สายสุขภาพ สายออกกำล้งกาย พอจะทราบมั้ยครับ ว่าทำไมอาหารคลีน แพงกว่าอาหารทั่วๆไป สังเกตหลายๆร้าน เลยสงสัยว่าต้นทุนมันสูงกว่าปกติมากมั้ย

เพราะกลุ่มลูกค้าส่วนมากยินยอมที่จะซื้อราคานี้ ในเมื่อขายราคานี้แล้วมีคนซื้อก็ขายต่อไป

แต่ผมไม่ซื้อคนนึงอ่ะ ทำกินเองดีกว่า

แต่ร้านถูก ๆ ก็มีนะ นาน ๆ ผมเห็นที

ผมคุยกับเพื่อนแม่งตอบโคตรฮา บอกมันแพงเพราะมันวัดสารอาหารให้มึงแล้ว กินแค่นี้จบไม่ต้อง

ถ้ามึงทำกินเองมึงต้องคิดอีกว่า ข้าวกี่กรัม หมูเท่าไหร่ แต่พวกขายมันคิดให้มึงแล้วเพื่อน 5555+

เอากำไร แค่นั้น
โปรตีนเชค เริ่มต้น 119
อกไก่ กิโลละ 79 บาท มื้อนึงใช้ 150-200 กรัม ตีไป 16 บาท
ข้าว 100 กรัม ผัก 100 กรัม
มันจะมีผักบางชนิดที่ราคาแพงตามฤดู เช่น บลอคโคลี่ มะเขือเทศ อโวคาโด
บวกแพคเก็จสวย ค่าส่ง ค่าแบรนด์ สรุปกล่องละ 100+ไปแล้ว

ที่แพงอย่างเดียวที่คิดได้ ใช้น้ำมันมะกอกหรือใช้สารตัวแทนคำหวานแค่นั้นละมั้งที่ต่างกับอาหารปกติ ผักเนื้อสัตว์ก็เหมือนๆกับอาหารปกติ

ค่าลดแพงกว่าอีก 555

มันแพงที่ผัก ถ้าไม่คิดเยอะเรื่องผัก แบบกินได้หมดเน้นถูกจะไม่แพง เน้นกินแต่ผักถูกช่วงนั้น

แพงเพราะเอากำไรเยอะไง

ธุรกิจที่หากินกับความงาม สุขภาพ ล้วนแต่แพงทั้งนั้นเพราะเขารู้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้เงินเหลือ เหมือนธุรกิจอาหารเสริมที่สมัยแรกๆแฝงละเป็นพัน จนกระทั้งเริ่มมีคนแข่งลดราคาเท่านั้นแหละ

ธุรกิจอาหารคลีนก็เช่นกัน ถ้ามีคนเริ่มเล่นสงครามราคาเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะถูกลงไม่ต่างอาหารตามสั่ง

ต้องเข้าใจก่อนว่าพื้นฐานการเปิดร้าน ของมันไม่ได้แพงเพราะพรีเมี่ยมกว่าเพียงอย่างเดียว แต่มันแพงกว่าเพราะมันไม่ได้มีความต้องการของตลาดมากพอที่จะทำให้คนลงทุนปลูกเยอะๆเพื่อลดต้นทุน กลายเป็นผลผลิตก็ออกมาได้น้อย พอของผลิตน้อยมันก็ทำต้นทุนให้ถูกลงไม่ได้ อย่างผักเดี๋ยวนี้ไม่ถูกเลยนะ ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตามพอผลผลิตมันไม่คงที่ ของมันไม่ได้มีเยอะมหาศาล ราคามันก็เลยสูง ยิ่งถ้าปลูกแบบ organic สำหรับคนกินคลีน ผลผลิตมันก็ยิ่งน้อยเข้าไปอีก

หลักการเดียวกับพวกตี๋น้อย ถ้าคนกินเยอะ ก็ามารถซื้อวัตถุดิบทีละเยอะๆได้ พอมีคนซื้อทีละเยอะๆ คนผลิตก็สามารถลงทุนผลิตเยอะๆ เพื่อให้ต้นทุนเขาถูกลงได้ แต่พอมันไม่ใช่เทรนด์หลักของการกิน คนที่กินส่วนใหญ่ยังกินกระเพราหมูกรอบอยู่เป็นปกติ แปลว่าคนกินคลีนคือส่วนน้อยของปริมาณความต้องการในตลาด คนที่ผลิตวัตถุดิบให้คนส่วนน้อยในตลาดมันก็ต้องแพงกว่าเป็นปกติ เพราะเขาไม่สามารถลงทุนปลูกทีละมากๆ เพื่อให้ต้นทุนถูกลงได้ ก็ต้องปลูกเท่าที่มีความต้องการจากตลาด

เหมือนคุณอยากจะปลูกผักให้ขายได้สักเดือนละ 100 ตัน โดยถ้าคุณขายได้ปริมาณขนาดนั้น คุณสามารถยอมขายในราคาตันละ 5 บาท(ราคาสมมุติ)ได้ แต่พอความต้องการไม่ได้สูง คุณอาจจะผลิตแค่เดือนละ 10 ตันเพื่อไม่ให้ขาดทุนกรณีขายไม่ออก พอเป็นแบบนั้นคุณอาจต้องขายตันละ 50 บาท(ราคาสมมุติ)แทน เพื่อให้สมกับต้นทุนที่คุณลงทุนไป

เมื่อไหร่ก็ตามที่ demand ไม่สัมพันธ์กับ supply ราคาของมันจะปรับตัวตามให้สัมพันธ์กันเอง กลายเป็นคนที่อยากจะโดดเข้าวงการอาหารคลีนก็เลยแหยงกัน เพราะของมันแพง คนกินคลีนมันไม่ได้เยอะขนาดนั้นเมื่อเทียบกับภาพใหญ่ทั้งประเทศ

ถ้าจะหวังให้ถูกลงได้ ก็คงต้องหวังให้รัฐบาลช่วยออกนโนยายสนับสนุนให้คนกินคลีนล่ะมั้ง สนับสนุนทั้งคนกินและคนปลูก

ปริมาณก็น้อยกว่าอาหารปกติ แต่แพงกว่าอาหารปกติ อาจจะแพงค่าผัก
ผมทำกินเองทั้งสัปดาห์นับแคลเป้ะ 2500 kcal อาทิตย์นึงตีไป หมูโล 150 ข้าวถุง5โล ไข่อีก 1 แผง ประมาณ 1300 ได้

demand supply

มันก็เหมือนอาหารธรรมดานี่แหละ มีทั้งร้านใช้ของดี ของไม่ดี จะมาวัดแค่ว่าอาหารคลีน ต้นทุนเท่าไหร่มันไม่ได้

ต้นทุนเท่าอาหารทั่วไปนี่แหละครับ อาจจะสูงกว่านิดนึงตรงพวกหญ้าหวาน ซีอิ๊ว น้ำปลาลดเค็ม แค่คนกลุ่มที่เค้าขายพอจะมีกำลังซื้อหน่อย เลยบวกกำไรเยอะได้

เช่นแม่ผม คีโต เทมเป้ คลีน ทั้งอาหาร ทั้งขนม แกเหมาหมด อย่างแพง ขนมกระปุกนิดเดียว สอง-สามร้อย ผมมองแล้วอิหยังวะ ที่บ้านล้อกันว่าเหมือนอาหารนก อาหารกระรอก

ส่วนผมเวลาจะลดน้ำหนัก โยนผัก โยนเนื้อสัตว์ไม่ติดมันลงไปต้มทั้งหม้อ กินเป็นสุกี้ เป็นจับฉ่ายเอา อิ่มเหมือนกันครับ ถูกกว่ากันสิบเท่า

คนลดน้ำหนัก ส่วนนึงก็เพราะกิเลสแหละครับ อยากสวยอยากงาม แค่เห็นคำว่าผอม สุขภาพดี ก็พร้อมจะจ่ายแล้ว

ต้นทุนอาจจะต่างกันไม่มาก แต่จะเอากำไรให้อยู่ได้ก็ต้องบวกเพิ่มเพราะกลุ่มลูกค้าอาจไม่ได้มากพอ+กลุ่มลูกค้ามีรายได้พอสมควรเลยน่าจะขายได้ที่ราคานั้น สำหรับผมกล่องละ 80-100 บาทรับได้ แต่แพงกว่านี้ไม่ไหวละ