คำสอนของแต่ละศาสดาน่ะดีครับ
ถ้าตัดเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่คนรุ่นต่อมาสร้างขึ้น
ให้คำสอนต่างๆไปอยู่ในโหมดจิตวิทยา ผมว่าคำสอนเหล่านั้นใช้ได้อยู่นะครับ
ในยุคพุทธกาลคำสอนต่างๆของพระพุทธเจ้าที่พูดสอนคน ไม่ได้มีการจดบันทึกทันที
ตามประวัติศาสตร์(เน้นว่าประวัติศาสตร์) พระอานนท์ เป็นคนที่จำได้มากที่สุด เพราะใกล้ชิดพระพุทธเจ้าตลอดเวลา
ส่วนในศาสนาศริสต์ก็เช่นกัน เยซูหนุ่มเป็นนักเทศน์สอนคน ตอนสอนก็ไม่มีการจดบันทึก
แต่มีอัครศานุศิษย์ 12 คน ที่คอยเผยแพร่คำสอน และมี พอล อีกคนที่ไม่ได้รวมใน 12 คนแรก ที่คอยแพร่คำสอน
ในพุทธมีการสักคายนาคำสอยพระพุทธหลายครั้งหลังยุคพุทธกาล
ส่วนในคริสต์มีการเขียนไบเบิ้ลหลายครั้งหลายแบบกว่าจะมาเป็นไบเบิ้ลแบบในปัจจุบัน
(หนังสือไบเบิ้ลเป็นหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์มากที่สุดในโลกตลอดกาล)
ส่วนในจีน คำสอนของขงจื่อ ก็เหล่าศิษย์ของขงจื่อได้จดรวบรวบไว้ คำสอนของขงจื่อนั้นทันสมัยที่สุดเพราะ
ไม่มีการใส่เรื่องปาฏิหาริย์ เรื่องเหนือธรรมชาติเข้าไป คนเอเชียตะวันออกเลยเอามาเป็ฯหลักในการใช้ชีวิตจนถึงปัจจุบัน
คำสอนของ พระเยซู พระพุทธ ขงจื่อ หรือแม้แต่โสคราตีส นั้น เป็น ปรัชญาครับ อยู่ที่ใครอ่านแล้วทำความเข้าใจได้ขนาดไหน
พระพุทธ ขงจื่อ และ โสคราตีส มีชีวิตอยู่ในไทม์ไลน์ใกล้เคียงกันคือราวๆ 2,500 ปีที่แล้ว
ส่วนพระเยซูนั้นหลังมาหน่อยราวๆ 500 กว่าปีหลังจากนั้น
ส่วนศาสดาโมฮัมหมัดหลังจากพระเยูซูราวๆ 600 ปี
ส่วนศาสนาซิกข์เป็นศาสนาใหม่เกิดหลังศาสนาคริสต์ราวๆ 1,500 ปี หรือพึ่งจะมี 500 กว่าปีที่แล้ว
ผมชอบศึกษาศาสนานะ ชอบอ่านทุกศาสนาที่มีโอกาสเลย แต่ผมชอบอ่านในเชิงปรัชญามากกว่าเรื่องปาฏิหาริย์
ผมไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ผมไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด(เชื่อว่าตายแล้วคือจบไม่มีโลกหน้า ไม่มีเกิดใหม่)
สิ่งที่ผมไม่เชื่อนั้นขัดหลักของแทบทุกศาสนาเลย 55555+
แต่ผมเชื่อในหลายๆคำสอนของหลายๆศาสดา คือเลือกที่จะเชื่อ
เช่น ผมเชื่อในหลักใหญ่ของพุทธและขงจื่อ คือ "ความกตัญญู" ไม่แค่กับพ่อแม่ แต่ใครช่วยเหลือผม มีโอกาสผมตอบแทนแน่นอน
ส่วนศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่ให้ความรักและการให้อภัย และหลักใหญ่ที่สุดของศริสต์คือ "การอ่อนน้อมถ่อมตน" เฮ้ยผมว่าดีนะ
พระเยซูบอกว่า
"จงรักศัตรูท่าน เพราะศัตรูท่านบอกความผิดของท่านได้" อันนี้จริง มิตรของเรานั้นไม่ค่อยมองเราว่ามีความผิดความชั่วตรงไหน
"ทำไมท่านมองเห็นฝุ่นผงในตาคนอื่น แต่ท่านมองไม่เห็นท่อนไม้ในตาท่าน" อืม ความผิดความชั่วคนอื่นเห็นชัด แต่ของตัวเองมองไม่เห็น
คำสอนพวกนี้เป็นปรัชญา จิตวิทยา เอามาอะแด๊บใช้ในชีวิตได้ดีเลยล่ะ
ของพุทธนั้น สั้นๆเลยนะ เป็นศาสนาแห่ง "ความสุข" การแสวงหาความสุขที่แท้จริง ตัดทุกข์ของจากจิตใจ
เช่นคำสอนที่ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์" อันนี้โคตรจริง เวลาเรารักใคร มันจะมีทั้ง ห่วง คิดถึง หึงหวง ซึ่งเป็นทุกข์ทั้งนั้น
พุทธเลยให้เราตัดกิเลสออกเพื่อจะได้ไม่เป็นทุกข์ (กิเลสตัวการสำคัญของความทุกข์ ไม่มีกิเลสไม่มีทุกข์)
ศาสนาอิสลามและซิกข์เป็นศาสนาแห่งสันติ ศาสดาสอนให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
(เพราะสองศาสนานี้เกิดมาในช่วงมีความขัดแย้งรุนแรง มีสงคราม)
ศาสนาพุทธในไทย ผมว่าค่อนข้างจะเพี้ยน ผิดหลักการของพระพุทธไปเยอะ
อย่างแรก พระพุทธไม่เห็นด้วยกับศาสนาฮินดู(เลยก่อตั้งศาสนาใหม่ไง เพราะศาสนาตามเกิดมันไม่นำพาสู่ความสุขที่แท้จริง)
แต่พุทธในบ้านเรามีการผสมพราหมณ์(ฮินดู)เข้าไปด้วย เช่นลายในวัดเป็นรามเกียรติ์ ที่เป็นเรื่องราวความเชื่อของเหล่าพระเจ้าต่างๆในฮินดูเป็นต้น
และที่สำคัญ วัดวาอารามในบ้านเราหรูหราสุดๆ ทั้งๆที่พระพุทธหรือสานุศิษย์สมัยนั้นไม่เคยสร้างวัดใหญ่ๆเลย
มีแต่เทวทัตที่สร้างวัดใหญ่โต แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ผมเลยมองว่าพระในบ้านเราเป็นสาวกพระพุทธหรือสาวกเทวทัตกันแน่
ผมชอบอิสลามในเรื่องไม่ให้สร้างสิ่งสมมุติมากราบไหว้บูชา ไม่มีรูปปั้นพระเจ้า รูปปั้นศาสดา ไม่มีรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น
ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันมาจากศาสนายูดาห์ของชาวยิวที่ไม่มีรูปเคารพ
แล้วทั้งพุทธและคริสต์แรกๆก็เป็นเช่นนี้ เช่นกัน
ตอนมีศาสนดาใหม่ๆทั้งพุทธและคริสต์ไม่มีหรอก พวกรูปบูชา มามีหลังจากศาสดาตายไปหลายร้อยปี
ยุคพุทธกาลไม่มีพระพุทธรูป ไม่มีการกราบไหว้รูปบูชา มามีหลังจากนั้น 300 กว่าปี ในยุคอโศกมหาราช
ที่อโศกเป็นกษัตริย์ของนับถือฮินดูมาก่อนพุทธ พอมานับถือพุทธเลยเอาการปั้นรูปบูชาของฮินดูมาใช้
ปั้นพระพุทธรูปเป็นรูปบูชาแบบที่ฮินดูทำ รูปปั้นพระพุทธแรกๆนั้นเป็นแนวทางของกรีกที่เผยแพร่มาตอนอเล็กซานเดอร์บุกมาถึงอินเดีย
พระพุทธรูปยุคแรกๆเลยหน้าเหมือนเทพอพอลโล่ของกรีก
ส่วนของคริสต์ยุคแรกๆก็ไม่มีรูปปั้นพระเยซูบนไม้กางเขน ไม่มีรูปปั้นพระแม่มารีย์ ไม่มีรูปปั้นพระกุมาร
แต่มีหลังจากยุคพระเยซูราวๆ 300 กว่า เพราะ คอนสแตนตินมหาราชที่เป็นจักรพรรดิของโรมัน หันมานับถือคริสต์
เลยเอาการปั้นรูปเคารพตามแบบของศาสนาเดิมของชาวโรมันที่นับถือเทพเจ้าต่างๆ
เห็นมั้ย ทั้งพุทธและคริสต์ที่มีรูปเคารพล้วนมาจากอิทธิพลจากศาสนาอืื่นที่เป็นศาสนาเดิม
ที่ร่ายยาวๆมาเนี่ยอยากแค่บอกว่า ระยะเวลามันยาวนานกว่าสองพันปี แต่ละศาสนาก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
มีการแตกเป็นนิกายต่างๆ ที่แตกนิกายเพราะคนรุ่นหลังมีแนวทางใหม่ๆ เลยแตกเป็นนิกายต่างๆ
(ยกตัวอย่างพุทธในไทยเป็นพุทธเดียวที่พระโกนคิ้ว แต่เพื่อนบ้านบางประเทศก็ทำตาม)
แต่หลักของคำสอนแต่ละศาสนายังคงอยู่ คำสอนต่างๆของแต่ละศาสดาล้วนบันทึกมารุ่นสู่รุ่น มีการเพื่อมเติมเสริมแต่งในเรื่องปลีกย่อยบางและหลักการสำคัญยังคงอยู่
ปู่ย่าผมเป็น คริสต์(คาธอลิค) พ่อแม่ผมเป็นพุทธ ส่วนผม ก็ทั้งพุทธทั้งคริสต์ล่ะ แต่เน้นเรื่องคำสอนดีๆไม่เน้นพิธีกรรมอะไรทั้งนั้น
ผมไปวัดไม่ยกมือไหว้หรือก้มลงไปกราบรูปบูชาเพราะคำสอนพระพุทธอยู่ในใจ ไม่ใช่ให้ยึดติดกับวัตถุ
ทั้งพุทธและคริสต์เลยมีนิกายใหม่ไง นิกายที่ตัดเรืองพิธีกรรมออกให้หมด ไม่มีรูปบูชา เน้นแค่เรื่องคำสอนเป็นหลัก
ของคริสต์ก็เป็นนิกายโปรเตสแตนต่างๆในสหรัฐ ของพุทธในไทยก็เห็นกลุ่มพุทธวัจนะ ที่เน้นแค่คำสอนเท่านั้น
เรื่องศาสนาเป็นความเชื่อแต่แต่ละบุคคล จะมาบังคับให้เชื่อหรือบังคับให้ไม่เชื่อกันไม่ได้จริงๆ อยู่ที่มุมมองของแต่ละบุคคลจริงๆ