ความท้าทายของพรรคก้าวไกลในเส้นทางการเมือง
เกริ่นนิดนึงครับ ว่ากระทู้นี้เป็นอะไรที่ผมกลั่นกรองมาสักพัก จะเรียกว่าเป็นข้อสังเกต สมมติฐาน หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาเริ่มที่ภาพใหญ่ก่อน ว่าจริงๆแล้วการเมืองมีหลายมิติให้เรามาเลือกพิจารณากัน มากกว่าแค่คำว่าเสรีนิยม และ อนุรักษ์นิยม
ในอุดมคติของระบบประชาธิปไตยนั้น ประชากรในประเทศควรจะเข้าใจว่าจุดยืนทางการเมืองของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร มันจะไม่ใช่แค่ในแกนการเมืองว่าเป็นเสรีนิยม หรือ อนุรักษ์นิยม แต่ยังคงมีแกนอื่นๆ อาทิเช่น เศรษฐกิจ ว่าจะเป็นทุนนิยม(ถ้าคุณชอบFree Market รัฐปล่อยให้ตลาดรันไป แทรกแซงน้อย ก็เป็นส่วนนี้) หรือ สังคมนิยม(ถ้าคุณมองหาแต่ความเท่าเทียมในตลาด ไม่เอาความผูกขาดเลย ก็จะเป็นฟากนี้) ยังมีในอีกหลายแกนมากที่เรานำมาวัดค่าได้ โดยรวมหลักการคือเราก็เลือกเฉพาะแกนที่มันเหมาะสมกับความต้องการเรา และ ยุคสมัย เมื่อเรามีแกนที่เราจะหาจุดยืนของเราแล้ว นำทุกอย่างมารวมกัน สิ่งนี้เรียกว่า Political Spectrum ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นไม่มีมาตรวัดสากลใดที่ใช้ได้กับทุกยุคสมัยหรือใช้เปรียบเทียบข้ามสมัย มันขึ้นอยู่กับว่า ท้ายที่สุดใครให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า แต่ที่วัดกันบ่อยๆ ก็จะพบการใช้สังคมและเศรษฐกิจเป็นหลัก(2แกน) เมื่อเรารู้ว่าเราอยู่จุดไหน เราจึงนำพรรคการเมืองทั้งหมดที่มี มาวางบนSpectrumเดียวกันนี้ แล้วพรรคไหนอยู่ใกล้กับคุณมากที่สุดจากนโยบายที่เขาสื่อสารออกมา คุณก็เลือกพรรคนั้น แล้วสุดท้ายนั่นจะเป็นผลลัพธ์ที่เหมาะกับคุณมากที่สุด
Spoil
แทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ซ้าย(Liberal)หรือขวา(Conservative) ที่ใช้ในการจำแนกแนวคิดของคนทางการเมือง เกิดขึ้นในฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่18 ฝั่งซ้ายมือของกษัตริย์ในโถงประชุม เป็นกลุ่มขุนนางที่เรียกร้องการปรับปรุง-เปลี่ยนแปลงและพัฒนา ในขณะที่ขุนนางฟากขวามือนั้นเรียกร้องการดำรงไว้ซึ่งแนวปฏิบัติเดิม จึงเป็นที่มาของการจำแนกกลุ่มคนโดยอิงถึงมุมมองต่อการเมืองในปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คิดว่าเราคงตระหนักกันดี ว่าสเปคตรัมที่สื่อและคนไทยใช้จะเล็กลงมากว่าภาพที่อธิบายไปเมื่อสักครู่ สื่อจะเน้นมองไปที่ภาพเล็กก่อน อย่างเช่นการไปเน้นที่ว่าจุดยืนของพรรคว่าเอาา112หรือไม่ เอาขั้วอำนาจเก่าหรือไม่ ว่ากันไป จากการที่สื่อช่วยพรรคการเมือง ในการนำเสนอในส่วนของภาพเล็ก เป็นเรื่องๆ จึงอาจยังไม่เสนอถึงจุดยืนที่แท้จริงของพรรคการเมือง แน่นอนว่าสะท้อนออกมาบ้าง แต่จะไม่ใช่ทั้งหมด เพราะในประเด็นพวกนี้นักการเมืองในช่วงหาเสียง ก็จะเลือกนำเสนอจุดยืนในเรื่องเล็กๆ ที่น่าจะคว้าชัยชนะได้ตามกระแสนิยม คือทำเป็นผ่อนปรนบางอย่าง เพื่อที่จะซื้อเสียงคนจากเทรนด์และกระแสสังคมนั้น ดังตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน เช่น ก้าวไกล และ เพื่อไทย ที่ต่างบอกว่าจะปรับแก้112ทั้งคู่ แต่วิถีหรือเนื้อหาที่จะแก้ต่างกันพอสมควร ดังนั้นการที่คนๆหนึ่งจะเข้าใจพรรคการเมืองจริงๆ จึงจะไม่ได้มาจากการดีเบตเฉพาะหัวเรื่องใดหัวเรื่องหนึ่ง แต่ต้องดูเป็นองค์รวมไปเลย ว่าจากนโยบายทั้งหมด มันเป็นไปในทางไหนบ้าง
ก้าวไกล ถือเป็นพรรคที่เก่งในเรื่องการจับกระแสสังคม เมื่อเข้าใจดีว่า ไม่อาจชนะการเลือกตั้งได้ด้วยคนรุ่นใหม่ หรือฟากเสรีนิยมเพียงอย่างเดียว จุดยืนทางการเมืองที่แสดงออกมาในครั้งนี้จึงถอยเข้ามาทางขวามากขึ้น(แต่ก็ยังถือว่าซ้ายอยู่ และซ้ายที่สุดในกลุ่มพรรคการเมืองใหญ่) เพราะอย่างไรเสีย หลายๆนโยบายที่ก้าวไกลมี ทลายทุนผูกขาดเอย ทลายอำนาจนิยมในโรงเรียนเอย จริงๆแล้วถือเป็นขั้วตรงข้ามกับการมีอยู่ของสถาบัน เพราะสถาบันนั้นถือเป็นUniversal Setของอำนาจนิยมในประเทศนี้
[จุดนี้เราจะเห็นได้ว่าในขณะที่เป็นอนาคตใหม่ แกนนำพรรคถึงขนาดแสดงจุดยืนต่อต้านอย่างหนัก ว่าไม่เอาขั้วอำนาจและสถาบัน ส่วน112ไม่ต้องพูดถึง เอาออกได้ เอาออกแน่]
Spoil
สำหรับคนที่มีความรู้เรื่องของMBTI Personality จะสามารถเชื่อมโยงที่มาที่ไปของแนวทางพรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็น จากลักษณะของผู้นำของพรรคการเมืองทั้งคู่ ส่วนใครที่ไม่รู้จะข้ามส่วนนี้ไปก็ได้ครับ ถือเป็นเนื้อหาแถม ที่ผมคิดว่าทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมก้าวไกล ดูไม่ดื้อขนาดอนาคตใหม่เลย 555
คุณธนาธรจากอนาคตใหม่ (ENFJ) – อนาคตใหม่ ถูกก่อตั้งและขับเคลื่อนจากผู้นำอย่างคุณเอก ที่มีบุคลิกภาพอย่างENFJ เป็นผู้นำในลักษณะที่สร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนไปที่อุดมการณ์ที่ฟอร์มขึ้นมาจากความรู้สึกร่วมและแพสชั่นที่เต็มเปี่ยม จุดเด่นนี้จากผู้นำ จึงส่งต่อให้พรรคมีแนวทางที่ชัดเจน ไปในฝั่งที่ดูจะซ้ายจัดสำหรับสังคมไทย เพราะทุกคนเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่าคนไทยควรได้รับสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่ทาสอย่างที่เคยเป็นมา ทำให้การเลือกตั้งในสมัยนั้น จึงพูดได้เต็มปากว่า contextตอนนั้น ที่คนยังไม่รู้ได้แน่ชัดว่าเนื้อแท้คุณธนาธรและพรรคเป็นอย่างไรแล้วเลือกให้พรรคเข้ามาทำงาน จึงเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นฝ่ายซ้าย เพราะในเวลานั้นจุดยืนเรื่องของประชาธิปไตยเพื่อไทยเองก็เล่น คนที่ไม่ซ้ายเท่าคนกลุ่มแรกและคนที่ไม่ได้ขวาจัด จึงเลือกที่จะโหวตให้เพื่อไทยเสียมากกว่า จนเมื่อพรรคเข้ามาเป็นที่3ได้นั้น และถูกยุบลงไป จนเกิดเป็นพรรคภายใต้ผู้นำใหม่
(สำหรับคนที่ชอบสามก๊กด้วย ถ้าเคยเห็นกระทู้เก่าๆของผม ทำไมผมชอบพูดว่าอนาคตใหม่เหมือนจ๊กก๊ก ก็เพราะเล่าปี่ในเวอร์ชั่นนิยายก็มีบุคลิกภาพแบบENFJด้วยนี่เอง)
คุณพิธาจากก้าวไกล (ENTJ) - เมื่อถูกส่งไม้ต่อมาที่ผู้นำที่มีบุคลิกอย่าง ENTJ นั้นจึงทำให้เกิดการทำงานที่สร้างแรงกระเพื่อมได้แรงต่อเนื่องในฐานะฝ่ายค้าน ENTJถือเป็นผู้นำในลักษณะที่ ชี้ให้ผู้ตามเห็นภาพการทำงานตามกรอบเป้าหมายที่วางเอาไว้ เมื่อคุณพิธามีความเชื่อแล้วว่าการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นเรื่องจำเป็นต่อสังคมไทย ความมั่นใจที่ถือเป็นจุดเด่นของบุคลิกนี้ ก็ยิ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้คนในพรรคว่า ทางเดินที่กำลังเดินไปนั้นถูกต้อง แล้วต้องทำอย่างไร
เรายังเห็นในช่วงหาเสียงได้อีกว่า แนวทางที่คุณพิธาเน้นย้ำว่า ไม่แบ่งกระทรวงแบบเดิม แต่แบ่งตามเป้าหมาย ความมั่นใจขั้นสุดเวลาดีเบต หรือลักษณะการตอบคำถามที่จะไม่ตอบเพียงแค่สิ่งที่ถาม แต่จะสามารถสร้างสมมติฐานในหัวถึงที่มาของคำถาม และตอบในคำถามที่ซ่อนอยู่แถมให้ด้วย เหล่านี้คือลักษณะของผู้นำแบบENTJ อีกทั้งยังเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และประเมินถึงความจำเป็นที่ต้องลดความซ้ายลงมา เพื่อให้พรรคมีพื้นที่มากขึ้นในสภาอันจะพูดต่อไป ก็เลยเป็นเรื่องที่เกิดข้อสงสัยถึงแนวทางของพรรคต่อคนใน และจุดแตกหักแรกจึงเกิดขึ้นกับอาจารย์ป๊อกในช่วงหาเสียงเมื่อกุมภาที่ผ่านมาถึงอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งก็สามารถทำความเข้าใจกันได้ในเวลาถัดมา
การลดความซ้ายลง และโน้มน้าวประชาชนในช่วงหาเสียงจากประเด็นใหญ่ในสังคม จึงเกิดBig Surprise ที่ก้าวไกล สามารถจับคนทั้งฝ่ายซ้ายจัดไปจนขวาที่ไม่สุดโต่งได้มากขึ้น โดยท่าไม้ตายคือการแก้มาตรา112ที่ฝ่ายซ้ายมองหา โดยที่ไม่ยกเลิกเหมือนที่เคยแสดงเจตจำนงค์ไว้สมัยอนาคตใหม่ และยังยืนยันถึงการจะดำรงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ กอปรกับวิธีการสื่อสารอย่างมั่นใจ เรียบเรียงเนื้อหาพูด โดยกระตุ้นจิตใจคนจากPain pointในหลายๆแง่และเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่เจ็บปวด อีกทั้งยังมีภาพของการทำงาน4ปีที่ผ่านมาให้เป็นหลักฐานแสดงถึงวิธีการทำงาน เหล่าอนุรักษ์นิยมหรือฝ่ายขวาบางส่วน(สลิ่มเก่า) ที่ตระหนักถึงความไม่ได้เรื่องของรัฐบาลปัจจุบัน จึงลองให้โอกาสก้าวไกลพร้อมกัน โดยมิได้นัดหมาย เกิดเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญของการเมืองไทย ที่ก้าวไกลพลิกล็อคเอาชนะทั้งอำนาจเก่าอย่างขาดลอย และ เพื่อไทยที่ครองตลาดมาอย่างยาวนานลงได้สำเร็จ
ขณะที่จุดแข็งของก้าวไกลคือ ถูกสนับสนุนโดยคนกลุ่มใหญ่ในประเทศ จึงสามารถเดินหน้าขุดคุ้ยเรื่องสีเทายันดำที่ซุกเอาไว้ใต้พรมได้ แต่ในขณะเดียวกันการคว้าฐานเสียงที่มากที่สุดภายใน2สมัยนั้น เมื่อเรามาดูที่ฐานเสียง ที่มีความแตกต่างกันอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่มซ้ายจัดและขวา เราจะเห็นได้ดังตัวอย่างที่ชัดเจน คือการสนับสนุนน้องหยก ที่ต่อสู้กับโรงเรียน ถึงแม้ผมจะไม่ลงดีเทล ทุกท่านก็น่าจะเข้าใจได้ว่า เอาเฉพาะภายในฐานเสียงของก้าวไกลฝ่ายซ้ายจัดจะสนับสนุนหยก ขณะที่ฝ่ายขวาจะไม่เห็นด้วยอย่างมากกับการต่อสู้นี้ของหยก ซึ่งจากการสิงสู่ในกลุ่มคณะก้าวไกลในFacebook เราคงพอเห็นได้ว่า ฐานเสียงก้าวไกล ดูจะเป็นขวามากกว่าซ้ายซะอีก ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นนึง ว่าปัจจุบันคนไทย ยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมเป็นส่วนใหญ่
ความท้าทายครั้งสำคัญของพรรคก้าวไกลคือ ฐานเสียงที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนนี้ ทางพรรคจะดำเนินการจัดการอย่างไร การทะเลาะกันครั้งนี้ระหว่างฐานเสียงก้าวไกลด้วยกันเอง เป็นเหมือนกับระฆังที่ดังขึ้นมาให้พรรครับรู้ถึงการมีอยู่ของขั้วความคิดทั้ง2แบบใหญ่ๆ(เสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม) ในขณะที่จุดยืนครั้งสมัยอนาคตใหม่นั้นเกิดขึ้นมาจากการเป็นพรรคเสรีนิยม คำถามที่น่าถามต่อคือ หากเกิดเหตุการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจซึ่งพรรคจำเป็นต้องเลือกสนับสนุนข้างใดข้างหนึ่ง พรรคก้าวไกลจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขนาดไหน คือถ้าจะต้องหักกับฝ่ายหนึ่ง จะลดความเสียหายให้ได้มากเพียงพอที่จะสามารถรักษาฐานเสียงต่อไปได้หรือไม่ (ที่บอกว่าเรื่องของน้องหยกคือระฆังที่ดังขึ้นมา จริงๆเรายังได้เห็นสัญญาณเตือนกันมาก่อนแล้วจากช่วง มีกรณ์ไม่มีกู บางคนบอกเอาและบางคนบอกไม่เอา เพียงแต่ที่ไม่ยกขึ้นมา เพราะดูจะไม่ได้สอดคล้องมากนักกับนิยามซ้าย-ขวา)
โดยส่วนตัวในระยะยาวผมคิดว่าเด็กเจนหน้า จะมีความเป็นเสรีนิยมมากขึ้นอีก พรรคจึงจะสามารถค่อยๆแสดงความเป็นซ้ายมากขึ้นได้อีกครั้ง แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือการทำงานของพรรคทั้งสมัยนี้และสมัยหน้า จะประคองไว้ซึ่งฐานเสียงที่มีต่อไปได้หรือไม่ เพราะศัตรูของพรรคเป็นอย่างที่ผมพูดมาเสมอว่า แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่พรรคขั้วรัฐบาลเก่า หรือ อำนาจเบื้องบน แต่ยังมีพรรคเพื่อไทย ที่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา เพราะแม้ในครั้งนี้ก้าวไกลตีชิงเสียงเพื่อไทยมาได้ จากการโจมตีเพื่อไทยโดยตรงบนเวที ในขณะที่เพื่อไทยยังโจมตีก้าวไกลได้ยาก เพราะผลงานในฐานะฝ่ายค้านดีและยังไม่มีผลงานในการเป็นรัฐบาลมาให้วิจารณ์กลับคืน ในครั้งหน้านั้นหากก้าวไกลและเพื่อไทยสิ้นสุดรัฐบาลร่วมกันเมื่อไหร่ นอกจากผลงานทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและสังคม การบริหารจัดการความเห็นต่างของฐานเสียงก้าวไกลที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้วัดว่า ก้าวไกลจะชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไปเหมือนปี66นี้หรือไม่
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ