[Chelsea] วัยเด็กของ คาลัม ฮัดสัน โอดอย
ต่อให้คุณจะเรียกตัวเองว่า "แฟนบอลพันธุ์แท้" หรืออะไรก็ตาม ผมกล้าเดิมพันด้วยทองม้วนหนึ่งหยิบมือว่า คุณต้องไม่เคยได้ยินชื่อของ บิสมาร์ค อดีตดาวเตะชื่อดังจาก กาน่า แน่นอน
เขาลงเล่นและทำประตูในสนาม แอคครา สเตเดี้ยม พา เอชโอโอ เอฟซี เอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่าง คูมาซิ ไป 2-1 แต่จบเกมนั้น ดันเกิดเหตุร้ายที่น่าสลด ด้วยความที่เทคโนโลยีและวัสดุต่างๆไม่ได้สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ ทำให้เหล่ากองเชียร์เหยียบกันจนเกิดโศกนาฏกรรม มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 16 ศพ สะท้อนถึงสภาพความเป็นอยู่ของประเทศกาน่าได้เป็นอย่างดี
ที่ทวีปแอฟริกา ปี 1978 ต่อให้คุณพาทีมเข้ารอบถ้วย แอฟริกัน แชมป์เปี้ยนลีค ค่าเหนื่อยก็ได้เพียง 7 ปอนด์ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่ง บิสมาร์ค ที่เพิ่งแต่งงานและอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว ทั้งยังต้องดูแลเจ้าตัวน้อยอีกหลายชีวิต เขาจึงจำเป็นต้องย้ายฐานถิ่นเพื่ออนาคต
"บิสมาร์ค มีพรสวรรค์มากในตอนนั้น เขาตัดสินใจย้ายไปยุโรปเพราะต้องการเงินและยกระดับชีวิตขึ้น" ดักกลาส ทาโก เพื่อนร่วมทีมของเขากล่าว
บิสมาร์ค เลือกไปเรียนคอร์ส Coaching ที่ประเทศเยอรมนี จนสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกชายเข้าสู่วิถีลูกหนัง โดยคนโตเคยเข้าแคมป์ในถิ่น คราเวน คอตเทจ ของสโมสรฟูแล่ม ก่อนไม่ประสบความสำเร็จจนต้องไปเตะนอกลีค แต่คนกลางได้ฝึกในรั้วค็อปแฮม และมีค่าตัวดีดขึ้นไปกว่า 30 ล้านปอนด์ มากกว่าค่าเหนื่อยที่คุณพ่อเคยได้ถึง 4 ล้านเท่า เขาคือ หนึ่งในแก็งค์เด็กนรกและปีกระดับ Wonderkid ของยุค
วันนี้ถึงคิวของเขาแล้วกับ "วัยเด็กของ คาลัม ฮัดสัน โอดอย"
เด็กชายคาลัม ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี 2000 ในย่านวานด์สวอร์ธ กรุงลอนดอนตอนใต้ เป็นบุตรชายคนกลางของครอบครัวโอดอย
อย่างที่บอกไปข้างต้นครับ รากเหง้าพื้นเดิมของเขามาจากประเทศกาน่า ที่เต็มไปด้วยคนนามสกุล 'โอดอย' เหมือนกับเขา โดยมีการประเมินไว้ว่า มากกว่า 23,000 ของชาวกาน่าจะใช้นามสกุลนี้ ผมเดาว่าคงคล้ายๆตระกูล 'แซ่...' อะไรแบบนี้ครับ เยอะจนแทบจะเดินชนกันตามป้ายรถเมล์เลยทีเดียว
โตขึ้นมาได้ 7 ปี เขาก็ก้าวเข้าสู่สโมสรเชลซีของเราแล้ว ซึ่งสิ่งที่โอดอยหลงไหลเอามากๆ คือ ทริคฟุตบอล หรือพวกทักษะต่างๆที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ชอบทำสมัยเป็นจอมสับนั่นเอง เขาเชื่อว่า มันคือสิ่งที่สำคัญมากของผู้เล่นตำแหน่งปีกในโลกฟุตบอลสมัยใหม่ ด้วยเหตุนี้ โอดอยจึงโดดเด่นขึ้นมาจากเพื่อนวัยเดียวกัน เขาพัฒนามันอย่างใจเย็นและอดทน จนเริ่มคุ้นชินกับการอ่านเกมส์และจังหวะการใช้ทริค
ฟรีสไตล์ ฟุตบอล จึงกลายเป็น ซิกเนเจอร์ หรือ ลายเซ็นต์ประจำตัวของโอดอยโดยปริยาย เมื่อมาบวกกับสปีดและความเข้าใจเกมส์ เขาจึงถูกนำไปเปรียบกับนักเตะชั้นนำหลายคน ด้วยจิตใจที่ห้าวหาญและเด็ดขาดกับตัวเองมาก บรรดาโค้ชจึงเชื่อว่าเขาจะเป็นดาวดวงใหม่ให้ทีมได้ในอนาคต
"ผมเจอเขาที่สหราชอาณาจักร พ่อเขาโม้ให้ฟังใหญ่เลยล่ะ" มิสเตอร์ ดักกลาส เปิดเผยเรื่องราวต่างๆในฐานะเพื่อนสนิทของ บิสมาร์ค พวกเขามักนั่งเชียร์เจ้าหนูคาลัมติดจอทีวี ไม่ว่าในโอกาสกับทีมชาติอังกฤษหรือเชลซีก็ตาม เขาหวังว่า หลานคนนี้จะคว้าโอกาสดีงามนี้ไว้ เพื่อกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในเร็ววัน
ตอนนั้น โอดอย กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเอกชน Whitgift ที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับการกีฬา ครูใหญ่ได้ว่าจ้างโค้ชมืออาชีพมาดูแลเด็กๆโดยเฉพาะ และด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสโมสรในลอนดอน ทั้งคริสตัล พาเลซ และเชลซี ทำให้ที่นี่คือ คำตอบที่ใช่ของเด็กที่รักวงการฟุตบอล เหมือนฮอว์กวอร์ดกับเหล่าพ่อมดก็ไม่ปาน
เคมเบอร์ หนึ่งในทีมงานของโรงเรียน เผยว่า คาลัมใช้เวลาเพียง 3 นาทีก็สร้างความประทับใจให้เขาได้แล้ว รัศมีความเป็นเด็กเทพเปร่งประกายตรงเข้ามา โดยเฉพาะเบสิคฟุตบอลที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด นับเป็นวันทดสอบฝีเท้าที่เขาจำได้ไม่ลืม
"เขายังเป็นเด็กดีด้วยนะ มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ เขาทำให้ทุกๆคนมีพลังและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ" ครูหนุ่มอวยศิษย์รักไส้แทบแตก พิมพ์ไป น้ำตาลขึ้นคีย์บอร์ดไป แล้วครับตอนนี้
มาเข้าเรื่องไทม์ไลน์ของเขากับเชลซีกันดีกว่า โอดอยปรากฏตัวครั้งแรกให้แฟนเชลซีได้เห็น ในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปี 2014 โดยเกมนั้นมีเรื่องราวที่น่าจดจำมากมาย เราจะมาย้อนกันคร่าวๆ
อย่างแรกเลย มันคือการลงเดบิวต์รอบที่ 2 ของเนมันย่า มาติช หลังเจ้าตัวย้ายกลับมาจากเบนฟิก้า โดยเขาเป็นขุนพลสำคัญและสถาปนาตัวเองเป็น 'โคตรมิดฟิลด์' เคียงข้าง ยายา ตูเร่ ในซีซั่นถัดมา พาเชลซีคว้าแชมป์ลีค 2014-15
ต่อมา มันคือชัยชนะเหนือ ปีศาจแดง 3-1 ในยุค ‘เดอะ จีเนียส’ เดวิด มอยส์ และ ซามูเอล เอโต้ สามารถทำแฮตทริกได้ในเกมนั้น เป็นผลงานระดับ Masterpiece ที่เขาฝากไว้ในฤดูกาลเดียวที่อยู่กับทีม ซึ่งเอโต้ได้เข้าไปแสดงความยินดีกับบอลบอยคนหนึ่ง คนๆนั้นคือ ฮัดสัน โอดอย นั่นเอง
"ตอนเขาเริ่มฉลองกับประตู ผมก็กำลังดีใจ อยู่ๆเขาก็เห็นผม" โอดอย ย้อนความ "เขาเข้ามาจับมือผม สำหรับเด็กน้อยอ่ะนะ การที่นักฟุตบอลอาชีพเข้ามาทำแบบนั้นกับคุณ มันบ้าไปเลยครับ ผมยิ้มแป้นไปเลย"
โมเมนต์สุดอัศจรรย์ใจแบบนี้ มักถูกพูดถึงเสมอในหมู่เด็กอคาเดมี่ มันเปรียบเสมือนแรงบันดาลใจที่ทำให้หัวใจพวกเขาพองโตขึ้น
"คุณฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ โดยเฉพาะกับสโมสรที่ผมอยู่มานาน คุณจะคิดว่า 'นี่เราจะขึ้นไประดับท็อปแบบพี่ๆเขาได้ไหมนะ?' ตอนนี้ผมเติมเต็มความฝันผมได้แล้ว!!"
"หากผมทำประตูได้และเห็นเด็กคนไหนที่อยู่ตรงนั้น ผมจะเข้าไปฉลองกับพวกเขาแน่นอน เพราะมันคือความฝันของพวกเขาเช่นกัน พวกเขาจะได้รู้สึกเหมือนผม ถึงเวลาต้องส่งต่อเรื่องแบบนี้กลับไปบ้างแล้วแหละ"
เวลาผ่านไป 2 ปี ไวเหมือนนั่งอ่านบทความ โอดอยได้โอกาสลงประเดิมสนามกับทีมชุด U18 ซึ่งเขาอายุน้อยกว่าเกณฑ์ถึง 2 ปีด้วยกัน ก็คนมันเก่งอ่ะนะ
เฮดโค้ชชุดอคาเดมี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
จอร์ดี้ มอร์ริส อดีตมือขวาคู่ใจ แฟรงค์ แลมพาร์ด นั่นเอง และเขาไม่ทำให้พี่ชายคนนี้ผิดหวัง ซัดไป 8 ประตู จาก 25 เกมลีค พร้อมช่วยให้เด็กอคาเดมี่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครอง ร่วมกับ เมสัน เมาท์, แทมมี่ อับราฮัม และฟิคาโย่ โทโมริ เป็นซีซั่นที่แฟน EPL หลายท่านเริ่มขยี้ตา พลางเสิร์ชกูเกิ้ลหาชื่อเด็กแสบสันต์กลุ่มนี้
จากนั้น โอดอยติดทีมชาติชุด U16 เป็นครั้งแรก ก่อนเลื่อนขึ้นเป็น U17 ไปแข่งขันชิงแชมป์ยูโร ที่ประเทศโครเอเชีย เบิกสกอร์ผลิตประตูในเกมกับทีมชาติตุรกี พาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ก่อนจอดป้ายที่รองแชมป์ พ่ายต่อสเปนในที่สุด แม้เขาจะมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์เป็นรางวัลปลอบใจก็ตาม
ฟอร์มดีต่อเนื่องแบบฉุดไม่อยู่ ทำให้ สตีฟ คูเปอร์ กุนซือทีมชาติอังกฤษชุดเล็ก ตัดสินใจอ้ารักแร้ หนีบเขาไปตะลุยแดนภารตะ กับภารกิจสุดหินที่มีชื่อเรียกว่า 'ฟุตบอลโลก ชุดอายุไม่เกิน 17 ปี' และพวกเขาเข้ารอบชิงชนะเลิศ ด้วยสถิติไร้พ่ายตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ไปดวลกับ 'กระทิงดุ' สเปน อีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เป็นหนังคนละม้วน โอดอยและผองเพื่อนกระหน่ำซัดประตู ไล่ต้อนคู่แข่งกลับไปเต้น วากา วาก้า ที่บ้านเกิด 5-2 จากการเบิ้ลประตูของ ฟิล โฟเด้น มิดฟิลด์ดาวรุ่งค่ายแมนเชสเตอร์ รวมไปถึง มาร์ค เกฮี เซ็นเตอร์ฮาล์ฟสิงห์บลู อีกราย คว้าแชมป์โลกมาครองอย่างเต็มภาคภูมิ
ความน่ารักของโอดอยคือ หลังเกมนั้น เขาติดต่อหา อลิสแทร์ ออสบอร์น ผู้ช่วยครูใหญ่ของโรงเรียน Whitgift เพราะอยากกลับไปเยี่ยมเยียนและเล่าการผจญภัยให้ฟัง ว่าแล้วเจ้าหนุ่มก็รีบบึ่งกลับไปหา แถมไปบ่อยด้วยในช่วงพักร้อนของเขา ถือโอกาสเจอเพื่อนๆไปในตัว
"เขาเข้ามาร่วมซ้อมยิงประตูกับเด็กๆ U13 ของเราด้วยนะ แต่ดันไม่ยอมวอร์มก่อน!! ให้ตายเถอะ ผมหวังว่าเขาจะไม่เจ็บนะ"
นั่นไง ก็ว่าทำไมมันเจ็บบ่อย เปลี่ยนจากโอดอย เป็นไอดอยเถอะ...
เอาล่ะ ที่ว่า "ไอดอย" น่ะ ผมล้อเล่น ที่เล่าไปเพราะอยากให้เห็นมุมติดดินของน้องมัน คนไม่ลืมพวกลืมฝูง เป็นวัวไม่ลืมตีน มันน่ารักใช่ไหมล่ะครับ? ยิ่งได้รู้เรื่องราวแบบนี้ ผมยิ่งหลงรักน้องมันมากขึ้นไปอีก
ฟอร์มกระฉูดแบบนี้ ทำให้ อันโตนีโอ คอนเต้ เรียกตัวเขาขึ้นชุดใหญ่ และได้เดบิวต์ในถ้วยคาราบาว คัพ กับบอร์นมัธ เช่นเดียวกับพรีเมียร์ลีค ที่ได้เดบิวต์กับ 'เทพีแดงดำ' เช่นกัน แต่จบไม่สวยเท่าไร เพราะแพ้ไปขาดลอย 3-0 จบซีซั่น คอนเต้ก็บินไป ซาร์รี่ก็กระโดดมาแทน พร้อมประกาศว่า "น้องดอยจะอยู่เชลซีต่อโว้ย ทีมอื่นอย่ามายุ่ง"
ตรงนี้ ผมจะไม่เจาะลึกอะไรมาก เหตุการณ์เพิ่งผ่านมาไม่นานนัก เรื่องทีี่เป็นไฮไลต์ให้พอจำ คือ การเข้าหาของบาเยิร์น มิวนิค ที่เสนอเงินสูงถึง 35 ล้านยูโร, ถูกเหยียดผิวในเกมกับ ไดนาโม เคียฟ และกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ออกสตาร์ทตัวจริง แล้วทำแอสซิสต์ได้ ในเกมกับ ไบร์ทตัน ครับ
ในยุคใหม่ของโทมัส ทูเคิ่ล ที่ฟอร์มหรูชนะ 3 เกม เสมอ 1 เกม เสียเพียงประตูเดียว ใน 4 แมตช์แรก พาเชลซีทำสถิติใหม่ในรอบ 12 ปี ผมดีใจจริงๆที่โอดอยสามารถกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง ซึ่งบุคลิกของโค้ชชาวเยอรมันคนนี้ เข้ากับนิสัยของเขาที่ชอบโดนกดดันพอดิบพอดี ด้วยความที่เป็นคนเด็ดขาดกับตัวเอง พอเจอทูเคิ่ลตะโกนกระตุ้นใส่ คาลัมก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้นไปอีก คราวนี้ล่ะ ได้พัฒนาฝีเท้าสมใจเอ็งแน่ๆ
ในฐานะที่อยู่กับสโมสรมานาน ไหนจะเจอเหตุการณ์ของเอโต้อีก โอดอยก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กอคาเดมี่คนอื่นๆ ที่ฝันอยากลงเล่นให้เชลซี เขาบอกว่านี่คือสโมสรที่เขารักมาเสมอ ตอนนี้ความฝันวัยเด็กก็ได้มากองอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว
"ตอนนี้ ผมแค่อยากคว้ามันเอาไว้และเดินหน้าต่อไป"