เตะตี 3,หมอกลง, เจ๊า 0-0 ความทุกข์ของแฟนผี (และคนกลาง)
ระหว่างที่รอดู คริสตัล พาเลซ กับ แมนฯยูฯ ซึ่งเป็นคู่สุดท้าย (03.15 น.) ผมเลือกวอร์ม อัพ ไปที่เทิร์ฟ มัวร์ ระหว่าง เบิร์นลีย์ กับ เลสเตอร์
โดยทั้งคู่มี “เป้าหมาย” ต่างกันแต่แน่นอนครับ “ความต้องการ” เหมือนกันคือ 3 แต้ม
คนที่ดูอยู่รับรู้ได้ทันทีว่า เบิร์นลีย์ (อันดับ 15) เล่นดุดันมาก อาจเป็นเพราะเห็นความแรงของ ฟูแล่ม ที่ค่อยๆคุกคามตามมาเหลือ 6 แต้ม
ประตูแรกนี่ตั้งแต่นาทีที่ 4 ก็มาจากการไปเพรสจนทีมเยือนจ่ายบอลเสียหน้าเขตโทษแล้วยิงแบบเต็มข้อไม่ต้องเซฟกันเลย
และวันนี้หาก “จิ้งจอก” ไม่มี แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ที่เซฟบนเส้น 2 หนจะๆ (จูบเสาไปอีก 1) เกมนี้เด็กๆของ ฌอน ไดช์ น่าจะเช็กบิลได้ไปนานแล้ว
เกมนี้ เจมี่ วาร์ดี้ เงียบเหงามากเพราะตัวป้อนบอลดีๆหายไปพร้อมกันถึง 2 คนทั้ง เจมส์ แมดดิสัน และ ฮาร์วีย์ บารน์ส ทำให้หลายๆครั้งแกต้องลงมาทำอะไรกับบอลเอง
จนกระทั่ง “จิ้งจอก” มาได้ประตูที่โคตรสวยและดันมาจากคนที่ปกติเล่นบอลยากและไม่ค่อยเด็ดขาดอย่าง เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ที่วิ่งมายิงตามน้ำจากลูกวางยาวของ เอ็นดีดี้
ลูกนี้ไม่ง่ายนะครับเนื่องจากอดีตแข้ง แมนฯซิตี้ แกวิ่งเงยหน้ามองบอลไปด้วยโดยมี 2 แข้ง เบิร์นลีย์ วิ่งแซนด์วิชมาแต่ตวัดแบบไม่ต้องจับ
แต่กระนั้นช่วง 10 นาทีสุดท้ายกลายเป็น เลสเตอร์ ที่เกือบจะกลับออกไปด้วย 3 แต้มเพราะยิ่งเวลาเหลือน้อย เบิร์นลีย์ แสดงออกเลยว่าแรงหมดแล้วคิดว่า 1 แต้มก็ไม่น่าเกลียด
สุดท้าย “จิ้งจอก” ไม่เอากันเองทำให้ 2 นัดหลังสุดเก็บได้แต้มเดียวแม้อันดับ 3 ดูมีความ safety อยู่รวมถึง ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ต้องมาตัดแต้มกันเองในวันพฤหัส
สำหรับคู่สุดท้าย อรรถรสในการรับชมหายไปนิดหน่อยจากการลงของหมอกทำให้ฝั่งด้านไกลมองลำบาก ผมไม่แน่ใจว่าฝั่ง ยูไนเต็ด มีอุปสรรคตรงนี้เนื่องจากชุดแข่งกันสีขาวกลืนไปกับหมอกพอดี
เกมนี้ผมฟันธงให้ “ปีศาจแดง” ยิงขาด 4-1 เหตุผลพื้นๆคือเท่าที่ตามดู พาเลซ ของปู่รอยมา ซีซั่นนี้ดูอ่อนแอ เกมสวนกลับที่เคยเป็นจุดขายหายไปเลยจากการที่เสียบอลระหว่างทางเลอะเทอะ
จุดสำคัญทำให้คิดว่าเกมนี้น่าจะวันเวย์เพราะ วิลเฟร็ด ซาฮา สตาร์เบอร์ 1 อดีตเด็กเก่ายังไม่ฟิต
แต่เมื่อเอาเข้าจริงวันนี้ทีม “ปราสาท” กลับเล่นเกมรับอย่างแน่น พวกตัวสกรีนก่อนเข้าเขตอันตรายก็พัวพันเกาะแกะชวนทะเลาะ
เมื่อไม่มีลูก wow หรือความมหัศจรรย์ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่มักเปิดแผลลูกแรกเพื่อให้เข้าทางสไตล์สวนกลับ
และเมื่อรวมกับการที่วันนี้ บรูโน่ แทบไม่มีอะไรยิ่งทำให้ “รองจ่าฝูง” หาโอกาสสวยๆประปริดกระปรอยเข้ากรอบแค่หนเดียว!!
ช่วงแรกๆ แมนฯยูฯ ขึงมาถึงครึ่งสนามและใช้การถ่ายบอลขวางไปมาก่อนใช้ริมเส้นเป็นฐานโจมตีหลัก
แต่เมื่อกำลังเข้าสู่ครึ่งชั่วโมงแรกเจ้าถิ่นแสดงอาการ “ดื้อยา” ครับเพราะเริ่มมีหือมีอือเรียกฟาวล์จากจังหวะสวนกลับได้ถี่ขึ้นเรื่อยๆจนนักเตะของ ยูไนเต็ด ถึงกับอารมณ์เสีย
เอเบเรชี่ เอเซ่ ที่ผมแอบชอบเป็นการส่วนตัว แกเอาตัวรอดเก่งแถมแย่งยาก อีกต่างหาก ผมว่าแข้งวัย 22 ปีมีศักยภาพที่จะเล่นทีมใหญ่ได้แน่ ถ้าใครไม่อยากซื้อจัดควรต้องรีบๆภายในซัมเมอร์นี้เลย
นี่ไม่อยากคิดเลยครับถ้าลูกโดนตัวต่อตัวกับ ดีน เฮนเดอร์สัน ในนาทีสุดท้ายของ แพทริค ฟาน อานโฮลท์ เกิดเข้านี่จบสถิติไม่แพ้ใครนอกบ้าน 21 นัดจบดื้อๆได้เลย
การครองบอล 60 กว่า % ของ “ปีศาจแดง” ไม่ได้สื่อถึงความได้เปรียบใดๆในเมื่อเกมนี้จ่ายบอลกันเสียเยอะมาก
ในเกมที่ทรงๆทรุดๆและพื้นที่ third area ไม่เปิดกว้าง การมีภาวะแทรกซ้อนเบสิกๆแบบจ่ายบอลไม่ตรงทำให้ไม่รู้จะเอาอะไรไปยิงคู่ต่อสู้
ผมคิดว่าการดูบอลกลางสัปดาห์ต้องใช้ใจเยอะกว่าปกติ มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยที่ต้อง fast charge นอนเก็บแรง 4-5 ชั่วโมงแล้วตื่นมาแบบเพลียๆ (หรือบางคนไม่นอนเลย) แต่เห็นทีมรักเล่นเหมือนไม่อยากเอาชนะคู่แข่ง
ผมเองเคยมึนๆกับฟอร์มของ ยูไนเต็ด เพราะพลิกโฉมชนะรัวๆจนไต่ขึ้นมาอยู่หัวตารางแต่ตอนนี้ถ้านับตั้งแต่วันที่ถล่ม เซาธ์แฮมป์ตัน 9-0 “ปีศาจแดง” เสมอถึง 4 จาก 5 นัด
ถ้าอยากให้ “นายทำให้ฉันดูแย่” ก็ใส่เกม ยูโรป้า ลีก มาแทรกก็จะทำให้ลูกทีม “เฮียยิ้ม” “กินไข่” มาแล้ว 3 นัดติด
คือตอนนี้ไม่มีใครติดใจเรื่องไล่ตาม “เรือใบ” กันแล้วครับแต่แฟนผีอยากเห็นทีมตัวเองเล่นเพื่อชัยชนะในเกมที่ควรต้องมี 3 แต้มเพื่อหาหลักประกันว่าจะไม่พลาดตั๋วไป แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่นหน้า
จากผลเสมอรัวๆทำให้ตอนนี้ แมนฯยูฯ สร้างความกดดันให้ตัวเองเนื่องจากโปรแกรมนัดหน้าดันเจอกับ แมนฯซิตี้ ที่ตามฆ่าทุกๆทีมแบบไร้ความปราณี
แล้วหาก ลิเวอร์พูล หรือ เชลซี ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเก็บชัยได้ในคืนวันพฤหัสจะคุกคามเข้ามาใกล้เหลือ 4 และ 5 แต้ม (ตามลำดับ)
อันนี้ยังไม่พูดถึง เอฟเวอร์ตัน ที่แต้มเท่า “หงส์แดง” และเตะน้อยกว่า ยูไนเต็ด ถึง 2 เกมด้วยนะครับ
ฉะนั้นทั้ง แมนฯยูฯ และ เลสเตอร์ หรือรวมถึง เวสต์แฮม ควรต้องเลิกเล่นแบบ “รอเพื่อน” ได้แล้วครับ ไม่เช่นนั้นมันก็จะคล้ายๆกับตอน ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส แย่งกันเป็นจ่าฝูงจนตอนนี้หลุด “ขอบ” ไปไกลสุดกู่
ต่างกันที่หลุดแล้วเหลือเกมให้แก้ตัวน้อยลงเรื่อยๆนี่แหละครับ...
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Thu Mar 04, 2021 05:56, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ