ดาวเตะลา ลีกา
Status: English please
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Sep 2017
ตอบ: 4061
ที่อยู่: Bangkok
โพสเมื่อ: Mon Apr 19, 2021 00:17
[RE: ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันครับ]
ผมเคยพยายามฆ่าตัวตายครั้งแรกเพราะเรื่องความรัก ยังจำได้ ว่าตอนนั้นมันแค่ เจ็บ จนเกินจะทน ไม่ได้คิดว่าเค้าหรือใครคนอื่นจะคิดยังไง ไม่ได้ประชดใคร มันเหมือนเราถูกเสียบไม้ย่างไปช้าๆ เราก็เลยแค่อยากหนีจากความเจ็บปวดแค่นั้นเอง
ปอดแหก ใช่ ก็เคยโดนด่ามาแล้ว ผ่านมาแล้ว
จนหลายปีผ่านไป แก่ขึ้น ความเจ็บปวดพวกนั้น ซึมลึกลงเป็นแผลเป็นในใจคนอายุ 30 กลางๆ แต่เราก็ "อยู่ไป" ไม่ได้อะไร ยังไงซะ หน้าที่การงาน เงินเดือน อะไรๆ ก็ดีกว่าคนอีกเยอะแยะ กินเหล้าทุกอาทิตย์ก็ได้
จนอาการป่วยมาเยือน ภูมิแพ้ ตุ่มหนองขึ้นมาเป็นแพ อักเสบ ถึงจุดหนึ่งก็ทั้งตัว พันตัวเองเป็นมัมมี่ ผมร่วง น้ำหนักลดไป 9 กิโล ทุกอย่างรอบตัวเละไปหมดเพราะเราไม่แค่แค่ต้องลาออกจากงาน แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย ห้องก็สภาพแย่ เสื้อผ้าที่นอนก็มีแต่คราบเลือดคราบหนอง
นอนเจ็บปวดครวญครางคนเดียวบนเตียง
เวลาผ่านไปนานเข้า เราก็ไปอ่านปริญญานิพนท์ของเด็กเมกัน เรื่องการฆ่าตัวตายด้วยการเผาถ่าน ยังจำสูตรได้เลยว่าพื้ันที่เท่าไหร่ ต่อถ่านเท่าไหร่ ใช้เวลาเท่าไหร่
ไม่มีน้ำตา ไม่มีเพลงเศร้า ไม่มีการบอกลาใคร ไม่ได้ส่ง sms ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ซื้อกับข้าวที่อยากกิน เบียร์ 3 ขวด แล้วก็เผาถ่านไปช้าๆ ในห้องตัวเอง แล้วก็หลับไป จนสุดยอดแห่งความทรมานมาเยือน พิษคาบอนด์มอนน็อกไซด์มัน... เกินบรรยายจริงๆ
แต่จริงๆ ตอนนั้นที่ตืนมา เสียใจมากกว่า ที่เราไม่ตาย เพราะความเจ็บปวดแห่งชีวิตก็ยังอยู่ ภูมิแพ้ก็ยังเป็น ยังตกงาน ยังเสียแฟนไป ยังเป็นคนที่ล้มเหลวทุกอย่างในชีวิต
2 ปีผ่านไป มาจนตอนนี้ มันไม่ได้อยากตายนะ แต่ช็อคบ้าง ที่กลับมาป่วยอีก และหนักกว่าเดิม หน้าที่การงานที่คิดว่ามั่นคงมาก ก็ต้องยอมทิ้งไป เพราะเราเละมากจริงๆ
แม่ ก็เป็นพวกคนหัวตะวันตก เค้าตั้งคำถามเรื่องความดีงาม บาปบุญ สถาบันฯลฯ ให้ผมได้ยินตั้งแต่ผมยังเด็กๆ เราก็รับรู้กัน ว่าชีวิต ที่สุดแล้ว มันก็ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตาย ถึงเราจะรักกันแค่ไหน เป็นแม่ลูกกัน แต่ก็ยังต้องแยกชะตาชีวิตกัน
ผมเลยไม่ค่อยได้ถึงกับคิดว่า ไม่อยากตายเพราะสงสารแม่ คือ ก็สงสารแก เพราะรู้ว่าแกรักผมมาก แต่ความหัวสมัยใหม่ของบ้านเราก็ทำให้ผมคิดว่า แกจะเข้าใจ
หรือถึงไม่เข้าใจ อย่างไรเสีย มัน ก็คือชีวิตผม ที่ผมเจ็บปวดคนเดียวมาตลอด ต่อให้เป็นแม่ แกก็ได้แค่เห็นใจ เสียใจ แต่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ ไปพร้อมกันได้ ดังนั้นสิทธิ์ขาดมันก็เป็นของตัวผมนั่นแหละ และเมื่อใช้ชีวิตมาขนาดนี้ ก็ไม่ค่อยได้แคร์แล้ว ว่าใครจะอยากไปเถียงกับผมต่อในนรก
แบบ เอาแค่มึงแบ่งภูมิแพ้กูไปให้ได้ครึ่งนึง กูก็ยอมละ แต่แน่ล่ะ มึงทำไม่ได้ มึงก็ได้แค่โลกสวยในแบบของมึง เอาโลกของตัวเอง มาว่าคิดว่าจะเหมือนโลกของคนอื่น
โง่แบบพวกเผด็จการชัดๆ
วินาทีนี้ยังอยู่ ก็อยู่ไปงั้นๆ มันก็มีแง่บวก คือคิดจะกลับบ้านไปอยู่กับแม่กับน้อง ขอแค่หายป่วย ส่วนเรื่องศักดิ์ศรีหน้าที่การงานอันไฮโซในเมืองกรุง เงินเดือนอันอู้ฟู่ ก็ ทำไงได้ ทำไงได้
ให้อนาคตมันบอกเอา จริงๆ ผมและครอบครัวเกิดและโตที่กรุงเทพ ก็เลยคิดมาตลอดว่าเข้ามาเรียนและทำงานนี่เหมือน "กลับบ้าน" มากกว่า
แต่ตอนนี้ ต้อง "กลับ" ไปต่างจังหวัดแทน ก็ให้หัวใจมันพาไปแล้วกัน
อยู่ได้ก็อยู่
อยู่ไม่ได้ ก็ตาย ณ ตอนนี้เฉยๆ แล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย Singularity S เมื่อ Mon Apr 19, 2021 00:20, ทั้งหมด 2 ครั้ง