ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
27 December 2021 05:09 by เบน ฟรีคิก
สมราคา Boxing Day กล่องสุ่มยิงกันขี้กระจาย






ผมเปลี่ยนช่องไปดู 3 คู่ที่เหลือสลับๆกันหลังคู่หลักที่เปิดไว้อย่าง แมนฯซิตี้ นำ เลสเตอร์ แบบปิดงานไว 4-0 ภายใน 25 นาที

ครึ่งหลังแวะมาเยี่ยมชมเป็นระยะๆจนขยับจาก 4-1 จนไปจบที่ 4-3 โดยใช้เวลาแค่ 10 นาทีเลยต้องกลับมาประจำการที่คู่นี้อีกหน (ด้วยอารมณ์ตกใจ)

แต่ด้วยความที่ลูกเซ็ตพีซของ “จิ้งจอก” หมูตู้ยืนหนึ่งในซีซั่นนี้จึงสังเวยลูกเตะมุมให้ “เรือใบ” ในสกอร์ 5-3 ทำให้เราอดเห็น “ดราม่า” ที่เวลาเหลือๆกว่า 20 นาทีอย่างน่าเสียดาย

เป๊ป กวาดิโอล่า อาจต้องชำแหละแนวรับหลังจบเกมกันพอสมควรเพราะเสีย 3 ประตูในเกมเดียวก็ว่าหนักแล้วแต่การโดนภายใน 10 นาทีไม่ใช่มาตรฐานบอล “เป๊ป” แน่นอน

ถ้าใครดู ซิตี้ เล่นมาตลอดจะเห็นได้ว่า เป๊ป จะสั่งและเน้นลูกทีมให้พยายามเบิกร่องเม็ดแรกและปิดเกมให้จบไวที่สุด

เราจึงมักเห็นผู้เล่น “เรือใบ” โหมบุกแบบกะเอาตายตั้งแต่วินาทีแรก ผมมองว่าการเจอบอลขึงระดับ ซิตี้ หากปล่อยให้สกอร์ค้าง 0-0 นานมากเท่าไหร่คู่แข่งจะตั้งสติและมั่นใจมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

วันนี้ต้องชม ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ฟอร์มกลับเข้าฝั่งเหมือนสมัยช่วงพีคๆ มีส่วนร่วมกับเกม ไม่เลอะเทอะเหมือนเก่าก่อนมีชื่อทำ 2 ประตูในเกมนี้

จากการขนผู้เล่นชุดใหญ่เจอ ลิเวอร์พูล ใน คาราบาว คัพ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาทำให้ “จิ้งจอก” ที่มีผู้เล่นตัวจริงเจ็บไปหลายคนก่อนหน้านี้กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีก 3 โดยหนึ่งในนั้นเป็น เจมี่ วาร์ดี้

ดังนั้นประเมินจากสภาพทีมดังกล่าวการยิง ซิตี้ ได้ 3 ลูกเป็นอะไรที่น่าตกใจด้วยซ้ำแม้ในบั้นปลายจะโดนไปเต็มๆ 6 ลูก

นับตั้งแต่โควิดระบาดใหม่รอบนี้ผมมีความรู้สึกกว่าการไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ขาดอรรถรสไปพอสมควร

กล่าวคือการเลื่อนของแต่ละคู่ทำให้จำนวนเกมเริ่มเหลื่อมกัน ตัวเลขมั่วไปหมดและตอนนี้ แมนฯซิตี้ ทิ้งอันดับ 2 อย่าง ลิเวอร์พูล และ เชลซี ห่างเป็น 6 แต้มแล้ว

การลงเล่นโดยรู้ว่าคู่แข่งเตะไปแล้วและชนะไปแล้วย่อมยากกว่าในแง่ของจิตวิทยา

ในขณะที่หลายๆทีมติดโควิดและต้องลงเล่นโดยขาด key players แต่ “เรือใบ” ต้องบอกว่าแทบไม่มีผลกระทบและเก็บงานละเอียดโดย 3 นัดหลังสุดไล่ยิงชาวบ้านถึง 17 ลูก

จนตอนนี้กวาดสถิติมาเป็นของตัวเองหมดแล้ว ไล่ตั้งแต่ยิงมากที่สุด 50 ลูกเท่า “หงส์แดง” (แต่เตะมากกว่า 1 นัด) เสียน้อยที่สุด 12 ลูกและประตูได้เสียมากที่สุด +38

อย่างที่ผมบอกครับ “เรือใบ” เป็นทีมที่แช่งยากเอามากๆ ทีมสุดท้ายที่ให้ความรู้สึกแบบนี้คือ เชลซี สมัย โจเซ่ มูรินโญ่ ในฤดูกาลแรกที่แกเข้ารับงาน (2004-05)

คือปีนั้น “เดอะ สเปเชี่ยล วัน” แพ้แค่นัดเดียว ชนะ 29 นัดเสมอ 8 เรียกว่าคู่แข่งที่ตามหลังท้อไปตามๆกัน

แต่จุดสังเกตคือ “น้ามู” แกเน้นแท็คติกส์เกมรับทำให้เสียไปแค่ 15 ลูกแถมเก็บคลีนชีตถึง 25 ส่วนประตูยิงไป 72

อันนี้เป็นการเปรียบเทียบเบาๆเพราะกำลังจะบอกว่า เป๊ป สร้างจุดแข็งทั้งรุกและรับได้สมดุลกว่าในรูปแบบการเล่นสมัยใหม่คือใช้ความเหนือกว่าทั้งความฟิตและฝีเท้า “เพรส” คู่แข่งให้เสียบอลตั้งแต่หน้าเขตโทษตัวเอง ถ้ารู้ว่าไม่ไหวไม่อยากเสียบอลบริเวณนี้จงเตะทิ้งเปลี่ยนการครอบครองบอลมาซะดีๆ

ดูแล้ว ซิตี้ คงกวาดแต้มเพลินๆอย่างต่อเนื่องด้วยการเล่นรูปแบบนี้ซึ่งเพียงพอแต่หนักหนาสำหรับทีมอย่าง ลิเวอร์พูล และ เชลซี ที่เรายังไม่ได้ไปพูดถึงเดือนมกราคมที่ แอฟริกัน เนชั่น คัพ กำลังจะระเบิดแข้งเลยด้วยนะ

สำหรับโปรแกรมคู่อื่นในวันบ็อกซิ่งเดย์ถือว่ายิงกันกระจุยกระจาย ผมคงไม่ได้ไปลงรายละเอียดมากเพราะไม่ได้นั่งแช่ดูแต่ย้อนกลับมาดูไฮท์ไลท์และอ่านรูปเกมจาก เดลี่ เมล แบบไวๆ

อาร์เซนอล บุกสอนบอล นอริช 5-0 อันนี้หลายคนลงความเห็นกันว่าลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ในยุคไร้ “โอบา” เล่นเป็นทีมขึ้นกว่าเดิมเยอะและออกบอลไว ไหลลื่นขึ้น สามารถแกะเพรสแบบเนียนๆ

ที่สำคัญคือยามอยู่ในเขตโทษเมื่อต้องจบสกอร์ก็คือเป็นประตู พอบอลนำห่างจะหยิบจับอะไรทีนี้ก็ง่ายไปหมดโดยเฉพาะ บูกาโย่ ซาก้า วันนี้ซ้ายฉมังยิงคมกริบทั้ง 2 ลูก

“ปืนใหญ่” ชนะ 3 นัดรวดยึดที่ 4 เอาไว้ได้อีกสัปดาห์แต่คงต้องไปตามแช่ง สเปอร์ส อริร่วมเมืองกันหนักๆเพราะทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ บอสใหญ่ตาม 6 แต้มและมีเกมในมือถึง 3 นัด

“ไก่เดือยทอง” เอาชนะ คริสตัล พาเลซ​ แบบไม่ยากเย็น 3-0 โดยเกมจบตั้งแต่ครึ่งแรกที่นำห่าง 2 เม็ดและ วิลเฟร็ด ซาฮา เจ้าอารมณ์ไม่ดูเวล่ำเวลาถูกเหลืองแดงในนาที 37

คู่นี้ผมเปิดดูนานกว่าคู่อื่นๆ (หลัง ซิตี้ นำ 4-0) ครึ่งแรกผมเห็นรูปเกมแล้วคล้ายๆ ไทย เจอ เวียดนาม คือไลน์หลังของ “ปราสาทเรือนแก้ว” ดันสูงแต่กลางดันง่อยมาก

แล้วรู้ๆกันอยู่ว่า “คลับไก่” ถ้ามืพื้นที่สวนดุแค่ไหน เรียกว่ามาทีเป็นแผงแล้วต้องบอกว่าแนวรับของ พาเลซ ก็ไม่ได้แข็งโป๊กหรือนิ่งจะควบคุมอะไรโดยลำพัง

3 ประตูที่เสียในเกมนี้มาจากการเปิดบอลทางพื้นที่แบ็คซ้ายของ ไทริค มิตเชลล์ ทั้งหมด เป็นบอล 11 ต่อ 10 ที่สู้กันไม่ได้กับอัตราการครองบอล 60/40 และโอกาสที่เทียบไม่ติด 23 ต่อ 4

สเปอร์สของ “น้าคอน” ถูกปรับแต่งตอนนี้ขยับจากอันดับ 8 ในสมัย นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ขึ้นมาอยู่ที่ 5 และกวาดชัยชนะ 4 จาก 5 นัดหลังสุด

มีการเผยตัวเลขในการ “วิ่ง” ของนักเตะ “ไก่” นับตั้งแต่ คอนเต้ เข้ามาคุมทีมมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 15 กิโลเมตรต่อเกม ถือว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของลีกไปแล้ว

ผมขอปิดท้ายที่ เชลซี คู่ 00.30 น. ตอนแรกดูจากรูปเกม เชลซี เหมือนเป็นฝ่ายควบคุมทุกอย่างเพราะครองบอลเหนียวแถมไม่ผลีผลามด้วย

นักเตะ แอสตัน วิลล่า พยายามไล่พอโดนเคาะเรื่อยๆก็เลิกไล่ถอยไปคุมโซนเพื่อรอสวนตามสไตล์ของ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด กุนซือไฟแรงที่วันนี้ไม่ได้มายืนสั่งการเพราะติดโควิด

ปัญหาของ วิลล่า คือจังหวะสวนมีตัวเร็วๆวูบวาบเยอะนะแต่ยังขาดความเข้าใจในจังหวะสุดท้ายว่าควรต้องส่งให้เพื่อนมากกว่าดื้อยิงเอง ผมเห็นแบบนี้ราว 2-3 หน

ประตูขึ้นนำแบบเฮงๆจากการทำเข้าประตูตัวเองของ รีส เจมส์ ช่วยให้ วิลล่า ได้เปรียบอยู่แค่ 6 นาที

ผมไม่เข้าใจว่า แมตธิว แคช คิดอะไรอยู่ถึงสไลด์ทำฟาว์ล คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย จากด้านหลังทั้งๆที่จังหวะยังไงก็เล่นไม่ได้แล้ว จุดโทษแบบไม่ต้องคิดมาก ไม่มีเพื่อนคนไหนมาต่อล้อต่อเถียงผู้ตัดสินแม้แต่คนเดียว

เชื่อว่าถ้ายื้อให้สกอร์จบครึ่งแรก 1-0 ผมมองว่าเกม “ตึง” กว่านี้แน่แต่โฉมของเกมเปลี่ยนไปเมื่อ โธมัส ทูเคิ่ล โชว์การแก้เกมพักครึ่งด้วยการถอดกองหลังคือ ชาโลบาห์ ออกแล้วส่ง “บิ๊กตู้” ลูกากู ลงมาล่าตาข่าย

เกมรับก็หุบ เจมส์ เข้ามายืนเป็นเซนเตอร์ฝั่งขวาและถ่าง คริสเตียน พูลิซิช มาเลื้อยเป็นวิงแบ็คขวาแทน

จากสกอร์ 1-1 จบที่ 3-1 มาจาก ลูกูกา ล้วนๆที่โหม่ง 2-1 และเรียกจุดโทษทดเจ็บ 90+2

นี่คือชัยชนะนัดแรกในรอบ 3 นัดหลังเสมอมารวด 2 นัดเลยต้องรับบทผู้ตามและต้องคอยระวังหลังอย่างหนักหลังเสียงหายใจของทั้ง อาร์เซนอล และ สเปอร์ส ดังหืดหาดอยู่ด้านหลังเบาๆเข้ามาทุกที

สถิติ สถิติ สถิติ

ในเกมที่ แมนฯซิตี้ ถล่มเลส เลสเตอร์ 6-3 มีรายชื่อคนยิงไม่ซ้ำถึง 8 คน มีเพียงเกมที่ สเปอร์ส แพ้ อาร์เซนอล 4-5 ในปี 2004 เท่านั้นที่มีคนยิงไม่ซ้ำในเกมเดียว (9 คน)

“เรือใบ” เป็นทีมที่ 3 ที่ทำประตูจาก 2 จุดโทษภายใน 25 นาที โดยก่อนหน้านั้นทีมที่ทำได้คือ เวสต์แฮม พบ แมนฯยูฯ ในปี 2011 และ ลิเวอร์พูล พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2007

ริยาด มาห์เรซ เป็นนักเตะคนที่ 3 ที่ยิง 3 ประตูใส่ เลสเตอร์ “ทีมเก่า“ โดยคนที่เคยทำไว้คือ คริส วู้ด (4) และ เอมิล เฮสกี้ (3)

เลสเตอร์ เสีย 3 ประตูใน 21 นาทีนับว่าเลวร้ายแล้วแต่เคยเน่ากว่านี้หลังตามหลัง แอสตัน วิลล่า 3-0 ภายใน 15 นาทีเมื่อปี 2003 มาแล้ว

เกมที่ เอติฮัด สเตเดียม เป็นเกมบ็อกซิ่งเดย์เกมแรกที่ยิงกัน 9 ประตูและจำนวนประตูยิงมากที่สุดนับตั้งแต่ แมนฯยูฯ บุกเอาชนะ โอลด์แฮม 6-3 เมื่อปี 1991

เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ เป็นนักเตะรายที่ 3 ที่ยิงและจ่ายในเกมเดียวกันในการเจอกับ “ทีมเก่า” แมนฯซิตี้ ตามหลัง พอล ดิกคอฟ ที่ทำไว้กับ เลสเตอร์ เมื่อปี 2003 และ เจมส์ มิลเนอร์ กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2016

อาร์เซนอล ต้อน นอริช 5-0 เป็นชัยชนะด้วยจำนวนต่างของประตูมากที่สุดในนัดเยือน เป็นสถิติร่วมกับเกมที่เคยบุกเอาชนะ มิดเดิลสโบรห์ 6-1 เมื่อปี 1999 และ เอฟเวอร์ตัน เมื่อปี 2009

บูกาโย่ ซาก้า (20 ปี 112 วัน) เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของ อาร์เซนอล ที่ยิง 10 ประตูใน พรีเมียร์ลีกตามหลัง นิโกลาส์ อเนลก้า ที่เคยทำไว้ (19 ปี 225 วัน)

เอมิล สมิธ โรว์ เป็นนักเตะคนที่ 2 ของ อาร์เซนอล ที่ยิงประตูในฐานะตัวสำรอง 3 เกมในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันนับตั้งแต่ “พี่แป้ง” โทมัส โรซิคกี้ ทำไว้เมื่อเดือนกันยายน 2009

โรเมลู ลูกากู ยิง 9 ประตูใน 10 นัดที่เจอกับ แอสตัน วิลล่าและไม่เคยยิงคู่แข่งทีมไหนใน 5 ลีกใหญ่ได้มากกว่ายิง วิลล่า อีกแล้ว

จอร์จินโญ่ ยิง 9 จุดโทษใน พรีเมียร์ลีกแล้ว โดยครองสถิติยิงจุดโทษในปฏิทินเดียวมากที่สุดเท่า แมทธิว เลอทิส ซิเอร์ ในปี 1994 และ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ในปี 2004

นับตั้งแต่ โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามาคุมเกมแรกให้ เชลซี เมื่อเดือนมกราคม “สิงห์บลู” ยิงจุดโทษใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 11 ลูก มากกว่าทุกๆทีมทั้งหมด

แอสตัน วิลล่า แพ้ 7 นัดใน พรีเมียร์ลีกในเกมที่พวกเขาเป็นฝ่ายยิงขึ้นนำไปก่อน นับเป็นสถิติมากที่สุดในปฏิทินเดียวร่วมกับ เอฟเวอร์ตัน ที่เคยทำไว้ในปี 1999 และ วีแกน ในปี 2006

ไม่มีนักเตะคนไหนทำประตูในวันบ็อกซิ่งเดย์มากไปกว่า แฮร์รี่ เคน อีกแล้ว (9 ประตูเท่า ร็อบบี้ ฟาวเลอร์)

วิลเฟร็ด ซาฮา ถูกไล่ออก 5 หนในทุกรายการกับ คริสตัล พาเลซ, มากกว่านักเตะคนไหนๆถึง 3 ครั้งนับตั้งแต่ drbut เมื่อปี 2010 รวมถึงยังเป็นนักเตะคนแรกของ “เดอะ อีเกิ้ลส์” ที่ถูกใบแดงใน พรีเมียร์ลีก ในวันบ็อกซิ่งเดย์อีกด้วย

เจมส์ วอร์ด เพราส์ (10 จุดโทษ, 11 ฟรีคิก) เป็นนักเตะคนที่ 4 ที่ยิง 10 ประตูหรือมากกว่าใน พรีเมียร์ลีก ผ่านจุดโทษหรือฟรีคิก นับตั้งแต่ เธียร์รี่ อองรี, คริสติอาโน่ โรนัลโด้ และ เอียน ฮาร์ท เคยทำได้มาก่อนหน้านี้

นับตั้งแต่ เดวิด มอยส์ เข้ามาคุม เวสต์แฮม เมื่อเดือนมกราคม 2020 ไม่มีสโมสรไหนอีกแล้วที่ทำประตูจากสถานการณ์ลูกเตะมุมเท่าพวกเขา (23 ลูกเท่า ลิเวอร์พูล)


แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Mon Dec 27, 2021 05:13, ทั้งหมด 1 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออนไลน์
แขวนสตั๊ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 15 Oct 2009
ตอบ: 66190
ที่อยู่: Juventus Stadium
โพสเมื่อ: Mon Dec 27, 2021 05:41
[RE: สมราคา Boxing Day กล่องสุ่มยิงกันขี้กระจาย]
ถ้าสูงสเต็บรวยเละไปละ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel