สืบเนื่องจากกระทู้นี้ เลยจะขอแบ่งปันเพื่อน ๆ สมาชิกที่มีปัญหาเรื่องวีซ่าครับ
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2309382/2#50557074

ผมไม่เคยจ้างใครทำวีซ่า ไม่เคยสนใจว่าเว็บบอร์ดจะพูดว่าอย่างไร บ้านผมก็ไม่ได้มีฐานะดีครับ

อัตราการขอวีซ่าของผมคือ 100% อเมริกา 2 รอบ ปัจจุบันได้วีซ่า 10 ปี เชงเก้น 4 รอบ และไม่เคยเตรียมเอกสารให้ใครแล้วไม่ผ่าน

อยากบอกว่าหลักการมีแค่ "ทำยังไงก็ได้ ให้สถานทูตมั่นใจว่าคุณจะกลับมา" ถ้าคุณยึดแค่หลักการนี้ ผมรับประกันว่าร้อยละ 90 วีซ่าคุณผ่านแน่นอน เรื่องภาษาอะไรคุณไม่ต้องไปสนใจ สมมติคุณจะไปเที่ยวอเมริกา คุณมีเงินแหละ แต่ครอบครัวปากกัดตีนถีบกว่าจะไต่เต้ามาได้ อยากพาอาม่าไปเที่ยว อาม่าไม่มีโอกาสเรียนหนังสือตอนเด็ก คุณว่าสถานทูตเขาจะสนใจทักษะภาษาอังกฤษของอาม่าคุณไปเพื่ออะไรกัน

ถ้าอยากผ่านเอกสารที่ต้องเตรียมที่สำคัญมาก ๆ คือ

1. หนังสือรับรองความเป็นนักเรียน/นักศึกษา + เกรด
ง่าย ๆ คือ โชว์หนังสือให้เห็นเลยว่าเป็นนักศึกษาอยู่ ให้กุไปก่อนนะ ยังไงกุก็ต้องกลับมาเรียน >> สถานทูตอาจไม่มั่นใจว่า จะกลับมาเรียนจริงหรอ >> เลยต้องโชว์เกรด ถ้าคุณมีเกรดที่ดี ไม่ใช่เกรดแบบจะโดนรีไทร์ โอกาสที่คุณจะลาออกก็น้อย รับรองว่าไม่เป็นปัญหา


2. หนังสือรับรองเงินเดือน / บุ๊คแบงค์

ถ้าเรียนหนังสือ: เอาแค่คุณมีสปอนเซอร์ Cover ค่าใช้จ่าย

ถ้าคุณทำงาน: เอาแค่มั่นใจว่าคุณมีตังที่จะ Cover ค่าใช้จ่าย รวมถึงในกรณีฉุกเฉิน ไม่ต้องไปตกแต่งบัญชีอะไรเว่อ คุณโอนเข้าไปแต่งบัญชีได้ คุณก็เอาออกได้ เจ้าหน้าที่เขาไม่โง่หรอก แค่ขอให้มีการงานที่มั่นคง มีเงินไม่น่าเกลียดก็พอ


3. สถานที่อยู่

ถ้าเป็นครอบครัว: มีรูปถ่าย ระบุความสัมพันธ์ให้ชัด เขียนจดหมายอธิบายไปเลย ถ้าเกี่ยวพันทางสายเลือด เอาเอกสารทางราชการจ้างเขาแปลเป็นภาษานั้น ๆ แล้วไล่เรียงลำดับทางสายเลือดเลย แล้วส่งแนบไปกับเอกสารขอวีซ่า ถ้ามีการเปลี่ยนชื่อนามสกุลกันทางสายเลือดไม่ตรงใบเกิด ก็แนบไปด้วยให้ชัดเจน

ถ้าเป็นเพื่อน: ไม่แนะนำให้ declare คุณจองโรงแรมแยกไปเลย แล้วค่อยไปเที่ยวกับเพื่อน ถ้าบอกไปอยู่กับเพื่อน อันนี้จากประสบการณ์ เขาจะสงสัยมาก ๆ อาจจะผ่านก็ได้ แต่คำถามมันจะเยอะ แล้วถ้าคุณยื่นผ่านพวก VFS, TLS ที่คุณไม่มีโอกาสตอบคำถาม โอกาสยื่นวีซ่าของคุณก็จะยิ่งไม่ผ่าน

>> ย้ำอีกที ถ้าไม่จำเป็น รู้อยู่แก่ใจว่าเอกสารไม่พอจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ไม่ต้อง declare ว่าไปหาครอบครัว ไปหาเพื่อน เพราะถ้าคุณบอก เอกสารคุณต้องแน่น ยื่นเป็นไปเที่ยว แล้วค่อยไปเจอกันดีกว่า

เช่น เพื่อนทำ Work and travel คุณอยากจะไปหาเพื่อน ไปเยี่ยมเพื่อน เยี่ยมแฟน อย่าเขียนเด็ดขาดว่าไปนอนกับเพื่อน มันน่าสงสัย เราเขียนว่าเราไปเที่ยว ซึ่งเราเองก้ไม่ได้โกหกสถานทูต เราไปเที่ยวจริง ๆ แค่เป็นเทคนิคการยื่นเอกสาร ยิ่งคุณ declare มากเท่าไหร่ คุณสามารถเขียนได้ แต่ต้อง declare ให้ชัดเจน

** In case ของประเทศเชงเก้น (ไม่แน่ใจว่าทุกประเทศไหม) มันจะมีเอกสารที่สามารถออกจากทางรัฐเช่นที่ว่าการอำเภอนั้น ๆ ให้สามารถรับรองเป็นจดหมายได้ว่า มาพักที่นี่จริง ถ้าเพื่อนหรือครอบครัวคุณทำเอกสารฉบับนั้นได้ รับรองว่าผ่านฉลุย แต่ต้องเป็นใบจริงนะครับ แล้วอย่าลืมขอสำเนาบัตรประชาชนเพื่อนพร้อมลายเซ็นแนบไปด้วย

เป็นความเห็นจากประสบการณ์ของผมเอง ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ครับ มา discuss ได้ ที่เหลือผมว่าไม่มีอะไรน่ากังวลครับ ถ้ามีคำถามพอช่วยเหลือได้ ก็ PM ทิ้งไว้ก็ได้ครับ

วีซ่าเมกาB1 ที่สำคัญคือ ควรจะกรอก DS160 ด้วยตัวเอง เพราะเจ้าหน้าที่ถามจากรายละเอียดที่เรากรอก

ของผมและครอบครัว หลักฐานไม่เคยดู statement อะไรก็ไม่ดู


วีซ่าเชงเก้นจริงๆส่วนมากยื่นผ่าน VFS ซึ่งตรวจหลักฐานเยอะอยู่เเล้ว เค้าจะมี check lists อยู่เเล้ว

จริงครับหลักๆมันก็แค่นั้นอ่ะ อย่างอเมริกา บ้านผมเขาไม่ดูสเตทเม้นเลยนะเห็นประวัตินู่นนี่นัั่นเขาบอกไม่ต้องใช้ ก็ไม่รู้ทำไมคนเราไปคิดว่าอเมริกามันยากสงสัยตั้งแต่สมัยโน้ตอุดมั้ง เชงเก้นก็ด้วยเห็นหลายคนผมดูกก็ไม่น่ากังวลก็กังวลกันจนผมแบบเออหรือว่าเราเข้าใจตัวเองผิดวะ จนเพื่อนที่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกันยังบอกอย่างมึงจะกังวลทำไม


แต่มีเพื่อนคนนึงครับเอาจริงๆก็โปรไฟล์ค่อนข้างดีบ้านผ่านหมดทุกคนแต่เพื่อนผมไม่ผ่านอยู่คนเดียวผมก็ไม่รุูทำไมแต่มันชอบโพสลงเฟสแนวๆชอบเป็นโรบินฮูุด

เห็นด้วยมาก ๆ ครับ จึงเป็นเหตุผลที่ผมบอกเสมอว่า เขียนเองดีสุด ไม่ต่องไปห่วงเรื่องหลักการเขียนจดหมาย รวมถึงแกรมมาร์อะไรมาก ให้อ่านรู้เรื่องและคนอ่านเข้าใจก็พอ เขียนให้คนอ่านเขามั่นใจว่าเราเขียนเอง เรามี intention ที่จะไปแล้วกลับมา ต้องการไปเยี่ยมเยียนเอง

เคยมีประสบการณ์อีกประสบการณ์นึง หน้าตม.เยอรมัน

เจอเจ้คนนึงนั่งไฟลต์เดียวกัน
เจ้แกพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง แต่แกจะมาแต่งงานกับคนเยอรมัน ผัวแกก็ปล่อยให้แกบินมาจากไทยคนเดียว

ตม. ก็ถามเจ้แกว่า "มาทำอะไร"
เจ้แกตอบ "มาแต่งงานค่ะ"

ตม. เหวอ ผมก็เหวอ ก็เลยต้องขออนุญาตตม.เข้าไปช่วยรื้อเอกสารแก ว่ามาแต่งงานจริง มีเอกสารรับรองจริงจากทางการอะไรแบบนี้

ที่จะสื่อคือ นี่คือตัวอย่างของการไม่รู้ว่า ตม.ต้องการอะไร สถานทูตต้องการอะไร

เอกสารสำคัญกว่าภาษา คุณไม่ต้องมีสกิลอะไรก็ได้ แต่ "เอกสารที่จะรับรองว่าคุณทำอะไรที่ไหนแบบชัดเจนต่อไปในอนาคต" สำคัญที่สุด

ถ้าต้องการไปทำงานร้านอาหารของญาติ (อาแท้ๆ) ที่อเมริกาต้องขอวีซ่าส์แบบไหนเหรอครับ

ขอวีซ่าประเภทไปทำงานต่อ เรื่องนี้ผมไม่มั่นใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าอยากให้ผ่าน
แนะนำว่าให้มี Invitation letter จากเจ้าของร้านพร้อมเจตจำนงในการจะเอาคุณมาทำร้านอาหารด้วยพร้อมลายเซ็น // มีเบอร์มือถือติดต่อเจ้าของร้าน// มี Location ร้านชัดเจน // มีบัตรประชาชนพร้อมเซ็นสำเนาเจ้าของร้าน // เอกสารที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเจ้าของร้าน ถ้าเป็นผม ผมจะเอาสูติบัตรแม่ สูติบัตรคุณ สูติบัตรคุณอา ส่งร้านแปลเป็นภาษาอังกฤษ >> แล้วคุณแสดงให้เห็นว่าในสูติบัตรมีชื่อแม่คุณเป็นมารดา >> สูติบัตรแม่คุณกับคุณอา มีบิดา-มารดาคนเดียวกัน เป็นต้น// เอกสารอื่น ๆ เกี่ยวกับการทำงาน ผมว่าลองเสิร์ชดูอีกทีครับ เช่น อาจต้องมีการตรวจ TB test, Chest X-ray, ตรวจภูมิคุ้มกันวัคซีนเพิ่ม แนะนำหาข้อมูลโดยละเอียดครับ อันนี้ผมไม่เชี่ยวชาญ แต่ถ้าเรื่องการแสดงความชัดเจนระหว่างคุณกับอา ผมว่าพอแล้วครับ

ผมยื่นเชงเก้นเองตลอด +ทำเอกสารให้น้องๆที่ไป ผ่านหมดเอาแค่ว่า ขอแค่ตรงไปตรงมา ส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาอะไรเลย

ล่าสุดเอาหลานไป(พ่อแม่ตัวยริงไม่ได้ไปด้วย) ผมกับแฟนและหลานคนละนามสกุลกันหมดเลย เอกสารปม่งโคตรเยอะเลย แบบเยอะมากๆ

หายไปนานเลยกั๊ป

วีซ่าท่องเที่ยวแล้วไปโดดเอาครับ เรื่องจริงไม่ได้เล่น ๆ 555

ถ้าคุณบอกจะไปทำงานกับร้านญาติ รับรองว่าไม่ได้วีซ่าแน่นอน

ไม่ควรอย่างยิ่งครับ แบบนี้ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงไม่อยากให้วีซ่ากับคนปกติไง

เห็นแก่ตัว คนที่เขาพยายามทำขั้นตอน เขาต้องมาเดือดร้อนเพราะคนแบบนี้

คนที่ยื่นเอกสารครบได้ดีก็มีถมไป

ขอ bookmark ไวนะครับ

ใจนึงก็คิดแบบนั้นแต่ก็ไม่อยากเสี่ยง
หรือว่าไม่มีทางจะได้วีซ่าถ้าตั้งใจไปทำงานแม้จะในครัวก็ตาม

กระทู้คุณภาพครับ
ไว้มีโอกาสไปขอเมกา จะกลับมาดูนะครับ

ของผมเชงเก้น 2 รอบ uk 1 รอบ

ถ้าทำเอกสารครบ+เงินในบช ครบ+เป็นพนักงานประจำมีใบรับรองจากที่ทำงาน ยังไงก็ผ่านนะ ไม่จำเป็นต้องไปจ้างเลย