ไม่ใช่ เชลซี ที่เราเคยเห็น / โชต้า ไม่หวือหวาแต่คมกริบ
เชลซี 2-5 เวสต์บรอมวิช
หลังเบรกทีมชาติไป 2 วีค ผมแทบไม่ได้ดูหรือเฝ้าติดตามอะไรเลย เห็นแค่ผลการแข่งขันแว่บๆ คือรู้สึกเบื่อกับบอลระดับนี้มาพักใหญ่ๆละ ตั้งใจรอดูทัวร์นาเมนท์รอบสุดทีเดียว
ยิ่งพวกเนชั่น ลีก ที่มาแทนที่กระชับมิตร ทำให้นักเตะต้องห้ำหั่นแบบ intensive กลายเป็นใช้พลังงานหนักเกินใช่เหตุ
ผมไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกันไหมแต่ เชลซี กลายเป็นทีมแรกที่เจอพิษ “รอยต่อ” จากที่กำลังฮ็อตๆประเดิมหลังเบรกทีมชาติด้วยการแพ้ เวสต์บรอมวิช คาบ้าน ด้วยสกอร์เละเทะ 5-2
ด้วยยี่ห้อ โทมัส ทูเคิ่ล ที่ตั้งแต่มาคุมทีมยังไม่แพ้ใคร 11 นัดและเก็บคลีนชีตมา 7 นัดทุกรายการ
การขึ้นนำ 1-0 จาก คริสเตียน พูลิซิส ตั้งแต่นาที 27 เราก็ได้กลิ่นอายของ “สูตรสำเร็จหนังฮีโร่” ที่สกอร์น่าจะมีไหลแน่นอน
ยิ่ง “มวยโลก” ของ บิ๊กแซม เตะมาจะจบฤดูกาลอยู่แล้ว (29 นัด) เพิ่งยิงไป 20 ลูก เฉลี่ยนัดละไม่ถึงลูก จะเอาอะไรมาสู้ “สิงห์บลู” ที่มีแรงจูงใจใช้เกมนี้ทำแต้มหนี เวสต์แฮม อันดับ 5 จาก 2 เป็น 5 แต้ม
แต่ “จุดเปลี่ยน” ดันเกิดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแค่ 2 นาทีหลังจากนั้น
ธิอาโก้ ซิลวา ถูกเหลืองแดงไล่ออกจากจังหวะที่กระโดดบล็อกบอลจนกลายเป็น follow through ใส่ เปเรร่า
ถือเป็นความซวยของทั้ง เชลซี และ อดีตแข้ง เปแอสเช เพราะเจ้าตัวบล็อกบอลแถมหันหน้าหนีแต่ด้วยภาพที่กระโดดลอยตัวบวกกับการ action เจ็บของ เปเรร่า ทำให้ เดวิด คุ๊ต ผู้ตัดสินไม่ลังเลที่จะเชิญออกจากสนาม
ผมคิดว่าจังหวะนี้ VAR ควรสะสางปัญหาแบบนี้เพราะผมคิดว่าภาพที่เห็นมันดูน่ากลัวแต่ถ้าภาพช้ามันอาจทวงคืนความยุติธรรมและเปลี่ยนผลการแข่งขันของเกมนี้ได้เลย
แต่กระนั้นตอนเหลือ 10 ตัว “สิงห์บลู” มีจังหวะสวนกลับที่จะปิดเกม 2-0 ก่อนพักครึ่งแค่นาทีเดียว
มาถึงบรรทัดนี้แล้วบอลมันควรจบครึ่งแรกที่สกอร์นี้ใช่ไหมครับแต่บอล direct ที่ แซม จอห์นสตัน หวดจุดพลุจน เปเรร่า หนีล้ำหน้าเข้าไปกระดกยิงตอนทดเจ็บนาทีที่ 2
1-1 เหลือ 10 ตัวกับเวลาที่กำลังจะหมดครึ่งแรกบั่นทอนจิตใจแข้ง เชลซี มากพอยอยู่แล้วแต่ทดเจ็บนาทีที่ 5 หรือ 3 นาทีหลังจากนั้นความผิดพลาดของเจ้าถิ่นที่เราแทบไม่ได้เห็นนับตั้งแต่ ทูเคิ่ล เข้ามาคุมทีม
คนที่รับไปเต็มๆหนีไม่พ้น รีส เจมส์ ที่ทำลายทุกกฏของการเล่นกองหลังคือคุณกระดกบอลย้อนให้เพื่อนเล่นยากหน้าประตูตัวเอง
ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไรดลใจให้แกเล่นแบบนั้น ทั้งๆที่มีทางเลือกง่ายกว่านั้น 2 ทางคือพลิกบอลแล้วหวดสาดทิ้งขึ้นมาหรือแตะให้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ยืนหันหน้าพร้อมเล่นพร้อมหวดทิ้งแทนอยู่แล้ว
ความซวยจึงไปตกที่ จอร์จินโญ่ ที่วันนี้กลายเป็น “บ่อ” เสียบอลง่ายๆจนเหมือนคน “เสียสูญ” ไปนานแล้วทำให้ลูกนี้แกตกใจเลยโหม่งส่งเดชบอลไปเข้าทางทีมเยือนจนกลายเป็นที่มาของประตูช็อกโลก 2-1
ครับ เชลซี พลาดจนสถานการณ์เปลี่ยนแต่สิ่งนึงที่อดชื่นชมไม่ได้เลยนั่นคือ “มวยโลก” เล่นโคตรดีและน่าจะดีที่สุดในฤดูกาลนี้แล้ว
หลายคนอาจจะคิดในใจว่าก็บุกมายิง “สิงห์บลู” 5-2 ยังไงก็ดีที่สุดป่าววะ
แต่จังหวะ “เคาเตอร์แอทแทค” ที่ลำเลียงบอลขึ้นมามีกลิ่นอายของพวก top team ผิดวิสัยทีม “รองบ๊วย” เอามากๆ
รวมถึงจังหวะการจบสกอร์ ทั้งนิ่งและมีออร่าที่มันไม่เหมือนทีมท้ายตารางยิง อันนี้ผมอธิบายไม่ถูกจริงๆ
อย่างไรก็ตามคุณสมบัติของ เวสต์บรอมฯ เหมือนกับเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ต้องมาหนีตกชั้นและเพิ่งชนะเกมที่ 4 จาก 30 นัดด้วยเหตุผลง่ายๆครับคือพวกเขาเล่นแบบนี้ได้ไม่ทุกนัด
ตรงนี้เป็นการคัดสรรแยกระหว่างทีมใหญ่และเล็ก คุณเล่นตามมาตรฐานสม่ำเสมอแค่ไหน
การแพ้พลิกล็อกแบบไม่มีใครคาดคิดทำให้ “เฮียหวัง” บรรดาทีมอันดับ 5-8 ไฟลุกโชนขึ้นมาทันที
ด้วยความเคารพวันนี้ ทูเคิ่ล โรเตชั่นจากเกมทีมชาติโดยเฉพาะแนวรับที่เป็นเสาหลักอย่าง อันเดรส คริสเตนเซ่น และ อันโตนิโอ รุดิเกอร์ นั่งสำรองทั้งคู่ รวมถึง เมสัน เมาท์ ที่ลงมาครึ่งหลัง
ดังนั้นผมมองว่าเกมนี้เป็นการ “ปลุก” เชลซี (อาจจะปลุกแรงไปนิด) ให้ลืมสถิติไร้พ่ายและคลีนชีตเพื่อกลับมาสู่สภาวะปกติ
ถ้าผมจำไม่ผิดก่อนหน้านี้ผมเคยพูดถึงช่วงอันตรายจากโปรแกรมของ “สิงห์บลู” ที่จะเจอของหนักทั้งเดือนพฤษภาคมถึง 5 นัดไม่ว่าจะ ฟูแล่ม, แมนฯซิตี้, อาร์เซนอล, เลสเตอร์ และ วิลล่า
การแพ้ “มวยโลก” คา สแตมฟอร์ดบริดจ์ จึงเปรียบเสมือน “แต้มบุญ” ที่ทำหล่นหายไปกับตาและแอบเสียวแทนจริงๆ
อาร์เซนอล 0-3 ลิเวอร์พูล
สำหรับบิ๊กแมทช์คู่นี้ถ้าบอกสกอร์ไลน์ก่อนเกมคงใช้คำว่า “เกินคาด” แต่หากได้ดูจากรูปเกมที่ ลิเวอร์พูล ครองบอลแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่ 10 นาทีแรกเป็นต้นไปยัน 90+5 ต้องบอกว่ายิงน้อยไปด้วยซ้ำ
การขาด ชาก้า ตัวเบรกเกมในแดนกลางทำให้ อาร์เซนอล เป็นรองหนักซึ่งเราได้เห็น ติอาโก้ และ ฟาบินโญ่ ผนึกกำลังเก็บกิน “ขึงเกม” แทบจะวันเวย์
ในช่วงแรกถ้าใครสังเกตจะเห็นได้ว่าทั้งคู่มาแท็คติกเดียวกันคือพยายาม “เพรส” เพื่อหยุดยั้งการตั้งบอลจากแดนหลังขึ้นมา
แน่นอนครับไม่มีใครกล้าเสี่ยงยามที่ถูกบีบจนไม่มีทางเลือกแต่ที่มันต่างกันคือเมื่อ ลิเวอร์พูล โยนกับ อาร์เซนอล โยน บอลจังหวะ 2 ไม่ว่าจะโยนไปหน้าหรือริมเส้นเป็นทีมเยือนที่เก็บได้มากกว่า
นี่เป็นเหตุผลทำให้ “ปืนใหญ่” หาบอลไม่เจอ ต้องอาศัยในบางครั้งที่บอลเป็นใจถึงจะได้ตั้งเกมขึ้นมาซึ่งจังหวะแบบนี้มันก็ลำบากที่จะไปเจาะแนวรับ “หงส์แดง” ที่ organize กระชับพื้นที่อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามการคุมเกมและครองบอลมันไม่ได้ทำให้คุณได้ 3 แต้ม มันแค่ทำให้คุณอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบหน้างาน
ลิเวอร์พูล ถือว่าไม่ถูกลงโทษในวันนี้เมื่อ อาร์เซนอล สวนไม่ขึ้นและไม่มีความอันตรายใดๆ
ที่ผมพูดแบบนี้กำลังสื่อว่า “หงส์แดง” เหนือกว่าตั้ง 1 ชั่วโมงแต่ยังยิงประตูไม่ได้ มันอันตรายเพราะเท่ากับคุณกดดันตัวเองและท้ายที่สุดจะเร่งโหมจนสะเพร่าในการระวังหลังบ้านในที่สุด
ความแตกต่างอยู่ตรงที่ ดิโอโก้ โชต้า ใช้เวลาแค่ 3 นาทีหลังถูกส่งลงสนามในนาที 61 และโขกพังประตูนาที 64
บอลอย่าง โชต้า ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องมีทริคอะไรมากแค่ยืนอยู่ถูกตำแหน่งและไม่ต้องมากจังหวะ นี่คือสิ่งที่โค้ชต้องการและแน่นอนแฟนบอลต้องการเพราะเชียร์แล้วมันเชียร์แล้วสะใจ
ผิดกับ ซาดิโอ มาเน่ ที่ยังออกทะเลไม่เลิก เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องมาคอยช่วยลุ้นนักบอลซักคนให้จับบอลให้อยู่ ส่งให้ตรง หรือกล้าเล่นกับบอล แสดงว่าอาการหนักมากจริงๆ
เกม แชมเปี้ยนส์ลีก กลางสัปดาห์ โชต้า คัมแบ็ค ไลน์อัพ 11 ตัวจริงแน่นอนครับ นัดนี้สำรองเพราะแกลงเล่นให้ทีมชาติ โปรตุเกส 2 นัดเลยพักเกมกับ อาร์เซนอล
ที่น่าสนใจคือ JK จะเลือกดร็อปใครระหว่าง มาเน่ หรือ โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ ซึ่งผมมองว่าโอกาสเป็นฝ่ายหลังมีมากกว่าเนื่องจาก โชต้า อย่างที่เราเห็นกันแล้วคือจบสกอร์คมจัดๆ
ดังนั้นตำแหน่งที่ควรเล่นคืออยู่ใกล้ปากประตูมากที่สุด ในขณะที่ ณเดช ด้วยตำแหน่งที่เล่นมันไม่มีใครที่ลงแล้วดีกว่าแก ณ ชั่วโมงนี้
แม้จะมาช้าแต่ก็ดีกว่าไม่มาเลยเมื่อ แนท ฟิลลิปส์ และ โอซาน คาบัค กลายเป็นคู่หูขาประจำในตำแหน่งเซนเตอร์ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ กว่าจะควานหาสูตรที่ลงตัวก็เล่นซะช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น
เราเห็นความแตกต่างชัดเจนเมื่อ ฟาบินโญ่ ยืนอยู่หน้าคู่เซนเตอร์ ช่วยสกรีนบอลและไม่ทำให้รูปเกมเสียเปรียบคู่แข่งเหมือนสมัยที่ต้องเล่นกองหลัง
ในขณะที่ มิเกล อาร์เตต้า ซึ่งก่อนพักเบรกทีมชาติ “ปืนใหญ่” สร้างชื่อด้วยการไล่ตามตีเสมอ เวสต์แฮม 3-3 หลังถูกนำไปก่อน 3-0 แถมก่อนหน้านั้น 1 เกมก็เอาชนะ สเปอร์ส 2-1
แต่วันนี้แพ้แบบสู้ไม่ได้ นักเตะเหมือนถอดใจหลังถูกกดจนแทบโงหัวไม่ขึ้น การขาด 2 ดาวรุ่งที่แบกรุ่นพี่มาตลอดอย่าง สมิธ โรว์ และ ซาก้า ค่อนข้างเห็นผลเพราะผมเชื่อว่าความห้าวของทั้ง 2 คนมี impact พอที่จะมีปากมีเสียงไม่ถูกยำอยู่ข้างเดียวแบบนี้แน่นอน
มองในแง่ดี “ปืนใหญ่” เล็ง ยูโรป้า เป็น priority จึงยอมไม่เสี่ยงส่งตัวหลัก 3-4 รายลงสนามเพื่อไว้รอปล่อยกับ สลวาเวีย ปราก ในวันพฤหัสนี้ทีเดียว
กลับมาที่ “หงส์แดง” ต้องบอกว่าเกมพ่าย ฟูแล่ม คา แอนฟิลด์ ปลุกทุกๆอย่าง แม้กระทั่งคนอีโก้สูงอย่าง JK ยังต้องยอมแพ้
วันนั้นแดนกลางแพ้ย่อยยับ โดนทีมท้ายตารางมาเล่นลิง ทรงบอลเหนือกว่าจน เดอะ ค็อป แทบสิ้นหวัง
แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา “หงส์แดง” เก็บชัยนอกบ้าน 2 นัดรวด ทำให้สถิติเกมเยือนชนะ 7 ซึ่งเท่ากับตัวเลขชนะในบ้านเรียบร้อยแล้ว
ใช่ครับ เหลือภาระกิจแพ้ใน แอนฟิลด์ 6 นัดรวดที่เป็นหนามตำใจที่ทุกคนไม่อยากให้ตัวเลขมันขยับมากไปกว่านี้และบังเอิญที่ แอสตัน วิลล่า โจทย์เก่าต้องมาเยือนในสัปดาห์หน้าพอดี
มาถึงตรงนี้แล้วความหวังไป แชมเปี้ยนส์ลีก จากที่เคยยอมรับสภาพแต่ 6 แต้มใน 2 เกมหลังสุดทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ขยับขึ้นที่ 5 ตามหลัง เชลซี แค่ 2 แต้ม
และอาจจะบวกเพิ่มเป็นห่างอันดับ 4 เป็น 3 แต้มอยู่ที่ เวสต์แฮม เยือน วูลฟ์แฮมป์ตัน ว่าผลจะออกมาอย่างไร
ทีมอันดับ 7 อย่าง สเปอร์สและ 8 เอฟเวอร์ตัน ยังอยู่บนเส้นทางทั้งหมดและผมเชื่อว่าอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าเราจะเริ่มมองเห็นภาพชัดขึ้นเนื่องจากจะมีโปรแกรมทีมหัวตารางเจอกันเอง
เช่น เวสต์แฮม เจอ เลสเตอร์, สเปอร์ส พบ แมนฯยูฯ แล้วอีกวีค สเปอร์ส ต้องไปเยือน เอฟเวอร์ตัน
โปรแกรมพวกนี้จะพลิกโฉมช่องว่างของคะแนนทั้งพวกที่เจอกันเองและพวกที่อาศัยช่วงนี้ชิงความได้เปรียบแบบเนียนๆ....
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Sun Apr 04, 2021 18:13, ทั้งหมด 3 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ