“บีจี” กว่า 14 ปีที่รอคอย...แชมป์ประวัติศาสตร์ไทยลีกกำลังมาถึง
กว่า 14 ปี จาก “สมาคมกีฬาบางกอกกล๊าส” จนมาเป็น “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” สโมสรแห่งนี้โลดแล่นบนเส้นทางลูกหนัง ไต่ตั้งแต่ฟุตบอลถ้วยจนขึ้นสู่ลีกสูงสุด และกำลังจะบันทึกประวัติศาสตร์ที่พวกเขารอคอย
ย้อนเวลากลับไปในปี 2549 บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด ได้เริ่มมีการจัดตั้งทีมฟุตบอลเข้าร่วมแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการ และได้เข้าเป็นสมาชิกของ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯในปีดังกล่าว จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2550 ถือเป็นจุดกำเนิด “สมาคมกีฬาบางกอกกล๊าส” ได้รับอนุมัติการจัดตั้งจากหน่วยงานรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
ทัวร์นาเมนต์แรกของสโมสรบางกอกกล๊าส คือฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ง 2550/51 สามารถก้าวไปคว้าตำแหน่งรองแชมป์ และได้สิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่นในฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ค.ในปีต่อมา
ปี 2551 สโมสรได้จัดตั้ง บริษัท บีจีเอฟซี สปอร์ต จำกัด เพื่อดำเนินการบริหารให้เป็นไปตามแนวทางที่ เอเอฟซี กำหนด และลงแข่งขันฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ค สามารถผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนแพ้สโมสรเจดับบลิว กรุ๊ป ไป 1-2 แต่ยังคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่นในถ้วย ข
จุดพลิกผันเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม 2552 สโมสรบางกอกกล๊าส ได้ตัดสินใจ “เทคโอเวอร์” สโมสรธนาคารกรุงไทย ทีมในลีกสูงสุด ณ เวลานั้น ที่ประกาศยุบทีม ทำให้สโมสรบางกอกกล๊าสได้ลงแข่งในไทยพรีเมียร์ลีกแทนทันที และได้ย้ายไปเช่าสนามเฉลิมพระเกียรติ คลอง 6 เป็นการชั่วคราวเพื่อปรับปรุง ลีโอ สเตเดี้ยม
ปี 2553 สโมสรบางกอกกล๊าส ได้ปรับปรุง ลีโอ สเตเดี้ยม เสร็จสมบูรณ์จนได้กลับมาเล่นในสนามแห่งนี้อีกครั้ง พร้อมทั้งส่งทีมเข้าแข่งขันฟุตบอล ควีนส์ คัพ และสามารถคว้าแชมป์มาครองด้วยการชนะ อินทรีเพื่อนตำรวจ 4-1
จนกระทั่งปี 2557 บางกอกกล๊าส เอฟซี ประสบความสำเร็จได้แชมป์เมเจอร์แรกในประวัติศาสตร์สโมสร คือ “ไทยคม เอฟเอ คัพ” ด้วยการเฉือน ชลบุรี เอฟซี 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันระดับทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก แต่ไม่สามารถผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ
ก่อนจะมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งในปี 2561 สโมสรบางกอกกล๊าส ได้มีการปรับพื้นสนาม ลีโอ สเตเดี้ยม จากหญ้าเทียมมาใช้หญ้าจริง เพื่อรองรับการแข่งขันฟุตบอลในระดับเอเชีย นอกจากนั้น ยังปรับรูปลักษณ์ของตัวเองใหม่ในการก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ที่โลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุด ทั้งการเปลี่ยนโลโก้รูปกระต่าย และสีหลักประจำทีมจากเดิมสีเขียวเป็นสีน้ำเงินแทน
แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกโฉลก เมื่อสโมสรบางกอกกล๊าส ต้องตกชั้นลงไปเตะใน ไทยลีก 2 ฤดูกาล 2562 เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เทคโอเวอร์มาจาก สโมสรธนาคารกรุงไทย โดยในปีนั้นเอง บางกอกกล๊าส เอฟซี ได้ทำการเปลี่ยนชื่อสโมสรใหม่ มาเป็น “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” เพื่อให้เกียรติจังหวัดที่อยู่มาร่วม 10 ปี และต้องการสร้างฐานแฟนบอลให้มั่นคงยิ่งขึ้น แต่ยังคงใช้สีประจำสโมสรและโลโก้อันเดิม เปลี่ยนแปลงแค่ชื่อในโลโก้สโมสรเท่านั้น
ย้อนกลับไปในช่วงที่สโมสรต้องตกชั้น แฟนบอลหลายคนแอบเป็นห่วงว่าพวกเขาจะสามารถเก็บตัวผู้เล่นแกนหลักของทีมเอาไว้ต่อไปได้หรือไม่ แต่สุดท้ายนักเตะส่วนใหญ่ก็ยังคงปักหลักอยู่ช่วยทีม ทำให้แทบจะไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากมาย เพียงแค่เติมเต็มในสิ่งที่ยังขาดแล้วก็เดินหน้าไล่ล่าตั๋วเลื่อนชั้นกลับไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่อีกครั้ง
นอกจากตัวผู้เล่นที่ยังอัดแน่นด้วยคุณภาพแล้ว การได้ “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ที่เพิ่งพา ตราด เอฟซี สร้างประวัติศาสตร์ทะยานสู่เวทีลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกแบบเซอร์ไพรส์ ยิ่งทำให้ บีจีพียู แทบจะไม่มีจุดอ่อนในฤดูกาล 2562 ให้เห็น
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องชื่นชมคือ “หัวจิตหัวใจ” ของบอร์ดบริหารที่ออกมายืนยันกับแฟนบอลอย่างชัดเจนว่า จะมุ่งมั่นพาทีมกลับมายืนบนเวทีลีกสูงสุดอีกครั้ง และก็สามารถทำได้จริงอย่างที่พูดเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น
การกลับมาอยู่บนลีกสูงสุดอีกครั้งในชื่อใหม่ “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” ไม่ได้เพียงแค่อยู่รอด ทว่าเป้าหมายคือโทรฟี่แชมป์ฟุตบอลถ้วยหนึ่งรายการ พร้อมหวังติด “ท็อปไฟว์” บนตารางคะแนนไทยลีก
ก่อนการเดินทางครั้งใหม่จะเริ่มขึ้น “บีจีพียู” จึงได้มีการเสริมทัพสร้างความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะรายของ สุมัญญา ปุริสาย, วิคเตอร์ คาร์โดโซ่ รวมถึง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่กลับจากยืมตัวของ โออิตะ ทรินิตะ ภายใต้คอนเซปต์ “BGPU Immortal Warriors”
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันผ่านไปเพียงแค่ 4 นัด ไทยลีก เจอพิษโควิดเล่นงาน ต้องหยุดชะงักไปนานกว่า 5 เดือน ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมใหม่จากเตะจบในปีเป็นเตะข้ามปี แต่ปัญหาที่ตามมาคือนักเตะหลายรายมีสัญญาเหลือแค่สิ้นปี จึงมีการเปิดตลาดซื้อ-ขายอีก 2 รอบเป็นกรณีพิเศษ
ทว่าด้วยสภาพเศรษฐกิจบวกโควิดยังระบาด ทำให้หลายทีมในไทยลีกต่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่สำหรับ “บีจีพียู” กลับสร้างความฮือฮาด้วยการทุ่มคว้าตัว 2 ดาวเตะอย่าง สารัช อยู่เย็น และ อันเดรส ตูเญซ มาเสริมทัพ เพื่อเตรียมพร้อมกลับมาเตะอีกครั้งในช่วงเดือนกันยายน พร้อมเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นในการลุ้น “ท็อปโฟร์” คว้าตั๋วไปลุย ACL 2021
ด้วยขุมกำลังอัดแน่นด้วยนักเตะระดับคุณภาพ ทำให้ “บีจีพียู” ระเบิดฟอร์มเปรี้ยงปร้าง จนก้าวขึ้นมายึดตำแหน่ง “จ่าฝูง” ต่อเนื่องด้วยสถิติไร้พ่ายในเลกแรก ล่วงเลยมาถึงนัดที่ 16 ก่อนเจอโควิดเล่นงานอีกระลอก
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน “โควิด” จะไม่สามารถหยุดความมุ่งมั่นของ “เดอะ แรบบิท” ได้ เมื่อเปิดตลาดรอบสุดท้าย พวกเขาได้ทุ่มหมดหน้าตักคว้า 2 ดาวยิงชั้นนำอย่าง ดีโอโก้ หลุยส์ ซานโต และ ธีรศิลป์ แดงดา เพื่อคว้าแชมป์ไทยลีกมาครองให้ได้
ต้นเดือนกุมภา 2564 ฟุตบอลไทยลีก กลับมาเตะแบบนอนสต๊อปอีกครั้ง ซึ่ง ณ เวลานี้ ยังไม่มีทีมใดยัดเยียดความปราชัยนัดแรกในลีกให้กับ “บีจีพียู” ได้ และดูเหมือนว่าทุกทีมจะยอมศิโรราบ ยกถ้วยแชมป์ “ไทยลีก” ฤดูกาลนี้ให้กับ “บีจี” ไปเรียบร้อยแล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย Narueta เมื่อ Wed Feb 24, 2021 13:48, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ