ในยุคต้นของพวกเขา มีเพลงดังอย่าง She Loves You, Twist And Shout, I Want To Hold Your Hand, Please Please Me ในยุคที่ 2 ในชุด Help, Rubber Soul หรือ Revolver และผลงานอยู่ในช่วงพีคสุดอย่าง Sgt.Pepper Lonely Heart Club Band, Magical Mystery Tour และ White Album ก่อนที่จะจบลงด้วย 2 อัลบั้มสุดท้ายอย่าง Let It Be และ Abbey Road
ทางนิตยสาร Rolling Stone จึงได้จัดทำฉบับพิเศษ "THE BEATLES 100 GREATEST SONGS" (เดอะบีเทิลส์กับ 100 บทเพลงที่เยี่ยมที่สุด) โดยทางนิตยสารได้ทำการจัดอันดับบทเพลงต่างๆของวง The Beatles พร้อมกับลงบทความเด่นๆ อาทิ พอลกับจอห์นพูดถึงเพลงโปรด เพลงคัฟเวอร์ที่ดีที่สุดของสี่เต่าทอง และผลงานกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของจอร์จ แฮร์ริสัน
แม็คคาร์ธนีย์ใส่อารมณ์เพลงโซลแบบ อะรีธา แฟรงคลิน เข้าไปในเพลง Let It Be ที่ถูกบันทึกเสียงในระหว่างช่วงที่วงบีเทิลส์กำลังมีปัญหาสุดกู่เกินเยียวยา อีก 1 เดือนภายหลังจากที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมา แม็คคาร์ธนีย์ก็ได้ประกาศข่าวการยุบวง
เพลงนี้แม็คคาร์ธนีย์ได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากคุณแม่ของเค้าเอง คืนหนึ่งที่เค้ากำลังกระสับกระส่ายวุ่นวายใจเค้าฝันเห็นแม่ที่เสียชีวิตไปเมื่อสักสิบปีก่อน (ดังนั้นคำว่า Mother Mary ในเพลงนี้จึงหมายถึงแม่ของเค้า ไม่ได้หมายถึงพระแม่มารีอย่างที่หลายคนรวมทั้งผมเข้าใจผิด) หมายเหตุ เพลง Let It Be นั้นทีแรกพอลตั้งใจแต่งให้กับอะรีธา และให้สิทธิเธอในการออกเพลงนี้ก่อน แต่อะรีธาชะลอไว้และปล่อยให้บีเทิลส์ออกจนดังระเบิดระเบ้อเสียก่อนแล้วจึงค่อยออกของตัวเองทีหลัง
ครั้งหนึ่งจอห์นเคยพูดว่า การเติบโตมานั้นเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะไม่มีใครให้ผูกพันเลย Strawberry Field เป็นสถานสงเคราะห์เด็กในเมืองลิเวอร์พูลซึ่งอยู่ใกล้กับที่ๆจอห์นเติบโตมา มันสะท้อนให้เห็นภาพนิมิตในวัยเยาว์ที่หลอกหลอนเหล่านั้น ด้วยบทเพลงนี้จอห์นสามารถสยบพวกมันไปได้ตลอดกาล เนื้อหาเพิ่มเติมhttp://albertpotjes.spaces.live.com/blog/cns!43F86412DFA4C736!1720.entry
2) I Want To Hold Your Hand
เพลงแรกของบีเทิลส์ที่ทำให้คนอเมริกาทั้งประเทศได้สัมผัสกับมนต์เสน่ห์ในการแต่งเพลงของคู่หูเลนน่อนและแม็คคาร์ธนีย์ มันได้จุดกระแสคลั่งไคล้บีเทิลส์ และโปรดิวเซอร์ จอร์จ มาร์ติน กล่าวถึงมันว่า นี่เป็นจุดสูงสุดในพัฒนาการช่วงแรกของวงเดอะบีเทิลส์ I Want To Hold Your Hand เป็นเพลงแรกของบีเทิลส์ที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดของสหรัฐได้สำเร็จ และมันกลายเป็นเพลงของบีเทิลส์ที่ขายดีที่สุดในโลก เพลงนี้จอห์นกับพอลแต่งมันในห้องใต้ดินที่บ้านของเจน แอชเชอร์ดาราสาวที่พอลเคยคบเป็นแฟนด้วยนานถึง 5 ปี
1) A Day in the Life
ผลงานระดับสุดยอดที่เกิดจากการร่วมมือของคู่หูเลนนอน-แม็คคาร์ธนีย์ A Day in the Life ไม่ได้ถูกมองว่ามันเป็นเพลงมาสเตอร์พีซของวงจนกระทั่งยุค80 หลังจากที่จอห์นได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เนื้อเพลงได้รับแรงบันดาลใจมาจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และชีวิตส่วนตัวของจอห์นเอง พ่วงด้วยไอเดียของพอลที่อยากให้มีนักดนตรีคลาสสิคมาร่วมบรรเลง ซึ่งโปรดิวเซอร์ จอร์จ มาร์ตินเรียกมันว่า เป็นการถึงจุดสุดยอดด้วยวงออร์เคสตร้า