mercator map หล่อหลอมวิธีการ "มอง" โลก หรือ "จินตนาการ" โลกเข้าให้แล้วเช่นกันโดยไม่รู้ตัว

ลองดูหน้าตาของแผนที่โลกฉบับ upside-down map ดูครับ

ถึงตรงนี้คงเห็นว่าแผนที่โลกฉบับมาตรฐานที่แพร่หลายกันมากที่สุด ก็มิใช่ "ความจริงแท้" ที่ให้ "ภาพ" ที่สมบูรณ์แบบของ "โลก" ใบนี้ แต่ก็ถูกสร้างขึ้นภายใต้ข้อสมมติบางอย่าง ระเบียบวิธีศึกษาบางอย่างซึ่งสะท้อน "ความจริง" ด้านหนึ่ง และบิดเบือน "ความจริง" อีกด้านหนึ่ง

นี่เป็นอีกตัวอย่างรูปธรรมหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เอาเข้าจริงแล้วระเบียบวิธีศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์สามารถสะท้อน "โลก" แห่ง "ความจริง" ได้มากเพียงใด เราสามารถขจัดคุณค่า ตัวตน การใช้วิจารณญาณ ความเชื่อ ค่านิยม ฯลฯ ออกไปจากการศึกษาได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ subjectivity สามารถถูก "กัน" ออกไปจากกระบวนการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้จริงหรือ ?

โดยเฉพาะการ "เลือก" ว่าจะกำหนดข้อสมมติอะไรในการศึกษาบ้าง ตัวแปรใดที่ถูก "เลือก" เข้าใส่ในโมเดล ตัวแปรใดไม่ถูก "เลือก" ทำไมถึง "เลือก" ตัวแปรหนึ่ง แต่ตัดอีกตัวแปรหนึ่งทิ้ง ทำไมเราถึง "เลือก" ระเบียบวิธีศึกษาหนึ่ง ไม่ "เลือก" อีกระเบียบวิธีศึกษาหนึ่ง และทำไมระเบียบวิธีศึกษาแต่ละแบบนำมาซึ่ง "ความจริง" หรือ "หน้าตา" ของ "ความจริง" ที่ต่างกันทั้งที่ระเบียบวิธีศึกษาแบบวิทยาศาสตร์มักถูกเอ่ยอ้างว่านำ เราไปสู่ความจริงหนึ่งเดียวที่เป็นสากล แล้วเราจะ "เลือก" โลกแบบใดเป็น "โลก" แห่งความจริงของเราดี

"ภาพ" ของ "โลก" แห่งความจริงที่ได้จาก การศึกษา สุดท้ายก็มีส่วนหล่อหลอมมุมมองต่อโลกและวิธีคิดของเรา และหากกล่าวให้ถึงที่สุด "ภาพ" ที่เรานึกว่าจริง มันก็มีที่มาจากการ "เลือก" หรือการ "สร้าง" มาด้วยตัวเรามีส่วนร่วมทั้งนั้น มันมิได้มี "โลก" หน้าตาแบบนี้อยู่ก่อน แล้ว รอให้เราไปค้นหา แต่คนเรานี่แหละที่ไปสร้าง "โลก" มันขึ้นมาจะด้วยอิทธิพลอะไรอยู่เบื้องหลังก็ตามแต่

และ "โลก" ที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการที่ต่าง กัน ก็มีความหลากหลายมิได้มีหน้าตาและเนื้อหาเป็นหนึ่งเดียว ไม่มี "โลก" ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

"โลก" แต่ละแบบที่ได้ยังกลายเป็น "กรอบ" ในการมองโลกของเราต่อไป ทั้งที่เราก็รู้อยู่แก่ใจ ว่า "แผนที่โลก" ที่ได้มันก็ล้วนเต็มไปด้วยข้อ จำกัด และ "โลก" ที่แตกต่างหลากหลายก็ยัง มี implication สืบต่อไปในทางที่แตกต่างกันเช่น ถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อรับใช้อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน

"แผนที่โลก" สอนอะไรแก่เราบ้างครับ ?

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกอย่างไรกับประโยคในย่อหน้าที่ 2 ของผมบ้างครับ ?

...ก็เราเห็นแผนที่โลกหน้าตาเช่นนี้มาแต่เด็ก ทั้งในห้องเรียน และในหนังสือสังคมศึกษา จะมอง "โลก" เป็นอื่นไปได้อย่างไรเล่า

และหากใครบางคนเกิดอ่านเรื่อง "แผนที่โลก" นี้แล้วดันตั้งคำถามหรือเกิดจิตประหวัดไปถึง "วิชาเศรษฐศาสตร์" แทนที่ "แผนที่โลก" ขึ้นมา จะว่าคนนั้นเขา "เพี้ยน" หรือเปล่าครับ ?





เนื้อหาทั้งหมดนำมาจากhttp://www.nidambe11.net/ekonomiz/2005q2/article2005june27p2.htm
บทความ โดย ปกป้อง จันวิทย์ pokpongj@econ.tu.ac.th ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6 วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3700 (2900)
แก้ไขล่าสุดโดย Northpole เมื่อ Sun Oct 06, 2013 10:56, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status: HOme
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 6285
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:34
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ยาวเกิน ขี้เกียจอ่าน เอาไป 1 แผล่บ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 May 2011
ตอบ: 2209
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:35
ถูกแบนแล้ว
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ซ้ำไปซ้ำมา
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Oct 2013
ตอบ: 116
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:37
ถูกแบนแล้ว
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ทำอกมากลมๆจะอ่านยังไงล่ะเจ้านาย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 15491
ที่อยู่: บ้านสองชั้น หมาสามตัว
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:39
ถูกแบนแล้ว
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ใครอ่านจบ

1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ง.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Sep 2008
ตอบ: 4208
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:40
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
Northpole พิมพ์ว่า:
ผมเพิ่งได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับแผนที่มาว่ามันสร้างขึ้นมาได้ยังไง แล้วอาจารย์ก็ถามขึ้นมาว่าการสร้างแผนที่โลกมีหลักการยังไง ทำไมมันถึงแบนได้ ทั้ง ๆที่บริเวณใกล้ขั้วโลกเส้นรอบวงมันเล็กกว่าบริเวณเส้นศูนย์สูตรตั้งเยอะ ใครมีเวลาว่าง ๆลองอ่านดูครับ ผมว่าเพลินดีนะ (ตั้งกระทู้ครั้งแรกเนื้อหาเยอะไปนิด ถ้าผิดพลาดอะไรขอโทษด้วยนะครับ)

หากมีใครสักคนถามว่า "โลก" ของเรามีหน้าตาอย่างไร ประเทศอะไรอยู่ตรงไหน ประเทศไหนมีขนาดใหญ่เล็กอย่างไร ผมเชื่อว่าหลายคนคงนึกจินตนาการไปถึง "โลก" ที่มีหน้าตาและเนื้อหาดัง "แผนที่โลก" ทั้ง 2 รูปข้างล่างนี้เป็นแน่





ก็เราเห็นแผนที่โลกหน้าตาเช่นนี้มาแต่เด็ก ทั้งในห้องเรียนและในหนังสือสังคมศึกษา จะมอง "โลก" เป็นอื่นไปได้อย่างไรเล่า

แผนที่โลกที่แสดงให้ดูข้างบนถูกสร้างขึ้นจากระเบียบวิธีที่เรียกกันว่า The Mercator projection (1569) โดย Gerardus Mercator แผนที่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีดังกล่าวมีข้อเด่นคือ สามารถแสดงรูปร่างหน้าตาของแต่ละประเทศในโลกได้ใกล้เคียงกับรูปทรงจริงตามโลกที่เป็นทรงกลม

ความท้าทายสำหรับการเขียนแผนที่โลกคือ นักทำแผนที่จะคลี่ "โลก" ทรงกลมให้เป็น "โลก" ทรงแบนอย่างไร โดยให้สามารถสะท้อน "ความจริง" ของ "โลก" ได้ดีที่สุด

ซึ่งการตอบโจทย์ดังกล่าว นักทำแผนที่ต้องเผชิญ "ภาวะได้อย่าง-เสียอย่าง" (trade-offs) ในระดับพื้นฐานคือ ต้องแลก "ขนาดที่แท้จริง" กับ "รูปทรงที่แท้จริง" ของแต่ละประเทศนั่นคือ หากต้องการให้แผนที่โลกแสดงรูปทรงที่ถูกต้องของแต่ละประเทศมากขึ้น ก็ต้องยอมให้ขนาดของประเทศนั้นถูกต้องลดน้อยลงนั่นคือ สัดส่วนของประเทศนั้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นก็จะถูกบิดเบือนเปลี่ยนขนาดไปจากสภาพความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

เช่นนี้แล้วเมื่อ Mercator world map ซึ่งแพร่หลายจนกลายเป็นแผนที่มาตรฐานของคนทั่วโลก แสดงรูปทรงที่ใกล้เคียงกับความจริงได้ดี แผนที่โลกแบบดังกล่าวเลยบิดเบือน "ขนาด" ของแต่ละประเทศไปมากทีเดียว สัดส่วนของขนาดประเทศหนึ่งเมื่อเทียบกับประเทศหนึ่งห่างไกลจาก "ความจริง" ของ "โลก"

ว่ากันให้ง่าย แผนที่โลกมาตรฐานที่เราใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และถูก "ผลิตซ้ำ" มานับ 100 ปี แพร่หลายไปทั่วโลกนั้น เอาเข้าจริงไม่ได้แสดง "ขนาด" ของแต่ละประเทศได้อย่างถูกต้อง หากในโลกความจริงประเทศ A มีขนาดพื้นที่ผิวใหญ่กว่าประเทศ B เป็น 2 เท่า ขนาดของประเทศ A ในแผนที่ก็ควรจะใหญ่กว่าประเทศ B เป็น 2 เท่าด้วยเช่นกันจึงจะบอกสัดส่วนของแต่ละประเทศในโลกได้ถูกต้องตรงตามจริงมากที่สุด

ซึ่งแผนที่โลกแบบ 2 รูปข้างบนไม่มีคุณสมบัตินั้นแต่อย่างใด

ด้วยระเบียบวิธี Mercator projection เราจะพบว่า หากประเทศหนึ่งยิ่งมีพิกัดห่างไกลออกจากเส้นศูนย์สูตร (equator) และเข้าใกล้กับขั้วโลก (poles) มากเท่าใด "ขนาด" ที่แท้จริงของแต่ละประเทศยิ่งถูกบิดเบือนมากเท่านั้น

ดังนั้น ประเทศที่อยู่แถบเหนือของโลก (the norths) ซึ่งโดยมากเป็นประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป เลยดูใหญ่กว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับประเทศแถบใต้ของโลก (the souths) ที่โดยมากมักเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศในทวีปแอฟริกา และละตินอเมริกา

นอกจากนั้น Mercator world map ยังจัดวางทวีปยุโรปไว้เป็นศูนย์กลางของโลก และเส้น ศูนย์สูตร ซึ่งควรจะใช้แบ่งครึ่งโลกอย่างสมมาตรกันนั้น ก็มิได้อยู่ตรงกึ่งกลางของแผนที่ แต่อยู่ ค่อนไปทางด้านล่างของแผนที่ ทำให้ประเทศแถบเหนือมีพื้นที่ในแผนที่มากถึงกว่า 60% ขณะที่ พื้น ที่ของประเทศแถบใต้มีที่ทางในแผนที่เพียง 40% เท่านั้น ทั้งที่ในโลกความจริงมีขนาดใหญ่ โตกว่ามาก

ไปๆ มาๆ แผนที่โลกซึ่งคนทั่วไปมักคิดว่าถูกจัดทำขึ้นด้วยวิธีที่เป็นวิทยาศาสตร์ จึงน่าจะสะท้อน "ความจริง" ของ "โลก" ได้แบบมีคำตอบหนึ่งเดียวและเป็นสากล เลยดูจะซ่อนเร้นความจริงบางด้าน และบิดเบือนความจริงบางด้านไป

ทราบไหมครับว่า Mercator world map มิใช่แผนที่โลกหนึ่งเดียวที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น แต่แผนที่โลกถูกสร้างขึ้นมากมายหลายแบบด้วยระเบียบวิธีศึกษาที่ต่างกัน

วิธีที่แตกต่างจาก Mercator map จนอาจเรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามคือ แผนที่โลกประเภทที่เรียกกันว่า equal-area projection แผนที่โลกแบบนี้มี เป้าหมายเพื่อให้แผนที่โลกแสดงสัดส่วน "ขนาด" ของแต่ละประเทศที่ใกล้เคียงกับขนาดที่แท้จริงมากที่สุด

แผนที่โลกที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยระเบียบวิธีนี้ ที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็น Peters world map ซึ่งมี รูปร่างหน้าตาแตกต่างไปจากแผนที่โลกในความทรงจำของเราทั้งหลาย ดังรูปข้างล่างนี้ครับ

Peters world map เป็นผลงานการศึกษา ของ Dr.Arno Peters นักประวัติศาสตร์ชาว เยอรมัน ออกสู่สายตาชาวโลกครั้งแรกเมื่อปี 1974 เฉพาะ ในประเทศเยอรมนี และตามมาด้วยฉบับภาษาอังกฤษในปี 1983 ซึ่งเป็นแผนที่โลกที่สร้างเสียงโต้เถียงในวงการแผนที่โลกได้ดังระงม

เนื่องจากแผนที่โลกฉบับนี้ให้ความสำคัญกับ "ขนาด" ที่ถูกต้องของแต่ละประเทศ เราจึงพบความแตกต่างระหว่าง Peters world map และ Mercator world map ดังเช่น

1.แผนที่มาตรฐานบิดเบือน "ขนาด" ของ the souths และ the norths โดยแสดงพื้นที่ของประเทศแถบเหนือใหญ่โตกว่ามาก ทั้งที่ในความเป็นจริงฝ่ายเหนือมีพื้นที่เพียง 18.9 million sq.miles ขณะที่ฝ่ายใต้มีพื้นที่ถึง 38.6 million sq.miles

ดังนั้นใน Peters world map เราจะเห็นว่าแผนที่โลก 2 มิติมีพื้นที่ให้ประเทศแถบใต้ในสัดส่วนใหญ่โตกว่าประเทศแถบเหนือมาก ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริง

2.ในแผนที่โลกฉบับมาตรฐาน ทวีบยุโรปมีขนาดในแผนที่ใหญ่กว่าทวีปอเมริกาใต้ ทั้งที่พื้นที่จริงของทวีปอเมริกาใต้มีขนาดใหญ่กว่าทวีปยุโรปเกือบ 2 เท่า (ยุโรปมีพื้นที่ผิว 3.8 million sq.miles ส่วนอเมริกาใต้มีพื้นที่ 6.9 million sq.miles) ที่สำคัญแผนที่ดั้งเดิมจัดวางประเทศเยอรมนีไว้ตรงกลาง ทั้งที่ประเทศเยอรมนีอยู่ในส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของโลก หากมองโลกจากมุมที่ใช้สร้างแผนที่ทั้ง 2 ฉบับ

3.แผนที่โลกฉบับมาตรฐานแสดงรูปรัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของประเทศเม็กซิโก ทั้งที่ในความเป็นจริงประเทศเม็กซิโกมีขนาดใหญ่กว่า (รัฐอะแลสกามีขนาด 0.6 ส่วนเม็กซิโกมีขนาด 0.7 million sq.miles)

4.แผนที่โลกฉบับมาตรฐานแสดงรูปทวีปอเมริกาเหนือใหญ่กว่าทวีปแอฟริกา ทั้งที่ทวีปแอฟริกามีขนาดใหญ่กว่ามาก (ทวีปอเมริกาเหนือมีขนาด 7.4 million sq.miles ส่วนทวีปแอฟริกามีขนาด 11.6 million sq.miles)

5.แผนที่โลกฉบับมาตรฐานแสดงขนาดของกรีนแลนด์ใหญ่กว่าประเทศจีน ทั้งที่ประเทศจีน มีขนาดถึง 3.7 million sq.miles ขณะที่กรีนแลนด์ มีขนาดเพียง 0.8 million sq.miles เทียบกันไม่ ได้เลย

6.เช่นเดียวกับประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่ดูใหญ่กว่าประเทศอินเดียในแผนที่ฉบับมาตรฐาน ทั้งที่สแกนดิเนเวียมีขนาดเพียง 0.4 million sq.miles ส่วนอินเดียใหญ่โตระดับ 1.3 million sq.miles

Peters world map ปรับสัดส่วนที่ผิดส่วนตามตัวอย่างข้างต้นให้ถูกต้องสอดคล้องกับโลกที่เป็นจริง[imgl][imgr][url]

ผู้ที่ชื่นชอบแผนที่โลกฉบับ Peters ก็อ้างว่าแผนที่โลกฉบับนี้สะท้อนความเป็นจริงของโลกได้ถูกต้องกว่าฉบับหลักที่ใช้กันทั่วไป เนื่องจากแสดงขนาดพื้น ที่ผิวของประเทศต่างๆ ได้ถูกต้องที่สุด ไม่มีประเทศมหาอำนาจไหน "ใหญ่" เกินจริง อีกทั้งแผนที่ฉบับนี้ส่งคืน "ที่ทาง" ของประเทศกำลังพัฒนาแถบใต้ทั้งหลายให้มี "พื้นที่" ใน "โลก" ผืนนี้ด้วยสัดส่วนที่ใหญ่โตขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

"แผนที่โลก" จึงกลายเป็นสมรภูมิของ "การ เมืองว่าด้วยการนิยาม" อีกสมรภูมิหนึ่ง เช่นเดียวกับวาทกรรม ภาษา ฯลฯ

การเมืองอันเป็นศาสตร์ว่าด้วยการช่วงชิงอำนาจ รวมถึงอำนาจในการนิยาม จึงเวียนวนอยู่ทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ในแผนที่โลก

การ "เลือก" ใช้แผนที่โลกแต่ละแบบ หรือชัยชนะของแผนที่โลกแบบหนึ่งเหนือแบบอื่นๆ จนกลายเป็นแผนที่โลกหลักมาตรฐาน ล้วนแล้ว แต่มีอุดมการณ์เบื้องหลังแฝงซ่อนอยู่ มิใช่กระบวนการที่เป็นวิทยาศาสตร์ล้วนแบบไร้ตัวตน ไร้อำนาจ ไร้ความเชื่อ ไร้อุดมการณ์ แฝงอยู่เบื้องหลัง

ผู้นิยม Peters map ให้เหตุผลว่า แผนที่โลกมาตรฐานจัดทำขึ้นสมัยยุโรปครอบงำเป็นมหา อำนาจโลก เต็มไปด้วยอาณานิคมทั่วโลก จึงแฝงไปด้วย "อคติ" ที่เอนเอียงไปทางผลประโยชน์ของประเทศแถบเหนือ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแผนที่ฉบับมาตรฐาน Mercator map ถึงถูก "เลือก" ให้ผลิตซ้ำรุ่นแล้ว รุ่นเล่า และเผยแพร่ทั่วโลกจนกลายเป็นแผนที่โลกทางการของหลายประเทศในโลก

การผลิตซ้ำแผนที่มาตรฐานเป็นกระบวนการ "ผลิตซ้ำ" ภาพลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของประเทศฝ่ายเหนือ ฝังอคติว่ายุโรปเป็นศูนย์กลางของโลก (มี Eurocentric bias) เข้าไปในมุมมองต่อโลก (world view) ของผู้คนทั่วไปที่ถูกหล่อหลอมอย่างไม่รู้ตัวภายใต้กระบวนการ "ผลิตซ้ำ" ที่ว่า

แผนที่โลก 2 มิติที่เราเห็นแต่เด็กในห้องเรียนจึง "ลวงตา" เราระดับหนึ่ง

แผนที่โลกที่ท้าทาย "นิยาม" ดั้งเดิมมิได้มีเพียง Peters world map เท่านั้นนะครับ แต่มีการผลิตสร้างแผนที่โลกขึ้นมาหลากหลายรูปแบบ ภายใต้ข้อสมมติตั้งต้นที่แตกต่างกัน ภายใต้ระเบียบวิธีศึกษาที่แตกต่างกัน ภายใต้เป้าหมายที่ต่างกัน ภายใต้จุดเน้นที่ต่างกัน ซึ่งแผนที่โลกแต่ละแบบก็นำพาเราไปสู่ "ภาพ" ของโลก และ "มุมมอง" ต่อโลกที่แตกต่างกัน ตามแต่เงื่อนไขตั้งต้นที่กำหนดเช่น mollweide map, goode map เป็นต้น

หนักไปกว่านั้นมีนักทำแผนที่ผลิตสร้างแผนที่แบบ upside-down map ที่เอาทวีปออสเตรเลียไปอยู่ด้านบน เอาขั้วโลกเหนือลงด้านล่าง อ้าว...ใครบอกล่ะครับว่าขั้วโลกเหนือต้องอยู่ด้านบนของ โลกเสมอ โลกมันทรงกลมนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าเรามองโลกจากมุมไหนมิใช่หรือ จะมองโลกแบบกลับหัวบ้างไม่ได้หรือ แต่ เอ...ใครบอกได้ว่าหัวของ โลกมันอยู่ทิศไหนกันแน่ ทิศที่เราคิดว่าใช่ มันใช่จริงหรือ หรือเพราะเราเองก็ถูกแผนที่โลกฉบับมาตรฐาน Mercator map หล่อหลอมวิธีการ "มอง" โลก หรือ "จินตนาการ" โลกเข้าให้แล้วเช่นกันโดยไม่รู้ตัว

ลองดูหน้าตาของแผนที่โลกฉบับ upside-down map ดูครับ

ถึงตรงนี้คงเห็นว่าแผนที่โลกฉบับมาตรฐานที่แพร่หลายกันมากที่สุด ก็มิใช่ "ความจริงแท้" ที่ให้ "ภาพ" ที่สมบูรณ์แบบของ "โลก" ใบนี้ แต่ก็ถูกสร้างขึ้นภายใต้ข้อสมมติบางอย่าง ระเบียบวิธีศึกษาบางอย่างซึ่งสะท้อน "ความจริง" ด้านหนึ่ง และบิดเบือน "ความจริง" อีกด้านหนึ่ง

นี่เป็นอีกตัวอย่างรูปธรรมหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เอาเข้าจริงแล้วระเบียบวิธีศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์สามารถสะท้อน "โลก" แห่ง "ความจริง" ได้มากเพียงใด เราสามารถขจัดคุณค่า ตัวตน การใช้วิจารณญาณ ความเชื่อ ค่านิยม ฯลฯ ออกไปจากการศึกษาได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ subjectivity สามารถถูก "กัน" ออกไปจากกระบวนการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้จริงหรือ ?

โดยเฉพาะการ "เลือก" ว่าจะกำหนดข้อสมมติอะไรในการศึกษาบ้าง ตัวแปรใดที่ถูก "เลือก" เข้าใส่ในโมเดล ตัวแปรใดไม่ถูก "เลือก" ทำไมถึง "เลือก" ตัวแปรหนึ่ง แต่ตัดอีกตัวแปรหนึ่งทิ้ง ทำไมเราถึง "เลือก" ระเบียบวิธีศึกษาหนึ่ง ไม่ "เลือก" อีกระเบียบวิธีศึกษาหนึ่ง และทำไมระเบียบวิธีศึกษาแต่ละแบบนำมาซึ่ง "ความจริง" หรือ "หน้าตา" ของ "ความจริง" ที่ต่างกันทั้งที่ระเบียบวิธีศึกษาแบบวิทยาศาสตร์มักถูกเอ่ยอ้างว่านำ เราไปสู่ความจริงหนึ่งเดียวที่เป็นสากล แล้วเราจะ "เลือก" โลกแบบใดเป็น "โลก" แห่งความจริงของเราดี

"ภาพ" ของ "โลก" แห่งความจริงที่ได้จาก การศึกษา สุดท้ายก็มีส่วนหล่อหลอมมุมมองต่อโลกและวิธีคิดของเรา และหากกล่าวให้ถึงที่สุด "ภาพ" ที่เรานึกว่าจริง มันก็มีที่มาจากการ "เลือก" หรือการ "สร้าง" มาด้วยตัวเรามีส่วนร่วมทั้งนั้น มันมิได้มี "โลก" หน้าตาแบบนี้อยู่ก่อน แล้ว รอให้เราไปค้นหา แต่คนเรานี่แหละที่ไปสร้าง "โลก" มันขึ้นมาจะด้วยอิทธิพลอะไรอยู่เบื้องหลังก็ตามแต่

และ "โลก" ที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการที่ต่าง กัน ก็มีความหลากหลายมิได้มีหน้าตาและเนื้อหาเป็นหนึ่งเดียว ไม่มี "โลก" ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

"โลก" แต่ละแบบที่ได้ยังกลายเป็น "กรอบ" ในการมองโลกของเราต่อไป ทั้งที่เราก็รู้อยู่แก่ใจ ว่า "แผนที่โลก" ที่ได้มันก็ล้วนเต็มไปด้วยข้อ จำกัด และ "โลก" ที่แตกต่างหลากหลายก็ยัง มี implication สืบต่อไปในทางที่แตกต่างกันเช่น ถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อรับใช้อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน

"แผนที่โลก" สอนอะไรแก่เราบ้างครับ ?

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกอย่างไรกับประโยคในย่อหน้าที่ 2 ของผมบ้างครับ ?

...ก็เราเห็นแผนที่โลกหน้าตาเช่นนี้มาแต่เด็ก ทั้งในห้องเรียน และในหนังสือสังคมศึกษา จะมอง "โลก" เป็นอื่นไปได้อย่างไรเล่า

และหากใครบางคนเกิดอ่านเรื่อง "แผนที่โลก" นี้แล้วดันตั้งคำถามหรือเกิดจิตประหวัดไปถึง "วิชาเศรษฐศาสตร์" แทนที่ "แผนที่โลก" ขึ้นมา จะว่าคนนั้นเขา "เพี้ยน" หรือเปล่าครับ ?





เนื้อหาทั้งหมดนำมาจากhttp://www.nidambe11.net/ekonomiz/2005q2/article2005june27p2.htm
บทความ โดย ปกป้อง จันวิทย์ pokpongj@econ.tu.ac.th ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6 วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3700 (2900)
[/img][/url][/imgr][/imgl][/youtube]
 



ย่อให้สุดๆแล้วนะเนี่ย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะกลางซอย
Status: ลอยตามลม.....
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Jul 2009
ตอบ: 1928
ที่อยู่: ณ ที่แห่งหนึ่งบนโลกใบนี้
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:40
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ดีครับ เนื้อหาดี แต่มันซ้ำซ้อนจัง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
"If you think this has a happy ending, you haven't been paying attention."

ชมรม Backpacker มาร่วมแจมกันได้นะจ๊ะ

http://www.soccersuck.com/clubs/detail/57
ออนไลน์
นักเตะตำบล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Feb 2011
ตอบ: 3823
ที่อยู่: #MerciArsène
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:43
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ชอบอ่านนะ แต่ยาวโคตร น่าจะแบ่งๆเอามาลง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 27 Feb 2011
ตอบ: 7168
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:44
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
อ่านไปไม่ยาว
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 386
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:45
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
yaguza108 พิมพ์ว่า:
ซ้ำไปซ้ำมา  


ตอนผมกดแสดงตัวอย่างมันก้ไม่ซ้ำแบบนี้นะครับ ไหงโพสแล้วซ้ำหว่า
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ก.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 May 2010
ตอบ: 5083
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:46
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ยาวมาก
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 386
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:47
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
pongpang04 พิมพ์ว่า:
ยาวเกิน ขี้เกียจอ่าน เอาไป 1 แผล่บ  


แผล่บแรก ตั้งแต่เล่นบอร์ดใหม่ 55 ข้าจะจดจำท่านไว้ ลองอ่านดูครับ ๆมันเจ๋งจริง ๆนะท่าน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 386
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 10:54
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ติ่งมูตู พิมพ์ว่า:
ทำอกมากลมๆจะอ่านยังไงล่ะเจ้านาย  


ลูกโลกไงท่าน ทรงกลมดิ๊กเลย แต่ถ้าแผนที่ที่ยิ่งสเกลใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆก็จะมีความผิดพลาดมาขึ้นไปเรื่อย ๆเพราะโลกเรากลมไม่ได้แบน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status: ไปบอกผู้ใหญ่บ้านเลยครับ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Oct 2010
ตอบ: 12403
ที่อยู่: ใต้สพานลอย
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 11:07
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
สาระ ยาวไป ไม่อ่าน

0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
Miss Soccersuck 2010
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Sep 2010
ตอบ: 259
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 06, 2013 11:15
[RE: เคยสงสัยกันไหมครับ !? ว่าทำไมแผนที่โลกถึงแบนได้]
ลงชื่อว่าอ่านจบแล้ว

แผนที่มาตรฐานบิดเบือนความจริงไปเยอะเลยแหะ

อิดิทเพิ่ม : ไปลองเสิร์จดู บิดเบือนได้เลวร้ายมาก


แก้ไขล่าสุดโดย ตราไปรษณียากร เมื่อ Sun Oct 06, 2013 11:23, ทั้งหมด 1 ครั้ง
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel