ผมมีโอกาสได้นั่งข้างแฟนบอลคนหนึ่งในนัดชิงซีเกมส์ที่เวียดนาม ได้มีโอกาสพูดคุยกันระหว่างเกมถึงจังหวะและโอกาสของทั้งสองทีม ก่อนไทยจะพ่ายเจ้าภาพไป 0-1

แฟนบอลคนนั้น บอกกับผมทันทีหลังจบเกมว่า ไม่เคยชอบบรรยากาศแบบนี้ เพราะผ่านมาแล้วทั้งการเป็นนักเตะและโค้ช

ผมพยายามถามลึกลงไปถึงรายละเอียดของทีมชาติไทยในแมตช์นี้ แต่อีกฝ่ายขอร้อง เพราะไม่อยากคอมเมนท์ใด ๆ เนื่องจากหมวกอีกใบ เขาคือ เฮดโค้ช “ช้างศึก U23”

ใช่แล้วครับ เขาคือ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ (ที่ใคร ๆ ก็ไม่รัก)

จริง ๆ แล้ว เราทั้งคู่ได้พูดคุยกันตลอดตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องจากสุวรรณภูมิจนถึงโรงแรมที่พักในกรุงฮานอย ซึ่งซีเกมส์ครั้งนี้ เราทั้งคู่มาในฐานะกองเชียร์ ไม่ใช่นักข่าวและโค้ช

อย่างที่ทราบกันดี “โค้ชโย่ง” ต้องหลีกทางให้ “มาโน่ โพลกิ้ง” ทำภาระเฉพาะกิจแทน ด้วยเป้าหมายของ “มาดามแป้ง” ผู้จัดการทีม ที่อยากได้แชมป์ แม้หลายคนอยากจะให้ก้าวข้าม

กอปรกับซีเกมส์ครั้งนี้เต็มไปด้วยปัญหาก่อนทัวร์นาเมนท์จะเริ่ม โดยเฉพาะเรื่องนักเตะที่สโมสรมีสิทธิ์ไม่ปล่อย เพราะโปรแกรมที่ทับซ้อน แม้ว่าจะยอมเลื่อนคิวไทยลีกให้ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก

ดังนั้น “เหรียญเงิน” จึงไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจในแง่ของผลงาน แต่ถ้ามองที่การได้ลุ้น ถือว่า “เกินคาด” ด้วยซ้ำ

เมื่อ ซีเกมส์ พลาดหวังไปแล้ว สิ่งที่น่าสนใจต่อจากนี้คือ “U23 ชิงแชมป์เอเชีย” รอบสุดท้าย ที่อุซเบกิสถาน จะเป็นอย่างไร? เมื่อ “มาโน่” ต้องส่งไม้คืนให้ “โค้ชโย่ง”

ก่อนหน้านี้ “โค้ชโย่ง” และทีมงานที่มี “โค้ชโชค” เป็นมือขวา ได้มีแผนวางไว้แล้วเป็นสเต็ป ตั้งแต่คัดเลือกนักเตะ ตลอดจนการเตรียมทีม แต่ตอนนี้มันพังไปตั้งแต่มุ่งเป้ามาที่ “ฮานอยเกมส์” แล้ว

นับจากนี้ “โค้ชโย่ง” ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ และจะมีเวลาแค่ 8 วัน โดยจะเริ่มเรียกนักเตะซ้อม 25 พ.ค. ก่อนลงสนามนัดแรกพบคู่ปรับ เวียดนาม อีกครั้งในวันที่ 2 มิ.ย.

ยิ่งไปกว่านั้น กว่าที่ “โค้ชโย่ง” จะได้นักเตะมาซ้อมแบบเต็มทีม ก็ต้องรอหลังจบบอลถ้วย “ลีก คัพ” ที่ถูกเลื่อนไปชิงชนะเลิศวันที่ 29 พ.ค.

อย่างไรก็ตาม “โค้ชโย่ง” ได้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของ เวียดนาม กับตามาแล้ว

และจากที่ได้กระซิบถาม “โค้ชโย่ง” ตอบว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ทีม U23 ไทยชุดชิงแชมป์เอเชีย น่าจะได้นักเตะหลัก ๆ จาก บุรีรัมย์ และ ชลบุรี อย่าง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, กฤษดา กาแมน, สิทธิโชค ภาโส, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ มาช่วยเติมเต็ม

รวมถึงแข้งต่างแดนอย่าง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร (เลสเตอร์ ซิตี้) และ อชิตพล คีรีรมย์ (เอาส์บวร์ก ทู) มาเสริมแกร่ง บวกกับนักเตะที่สอบผ่านจากซีเกมส์อย่าง โจนาธาร เข็มดี, เบนจามิน เดวิส, ชยพิพัฒน์ สุพรรณเภสัช

งานนี้ก็อยู่ที่ “โค้ชโย่ง” จะปรุงแต่งชุดนี้ออกมาให้จี๊ดจ๊าดมากแค่ไหน? แน่นอนว่านักเตะทุกคนมีความตั้งใจเกินร้อย ความมุ่งมั่นเกินล้าน

ถ้าผลลัพธ์ออกมาแจ่มแมว “โค้ชโย่ง” ที่ใคร ๆ ก็ไม่รัก อาจจะมีแฟนคลับเพิ่มขึ้น (เจ้าตัวพูดเองพร้อมหัวเราะ555) แต่ถ้าล้มเหลว ก็เตรียมตัวเตรียมใจตัวใครตัวมัน

แต่ที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลยก็คือ “นายกสมาคมฯ” ไม่ใช่เก็บตัวเงียบและโยนทุกอย่างไปให้ “โค้ช” และ “ผู้จัดการทีม”

เวลาผมดูพี่โย่งคุม ยอมรับตามตรง สายตาผมอาจจะยังไม่เก่งหรือศึกษามาไม่ดีพอ

แต่ผมไม่รู้เลยว่าฟุตบอลของพี่โย่งทรงไหน ไม่อยากเห็นพี่เป็นเสือกระดาษในทางสายนี้

ผมเอาใจช่วยพี่นะ แต่แบบ พี่เรียกศรัทธาคนดูหน่อย

ซีเกมส์น่าใช้โย่ง
แล้ว U-23 Asia ควรใช้มาโน่มากกว่ารึเปล่านะ

ถ้าถามผม โค้ชที่คุมซีเกมส์ กับ ยู-23 เอเชีย ควรเป็นทีมงานเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นโค้ชโย่งหรือไม่
อันนี้ยังดีว่าโค้ชโย่งได้เห็นนักเตะที่ไปซีเกมส์ว่าคนไหนมีแววลงนัดชิงแชมป์เอเชียด้วย

ให้มาโนมีสมาธิกับชุดใหญ่ไปเลยดีกว่า ตอนนี้เจ้าตัวต้องให้จเด็จ ไปคุมทีมแทนจนกว่าจะกลับมา

ล่าสุดมาดามแป้ง ดึงซัลบา ที่เป็นโค้ชยู-19 จากเอคโคโน มาผนึกกำลังเพิ่มกับโค้ชโย่งและโค้ชโชค จะออกมายังไงก็อยากเห็นอยู่

เอาตรงๆเลย มาดามแป้งไม่ควรไปปรับอะไรให้มันซับซ้อน เพราะชุดซีเกมส์โค้ชวางแผนไว้หมดแล้วยาวไปถึงU23เอเชีย

หน้าที่ของมาดามแป้งคือเลือกโค้ช นายกบอลไทยตั้งมาเพื่อให้หาโค้ชในแต่ละชุด แต่มาดามแป้งเข้ามาเลือกโค้ชแล้ว

พอใกล้แข่งเปลียนโค้ชเฉย แล้วยังเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับบริษัทไทยลีกอีก ชุดใหญ่ต้องโยกจเด็ดมาคุม ระบบมั่วไปหมด

ถ้าไม่อยากได้โค้ชโย่งก็ไล่ออกไปสิ ตั้งมาโน่คุมไป แล้วหาโค้ชชุดใหญ่คนอื่นใหม่ ทำงานให้เด็ดขาด เพราะโย่งกับมาโน่

สไตล์ไม่เหมือนกัน รุ่นเดียวกันแต่ดันบ้าให้เฮดโค้ช 2 คน คนละสไตล์มาคุมเนี่ยนะ โย่งเล่นรับรอสวนเพราะถนัดลงมาอุด

แล้วก็..โยนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ส่วนมาโน่เล่นบุกเน้นบอลพื้นแต่เกมรับห่วย แต่ช่วงหลังๆทรงบอลเริ่มมั่วๆ

โอกาสเข้ารอบอยู่ที่นัดแรกชี้ชะตาเลย แล้วทีมชุดนี้ก็เตรียมตัวไม่ดีอีก

เพราะงั้นคงต้องเชียร์ไปขำๆ