- มี Distribution Hub ของตัวเองน่าจะแทบทั่วประเทศทุกจังหวัด

- เชนร้านอาหารลำดับต้น ๆ ของประเทศ น่าจะต่อรองราคากับพวก Supplier ได้ไม่น่ายาก น่าจะสั่งวัตถุดิบได้ราคาดีกว่าพวกตัวเล็ก ๆ

- มีร้านทั่วประเทศ ปักหลักมาอยู่หลายปีแล้ว ไม่ต้องลงทุนทำสาขาใหม่

ทำไมพอลงมาเล่นตลาดเดียวกับพวกบุฟเฟต์ราคา 2xx-3xx มันดูสู้ไม่ค่อยได้เลย มันดูกั๊กไปหมด เหมือนคุมราคาไม่ได้ เลยลดต้นทุนด้วยการตัดไลน์เมนูให้เหลือน้อยจนดูง่อยอย่างที่เห็นไปเมื่อวันก่อน

ทำไมทำสู้เจ้าอื่นไม่ได้เลย ไม่เข้าใจ

จะเคลมว่าใช้ของคุณภาพดีกว่า ก็ยังรู้สึก Questionable อยู่ว่า มันก็ไม่ได้เห็นความแตกต่างเยอะขนาดนั้น

Kit chen rai ครับ

ต่างจังหวัดผมไม่รู้นะแต่ในกรุงเทพคุณภาพ MK > ตี๋น้อย แทบทุกหลอดอะ สำหรับผม

ตั้งแต่เดินเข้าไปผมก็รู้สึกต่างแล้วบรรยากาศ ไม่รู้ดิ มันอาจ subjective หรือเปล่าผมไม่รู้นะ

ส่วนพวกอาหารผมก็ว่า mk คุณภาพดีกว่าแบบจัดเจนนะแทบทุกอย่างเลย

ส่วนสิ่งที่ทำให้ mk คุม cost ไม่ได้ผมว่าเป็นที่เมนูเป็นหลักมั้ง มีแต่ของที่ไม่ใช่ของทำกำไรอะแต่ละอย่าง

อีกอย่างคือระบบหลังบ้านมั้ง MK น่าจะเสีย operational cost เยอะพวกพนักงานบริษัทแผนกต่างๆ

แล้วก็อาจจะเมนูเยอะด้วยมั้ง พอเมนูเยอะก็เสีย margin ไปเพราะวัตถุดิบหลายอย่าง กรรมวิธีแตกต่างกัน ครัวใหญ่ มีหลาย station มากขึ้น manage supply chain เยอะขึ้นบลาๆ

พวกบุปเฟ่ที่ขายเมนูไม่เยอะแล้วขายดีนี่กำไรงามสุดละผมว่า

สุดท้ายผมว่า MK ไม่รู้จักปรับตัวตามกลุ่มลูกค้ามากกว่า คน Gen Y Z Mil นี่ไม่เคยบอก MK ว่าเป็นของหรูเหลาเลยก็แค่สุกี้ แล้วพอเจนพวกนี้เห็นสุกี้ ตี๋น้อยก็คือดีจนแทบแยกไม่ออกแล้ว MK พลาดที่นึกว่าคนกินสุกี้สมัยนี้จะต้องการของคุณภาพดีที่สุด แต่กลับไม่มองว่าคนสมัยนี้ไม่พอแดกได้ก็พอแล้ว

ลองเอาผัก mk กับ ตี๊น้อยไปให้คนทั่วๆไปกินมันก็ไม่สนหรอก ผักกาดก็ผักกาด ผักบุ้งก็ผักบุ้ง มาปลดสงปลอดสาร ใบสวยงามอะไร สีสดใส ไม่สนโว้ย

อยากรู้เหมือนกันครับ ต้องให้เครดิตผู้บริหารเขาอ่ะ ทำยังไงถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้ ถ้าผมเป็นเจ้าของนี้หาทางดึงผู้บริหารพวกคู่แข่งมาทำแทนแล้ว

ประเด็นหลักมันคือคำว่า Brand ครับ ตั้งไว้สูง ถ้าจะปรับลงมาเล่นต่ำ แบรนด์ที่สร้างมามันเสียหมดละ เลยต้องกั๊กเพื่อให้ดูว่าของยังแพงเลยให้ทั้งหมดไม่ได้ แต่เหมือนตอนนี้คงแย่แต่เลือกทางไม่ถูก แต่ไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ สภาพเลยเป็นอย่างที่เห็น

แอบสังเกตว่าพวกต้นทุนนี่อาจสูง

พวกสถานที่เปิดร้านตามห้างดัง

การตกแต่งร้าน พวกของอุปกรณ์ หม้อ จาน ชาม

Staff ที่อยู่มานานอาจเงินเดือนสูงไปแล้วหลายคน ยังเลี้ยงคนอยู่

ต่างจังหวัดผมไม่รู้นะแต่ในกรุงเทพคุณภาพ MK > ตี๋น้อย แทบทุกหลอดอะ สำหรับผม

ตั้งแต่เดินเข้าไปผมก็รู้สึกต่างแล้วบรรยากาศ ไม่รู้ดิ มันอาจ subjective หรือเปล่าผมไม่รู้นะ

ส่วนพวกอาหารผมก็ว่า mk คุณภาพดีกว่าแบบจัดเจนนะแทบทุกอย่างเลย

ส่วนสิ่งที่ทำให้ mk คุม cost ไม่ได้ผมว่าเป็นที่เมนูเป็นหลักมั้ง มีแต่ของที่ไม่ใช่ของทำกำไรอะแต่ละอย่าง

อีกอย่างคือระบบหลังบ้านมั้ง MK น่าจะเสีย operational cost เยอะพวกพนักงานบริษัทแผนกต่างๆ

แล้วก็อาจจะเมนูเยอะด้วยมั้ง พอเมนูเยอะก็เสีย margin ไปเพราะวัตถุดิบหลายอย่าง กรรมวิธีแตกต่างกัน ครัวใหญ่ มีหลาย station มากขึ้น manage supply chain เยอะขึ้นบลาๆ

พวกบุปเฟ่ที่ขายเมนูไม่เยอะแล้วขายดีนี่กำไรงามสุดละผมว่า

สุดท้ายผมว่า MK ไม่รู้จักปรับตัวตามกลุ่มลูกค้ามากกว่า คน Gen Y Z Mil นี่ไม่เคยบอก MK ว่าเป็นของหรูเหลาเลยก็แค่สุกี้ แล้วพอเจนพวกนี้เห็นสุกี้ ตี๋น้อยก็คือดีจนแทบแยกไม่ออกแล้ว MK พลาดที่นึกว่าคนกินสุกี้สมัยนี้จะต้องการของคุณภาพดีที่สุด แต่กลับไม่มองว่าคนสมัยนี้ไม่พอแดกได้ก็พอแล้ว

ลองเอาผัก mk กับ ตี๊น้อยไปให้คนทั่วๆไปกินมันก็ไม่สนหรอก ผักกาดก็ผักกาด ผักบุ้งก็ผักบุ้ง มาปลดสงปลอดสาร ใบสวยงามอะไร สีสดใส ไม่สนโว้ย

ดู youtube ที่ไปถ่ายโรงงานผลิตของ mk ต้องยอมรับว่า คุณภาพ ความสะอาดของผัก วัตถุดิบ มีคุณภาพ มีกระบวนการล้างที่ดี เวลาไปกิน mk ผักกาด ผักบุ้ง ดูสด สะอาดต่างกับตอนที่ไปกินตี๋น้อยหรือลักกี้

ส่วนตัวก็ว่าราคาแพงเกินไป สมัยก่อนกินบ่อย ตอนนี้กินปีละครั้ง

MK เอาจริงๆสาขาที่ผมเข้าประจำไม่ต้องบุฟเฟ่ก็คนแน่นตลอด กลุ่มลูกค้ามันก็มีอยู่

เป็นผมนะจะแตกไลน์เป็นร้านใหม่ แบรนด์ใหม่ไปเลย MK suki(ในห้าง) SK suki(นอกห้าง)เน้นแข่งนอกห้างเพราะตั้งในห้างราคาทำสู้ยาก อันนี้จะแข่งกันตรงๆเลย เอาแบบนี้ไปสู้ (ซึ่งมันควรจะเกิดตั้งนานแล้ว)

แล้วพอมาเล่นสงครามราคาในพื้นที่ห้างมันสู้ลำบาก ตอนนี้บุฟเฟ่ 299+ นี่ถือว่าน้อยมากจนแทบจะไม่มีแล้ว

เชื่อว่าออกนอกห้างจะดีกว่านี้ ไม่รู้ว่าติดอะไรทำไมยังวนเวียนเปิดแต่ในห้าง

จะทำ buffet ทั้งทีดันกั๊กๆ เห็นเมนูที่ให้เลือกมีลูกชิ้นปิงปอง เดี่ยวนะแล้วลูกชิ้น MK ที่เป็น signature ของร้าน ทำไมไม่ใส่มา เอามาทำไมลูกชิ้นปิงปอง ส่วนเมนูอื่นๆผมว่าเหมาะสมกับราคาอยู่ ขาดปลาดอลลี่อีกอย่างควรใส่มาด้วย มันไม่แพงนิ

ของดีกว่า นี่ถ้าดีขนาดมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น ก็ไม่ต้องลดตัวมาทำสงครามกับเจ้าอื่นเลยก็ได้

ถ้าเทียบในบริเวณกทมและปริมณฑล ก็ไปทำสงครามราคาแข่งกับพวกเรตเดียวกันดิ ทำการตลาดดีๆไปเลย เอาโมเดล MK Gold มาทำยังได้เลย ผมยังชอบ MK Gold เลย หรือทำแคมเปญ ปรับโฉมเปลี่ยนเมนูไรก็ว่าไป ไปไฟว้กับพวกเรท 400-500 ไปสิ Shabushi เจ้าที่เก่าแก่อีกเจ้า เขาก็ยังไม่เห็นจะขยับราคาหรือกลยุทธ์อะไรมาก

สำหรับผม MK แม่งขี้เหนียวไปงั้น ลองคิดดูว่า ตัวเองขาย a la carte มาตั้งกี่ปี ปีนี้เพิ่งมากัดฟันทำสงครามราคาได้ ทั้งที่วางตัวเองไว้ว่าเป็น สุกี้พรีเมี่ยม แสดงว่าก่อนหน้าโกยกำไรมาได้ตั้งหลายปีแล้วนิ ที่ผ่านมาก็แค่กำไรลด ยังไม่ถึงขาดทุนใช่มั้ยที่ผมจำไม่ผิด อยู่ๆจะกล้ามาตัดราคาลง ผมว่าพวกร้านพรีเมี่ยมอื่นจริงๆ ไม่กล้าทำหรอก เข้าเนื้อ ขาดทุนตาย

ปล ผมขี้เกียจอ่าน สงคราม MK Teenoi ละ ผมนี่รออ่านกระทู้ในอนาคต Teenoi BBQ กลุ่มลูกค้า เดียวกับ บาบีก้อน หรือเปล่า

เคยกิน Mk live ก็ทำได้ดีนะแต่แพงไปหน่อย คุณภาพผักMKดีกว่ามากๆจริงๆ ขนาดตอนที่ผมกระเพาะทะลุผมยังกินMKได้อย่างเดียวอะ เมื่อก่อนก็เคยแย๊บๆไปแล้วว่าจะทำบุฟเฟต์แต่ไปไม่รอด คิดว่าคงต้องปล่อยไปครับ อย่างพ่อแม่ผมกินร้านอื่นไม่ได้อะ กินบุฟแล้วท้องเสียแต่กินMKได้อย่างเดียว

คือ เอาจากมุมผู้บริโภค MK บ่อยๆ เพราะพ่อแม่ผมชอบมากแล้วกันนะ

MK หลายสาขา Understaff นะผมว่า คือคนไม่พอ แต่มันพอรันได้เพราะระบบจัดการดี ผนวกกับบางร้านลูกค้าก็ไม่ได้แน่นขนาดนั้น

ทีนี้พอเปิดบุฟเฟ่ต์ ลูกค้าก็บึ้มบ้ามเลย Staff ก็คงไม่เตรียมมาเผื่อ มันเลยออกมาล่กแบบที่เห็น

เเค่ผักปลอดสารกับผักตลาดไทต้นทุนก็ต่างกันเเล้วครับ

ผมว่าไอ้ที่ว่ามีร้านอยู่ทั่วประเทศนั่นแหละ น่าจะเป็นปัญหามากกว่าข้อดีนะสำหรับตอนนี้
ร้านของ MK ที่มีทั้งหมดเป็นร้านในห้าง เป็นการเช่าที่ในห้าง ไม่ได้มีสถานที่เป็นของตัวเอง(หรืออาจจะมีแต่ผมไม่รู้ก็ได้มั้ง) อาศัยยอดจากทราฟฟิคห้างเป็นหลัก เมื่อก่อนตอนที่เศรษฐกิจดีๆมันอาจจะเป็นจุดแข็ง คนไม่มีอะไรทำก็ไปเดินห้างกินข้าวกัน แต่ตอนนี้ขนาดตัวห้างเองยังแย่ เห็นชัดๆก็ตั้งแต่โควิดอะ บางห้างแทบไม่มีคนเดิน หรืออย่างโลตัสคนก็ไปแค่ซื้อของแล้วกลับ

ผมก็ไม่รู้ว่าสัญญามันเป็นยังไงนะ แต่คิดว่ามันน่าจะดีลกันแบบบ.แม่คุยกันคงไม่ใช่เป็นสาขาต่อสาขา อาจจะแบบเปิดกี่สาขาได้ค่าเช่าเรตนี้ แต่ห้ามเลิกสัญญาก่อนอะไรงี้ก็ได้ เวลาคุยอะไรมันน่าจะยากกว่าตี๋น้อยคุยกับเจ้าของตึกบ้านๆ เขี้ยวมากก็ย้ายไปตึกอื่นที่อยู่ใกล้ๆแทนก็ได้ แต่ของ MK มันโดนล๊อคเอาไว้ขยับขยายอะไรก็ไม่ได้ สาขาที่ยอดดีๆก็ต้องแบกสาขาอำเภอไกลๆไป

แต่ MK จะมาเล่นตลาดตี๋น้อยเนี่ย ยังไงก็แพ้ เพราะต่อให้ 299 จริง แต่โคตรกั๊กของเลยพวกลูกชิ้นเทพๆอะไรก็ไม่ให้ สุดท้ายก็วนกลับไปที่คำว่าไม่คุ้มอยู่ดีไม่ว่าสำหรับตลาดไหน
และขนาดกั๊กแล้วเนี่ยจัดการยังไงฟะให้ของหมดไม่พอเสิร์ฟ นี่อยู่ในธุรกิจอาหารมาสามสิบสี่สิบปีจริงดิ

ก็อาจจะจริงนะที่ว่าต้นทุนวัตถุดิบอาจจะต่อรองกับ supplier ได้มากกว่าเมื่อเทียบกับเจ้าเล็กๆ แต่มันมีต้นทุนอื่นอีกเช่น

1. process ในการรับวัตถุดิบเข้ายาวกว่า เพราะต้องควบคุมคุณภาพ ถึงจะลดเกรดวัตถุดิบลง แต่ก็ต้องมาเข้า process เดียวกัน << ระบบ supply chain แข็งมันตรงข้ามกับความยึดหยุ่น
2. เน้นเปิดในห้าง และเปิดมานาน << ต้นทุนค่าเช่าน่าจะโดนปรับขึ้นมาตลอด
3. เปิดมานาน มีพนักงานประจำเยอะ ก็มีเรื่องสวัสดิการณ์ต่างๆ << ต้นทุนตรงนี้ลดยาก
4. แบรนด์ในภาพจำของstakeholder (ลูกค้า, พนักงาน, ผู้บริหาร) คือ premium พอจะลงมาทำตลาดล่าง ก็โดนคาดหวังไว้สูง เผลอๆในรายละเอียดก็มีเผลออัพต้นทุนในเมนู << ไม่กล้าขายของไม่ดีกลัวโดนตำหนิ ลูกค้าก็ติดแบรนด์พอเจอก็พร้อมจะตำหนิ

เปรียบเทียบง่ายๆ mk เอารถกระบะไปวิ่งส่งของในหมู่บ้าน มันแพ้มอไซที่คล่องตัวกว่า

ยังไงระบบภายใน ในระยะยาวผมก็ยังคิดว่าได้เปรียบที่สุด

ปัญหาอยู่ที่ต้องการจะลงมาเล่นเต็มตัวขนาดไหน และนั่นมันคือ create value จริงรึเปล่า
หรือเป็นแค่ short term benefit แต่ไปทำลาย long term value มากกว่ารึเปล่า
ผมว่าตรงนี้มันท้าทายมาก และก็อย่างที่บอกไปหลายครั้ง ผมว่า MK ไม่กล้ามากพอ

อยากแรกจะลงมาทำ 2xx-3xx เต็มตัว ทำไมจะทำไม่ได้ แต่ต้องลดคุณภาพสินค้าตามลงมาเหมือนกัน
ซึ่งจุดแข็งที่สำคัญมันอาจจะหายไป นั่นคือ GP จะต้องต่ำลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

ซึ่งใครไม่เชื่อก็ไปกดตัวเลขดูก็ได้ ถ้าMKจะเล่นแบบเดียวกัน กด GP ให้ไม่ต้องเท่าตี๋น้อยหรอก
ผมให้ 55% พอ แบบนี้กำไรของ MK จะหายไปเกือบหมดทันที

เรียกว่ากำไรหลักพันล้าน จะเหลือซัก1-10ล้านบาท ทันที ซึ่งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เจอแบบนี้เข้าไป
มีระดับใกล้เจ๊งได้แน่ๆ ต่อให้เป็น MK ที่ไม่มีหนี้ก็ตาม

เพราะงั้น โจทย์นี้จึงยากกว่าที่คิดครับ เพราะจะเทียบแบบนี้ตี๋น้อยได้เปรียบเยอะ
เพราะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำกว่ามาก เพราะไปเช่าที่ก๊อกๆแก๊กทั่วๆไปอย่างที่เห็น
ในขณะที่ MK เช่าที่ในห้างแทบจะ100% ต่อให้GPเท่ากันหรือดีกว่าซัก10% ก็สู้ไม่ได้ และไม่ควรสู้ด้วย

เพราะงั้นสิ่งที่ MK ควรจะทำตั้งนาน และอาจจะสายไปแล้วก็คือ disrupt ตัวเองและจัด segment ใหม่
หรืออื่นๆ เช่น การสร้างร้าน MK buffet ราคานี้แหละ และมาตีกับพวกตี๋น้อยเต็มๆไปเลย

โมเดลตรงนี้ต้องเล็กและน้อยสาขา หรือมากสาขาแต่ต้นทุนต้องต่ำ และใช้ป่าล้อมเมืองแทนออกต่างจังหวัดไรงั้น
เพื่อทดสอบระบบ และทำไป คิดกลยุทธไปจากหน้างานจริง แต่ก็ต้องไม่ใหญ่เกินจนกระทบในงบมากเกินไป

เพราะงั้น สิ่งที่ MK ทำตอนนี้ ก็อาจจะถูกแล้วก็ได้ ถ้านี่คือการลองระบบ และเปรียบเทียบต้นทุนดู
่เช่นว่าเอาละทำบุฟเฟ่ต์ แต่ที่ผ่านมาknow-howตรงนี้น้อยมากๆถึงแทบไม่มี
การจัดการผมว่าโคตรเรื่องเล็ก เดี๋ยวก็จัดการได้ และเทพกว่าใครได้ไม่ยาก แต่การบริหารต้นทุนนี่สิยากกว่าเยอะ
เพราะงั้นต้องลองผิดลองถูกแบบนี้แหละ และเก็บdataไปวิเคราะห์ดีดี บริหารต้นทุนใหม่
และปรับเกรดเนื้อ เกรดอะไรก็ตามแต่ลงมา เสริมของกินเล่นอะไรก็ตามแต่ลงไปเยอะๆ

ผมว่า move นี้เป็น move ที่ดี รอบหน้าก็ขอให้จัดเนื้อให้ลูกค้าพอใจ กระเทียมไรนั่นก็เอาให้เต็มเหนี่ยว
มันจะขาดทุนกันซักเท่าไหร่กันเชียว ถ้าต้องการข้อมูลเพื่อ long term growth ผมว่าคุ้มค่ากว่าเยอะ
เจ็บก็เจ็บนิดเดียว แต่ถ้าเอาอยู่ เผลอๆMKกลับมาคนแน่น แย่งต่อคิวกันกินก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ ถ้าทำดีดี