เหมือนนัดชิงที่ JK มาคุมหงส์ นัดชิงที่ชิงกับทีมจากสเปนจะแพ้หมดเลย ชิงยูโรป้าแพ้เซบียา ชิง UCL แพ้มาดริด 2 หนเลย

สิ่งที่ชอบจากฝั่งมาดริดเกมส์นี้ นอกจาก class และเทคนิคของตัวเก๋าอย่าง โมดริช, โครส, คาเซมิโร่, เบนซ์ รวมถึงโค้ชอันเช่ จุดนึงที่น่าสนใจคือ ผมว่ามาดริดเป็นทีมที่เล่นลูกสูตรได้อันตราย และหลากหลายดี ชอตนึงที่ชัดเจนคือลูกฟรีคิกที่ คาเซมิโร่ดึงบอลโด่งลงมา ลูกนั้นถ้าไม่แปรส่งผิดเหลี่ยม (ซึ่งจริง ๆ ก็ส่งยากอยู่แหละ เพราะต้องเล่นจังหวะเดียว) หายแน่นอน เพราะมีตัวรอชาร์จลูบปากอยู่ประตูอย่างน้อย 3 ตัว กับอีกลูกนึงที่มาดริดทำประจำคือ เวลาฝ่ายตรงข้ามหลุดตำแหน่ง บอลจะจี้ไปที่ตำแหน่งที่หลุดเดี๋ยวนั้นเลย คือการเล่นได้แบบนี้ต้องซ้อมกันมาอย่างหนัก มีความเข้าใจเกมส์ และมีความเข้าขากันอย่างมาก

ถ้าเทียบสไตล์นี้กับทีมชาติ จะคล้าย ๆ ทีมชาติเยอรมันในยุคก่อน คือลูกฟรีคิก ลูกสแตนดาร์ดทั้งรับ ทั้งรุกโคตรแน่น และจะมีสูตรการเล่นประจำไม่เยอะ แต่ใช้แล้วมักได้ผล

เพิ่งเห็นเบลอยู่ในซีนด้วย เสียดายไม่ได้ลงส่งท้าย เพราะรูปเกมด้วยแหละ
แต่ถ้วย ต้องให้กัปตันมาร์เซโลชูเสียหน่อย ไหนๆ จะอำลาทีมหลังจบฤดูกาลแล้ว

กุตัว คือความแตกต่าง ตำแหน่งอื่นโอเค พอถึงสถานการณ์ยิงนำ มาดริดตัวเก๋าๆตันออกแสง
ผมมองอย่างนั้น ยิ่งไอ้ช้อตเซฟแบบต้องอุทานว่า อีหยังวะ
ไม่งั้นหงส์ไม่น่าจบแบบนี้..

ถูกต้องครับตามกฎ FIFA ที่ว่ามา จังหวะ rebound หรือต่อเนื่องมาจากจังหวะก่อนหน้า นับเป็นลูกล้ำหน้า แต่เหตุการณ์นี้ มี 3 จังหวะ (รบกวนดูภาพช้าหลายๆมุม)
1. บาวเวเด้ จิ้มบอลได้
2. คูนาเต้ เข้าสกัดบอลที่ออกจากเท้า บาวเวเด้ ได้
3. ฟาบินโย่ โดนบอลที่ถูกสกัดโดยเท้า คูนาเต้
สรุปเหตุการณ์เป็นคำสั้นๆได้ ว่า "ผู้เล่นลิเวอร์พูลสกัดบอลพลาดไปโดนพวกเดียวกันเอง" จึง "ไม่" สามารถให้เป็นลูกล้ำหน้าได้ครับ

สถานการณ์ตามกฎ FIFA ถ้าลูกนี้จะล้ำหน้าก็คือ ฟาบินโย่ สกัด, บล๊อก, หรือสัมผัสบอลที่มาจากเท้าบาวเวเด้โดยตรงครับ

ในกรณีลูกยิงแล้วผู้รักษาประตูปัดบอลได้ กองหน้าที่มาซ้ำจะถูกจับล้ำหน้านั้น ถ้าจะเอามาเปรียบเทียบกับกรณีนี้ก็คือ ผู้รักษาประตูปัดบอลไปโดนกองหลังฝ่ายเดียวกันแล้วเด้งมาเข้าทางกองหน้า จะถือเป็นความผิดพลาดของทีมรับเอง ก็จะไม่นับเป็นลูกล้ำหน้าครับ