ก่อนจะมาเป็นมหาเทพอย่างทุกวันนี้
ลูกชายของข้าราชการชั้นผู้น้อย ผู้มีฉายาว่า "Chapman" หรือ "พ่อค้าหาบเร่" เริ่มเล่นฟุตบอลในสนามที่เต็มไปด้วยฝุ่นในโรงเรียนประถมประจำเมือง จอส เมโทรโปลิส ซึ่งฟอร์มของเขาเข้าไปเตะตาเอเยนต์ระดับเศรษฐีแถวนั้น "บาบาโว อดามู"
อดามูเล่าให้ฟังว่า เขาพบเจ้าหนูนี่ที่สนามบ้านๆกับเพื่อน ในระแวกเดียวกับอาณาเขตของเขา เขาตกตะลึงกับความพรสวรรค์ที่ล้นเหลือของเด็กคนนี้ จึงเดินไปเข้าขอคุยด้วยและบอกความรู้สึกออกไป
หลังจากนั้น เขาตามซัพพอร์ตทุกอย่างในด้านเงินทองและทรัพย์สิน รวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้ตลอดตั้งแต่การย้ายมาเชลซี และไปกอบโกยเงินบั้นปลายชีวิตค้าแข้งที่ประเทศจีน แม้ชื่ออดามูจะไม่คุ้นหูแฟนบอลมากนัก แต่เขาก็เข้าใจเหตุผลนั้นได้ เพราะเด็กของเขาเป็นคนเงียบ ขี้อาย ไม่ใช่คนยโสโอหัง โหวกเหวกโวยวายอะไร
"เจ้านี่เคารพเพื่อนเก่ามากและยังคลุกคลีกับคนเดิมๆถึงทุกวันนี้ เขาชอบช่วยเหลือคนด้อยโอกาส โดยเฉพาะพวกคนที่อยู่กับเขามานาน"
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งในขุนพลผู้ซื่อสัตย์ ตลอดระยะเวลา 11 ปี ในรั้วแสตมฟอร์ด บริดจ์ ก็มันเป็นนิสัยพื้นเดิมของ "จอห์น โอบี มิเกล" อยู่แล้วนี่
ขอเริ่มที่ชีวิตส่วนตัวก่อน เพราะมันน่าสนใจจริงๆครับ
ไม่รู้จะเรียกว่า 'นักฟุตบอลเจ้าเสน่ห์' ได้หรือไม่ ก็แต่ละคนที่มาตกหลุมรักมิเกลนี่คือ ระดับไฮคลาสทั้งนั้น
ซานดร้า โอคาบัว คือหนึ่งในนางแบบระดับต้นๆของวงการไนจีเรีย และเจ้าของตำแหน่งมิส Delta Soap Beauty Queen อีกต่างหาก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในลูกสาวของโอบี หรือราชวงศ์แห่งรัฐ Onitsha พูดง่ายๆว่า เธอคือเจ้าหญิงนั่นเอง ดีกรีมาครบทั้งเชื้อพระวงศ์และนางงามระดับประเทศ
หลังจากมีข่าวคั่วกันมา 3 ปี จู่ๆ ก็มีการเผยว่า ทั้งคู่ได้เลิกรากันแบบไม่มีดนตรีพื้นบ้าน (ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย) ซึ่งข่าวนี้ทำให้เจ้าหญิงแห่ง Anamba ถึงกับออกมาปฏิเสธว่า "เธอกับมิเกลไม่เคยเป็นอะไรกันอยู่แล้ว ทั้งหมดเป็นข่าวลือที่ทำให้ราชวงศ์ของเธอเสื่อมเสียชื่อเสียง" แต่สื่อต่างเชื่อกันว่า เพราะมิเกลดอดไปคบกับลูกสาวของมหาเศรษฐีพันล้านจากรัสเซีย ทำให้เธอเสียหน้ามากกว่า
พูดง่ายๆว่า 'เลิกปุ๊ป คบปั๊บ' ซึ่ง โอลก้า ดิยาเชนโก้ ก็ถูกคิวปิดยิงลูกศรเข้าอย่างจัง โดยความประทับใจคือ หนุ่มมาดเข้มหัวใจอ่อนโยน ทำอาหารเช้าของคนไนจีเรีย ให้คุณหนูแดนหมีขาวรับประทานยามลืมตาตื่น พร้อมหยอดคำหวานว่า "โอลก้านี่แหละที่ทำให้เขาลืมเรื่องน่าปวดหัวในแต่ละวัน แถมยังซัพพอร์ทเขาในเรื่องช่วยเหลือคนด้อยโอกาสในประเทศไนจีเรียได้อีก"
เมื่อความผูกพันเริ่มบรรเลง ทั้งสองจึงลงเอยด้วยการมีลูกสาวฝาแฝดมาคล้องดวงใจ
เอาล่ะ ความหล่อของเขายังไม่หมดแค่นี้ เพราะมิเกลนี่ราวกับ 'พี่ติ๊ก ' ของไนจีเรีย หลายๆครั้ง ภรรยาสุดที่รักของเขาต้องเจอกับการ Bully ในโลกโซเชี่ยล เพียงเพราะเธอลงรูปวันสุขสรรค์กับครอบครัว
เช่น เธอลองทำสปาเก็ตตี้ให้ มิเกล รับประทาน ก็จะมีสาวไนจีเรียนมาแขวะว่า
"นั่นไม่ใช่อาหารที่หนุ่มไนจีเรียนชอบนะ หัดทำอาหารไนจีเรียนสิ มิเกลควรได้สิ่งที่ดีกว่านี้นะหล่อน!!" ก็แหม AKA.Chapman ซะอย่าง อดีตนักฟุตบอลไนจีเรียที่หล่อที่สุดตลอดกาลอันดับที่ 2 จากโพลสำรวจเลยนะ
ผมคงไม่ยกตัวอย่างอื่นมาเพิ่ม เดี๋ยวมันจะไม่ใช่คอนเท้นท์ฟุตบอลไปเสียก่อน พักความหล่อไว้ตรงนี้
ทัวร์นาเม้นต์แจ้งเกิดและมหากาพย์นอกสนาม
ในวัย 17 ฝน ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขาได้ยื่นเอกสารให้กับทางโรงเรียนถึงคำเชิญร่วมซ้อมจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือชาวสก็อตแลนด์
ในวันที่มาถึงสนามซ้อมแคร์ริงตัน ผู้เล่นยูไนเต็ดถึงกับเซอร์ไพร์สและกล่อมให้ 'ป๋ากี้' พยายามเซ็นตัวเขามาให้ได้ คนที่ประทับใจมากคือ รอย คีน และ พอล สโคลส์
ยูไนเต็ดจึงมอบเงินให้กับเอเย่นต์เป็นสัญญาแทนใจว่า "เอาล่ะ พาตัวเขากลับมาด้วยนะทันทีที่สัญญาลุล่วง" ทำให้มิเกลบินกลับไปที่ไนจีเรีย ก่อนได้รับโทรศัพท์ว่า เชลซีเองก็สนใจตัวเขาอยู่เช่นเดียวกัน
ความซ้ำซ้อนทางสัญญาจึงอุบัติขึ้น เจ้าหนุ่มดันไปพ่นลายน้ำหมึกกับเอเย่นต์ไว้ บวกกับเชลซีตามจีบแบบทุกวิถีทาง ทั้งซัพพอร์ตครอบครัว มอบเงินช่วยเหลือต่างๆนานา ทำให้มิเกลเริ่มตระหนักและอุทานในใจว่า
"ชิบหายแล้ว ตรูเอาไงดีวะเนี่ย"
ช่วงซัมเมอร์ของปี 2005 การแข่งขันฟุตบอลโลก ชุดยูธ ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็เริ่มเดินเสิร์ฟให้คุณผู้ชมและนักลงทุนรับชม
เขาช่วยให้ทีมชาติไนจีเรียเข้าถึงรอบไฟน่อล ก่อนไปพ่ายให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า ที่นำทีมโดย ลีโอเนล เมสซี่ เจ้าหนูแข้งทอง ไป 2-1 คว้ารางวัล Silver Ball เป็นรองแค่เมสซี่คนเดียว ก่อนได้รับฉายาว่า "เมสซี่แห่งไนจีเรีย" คว้ารางวัลแข้งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของประเทศ 2 ปีซ้อน
โจเซ่ มูรินโญ่ จึงไม่รอช้า รีบประกบตามตัวและขออนุญาตเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้ ก่อนโอนค่าตัว 4 ล้านปอนด์ ฉกมาจากอ้อมอก เร้ดส์ อาร์มี่ แบบกระตุกจิตกระชากใจ เป็นเหตุให้สิงห์บลูปิดดีลนี้สำเร็จ แม้ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยในภายหลังอีก 12 ล้านปอนด์
เป็นนักเตะที่แฟนแมนยูฯ ลืมไม่ลงจริงๆ กับตำนานชูเสื้อ ใส่เสื้อ แต่ไม่ได้ตัว
จากกองกลางตัวรุก สู่ แผนกห้องเครื่อง สู่ มิดฟิลด์ตัวรับ
ใน 3 ขวบแรกกับเชลซี เขาจ่ายบอลสำเร็จถึง 89% มากกว่าทุกคนในเชลซีและทุกสโมสรในพรีเมียร์ลีค!
คุณต้องไม่ลืมนะว่า ยุคนั้นเชลซีมีใครยืนขวางหน้าเขาในแดนกลางบ้าง ‘ซูเปอร์แฟรงค์’ แฟรงค์ แลมพาร์ด ดาวยิงสูงสุดของสโมสร, ‘ไกเซอร์น้อย’ มิชาเอล บัลลัค กัปตันทีมชาติเยอรมัน, ‘เดอะไบซัน’ มิคาเอล เอสเซียง กัปตันทีมชาติกาน่า และโคล้ด มาเกเลเล่ เจ้าตำรับเกมรับอันเลื่องลือ
การทำเรื่องน่าปูพรมแดงให้แบบนี้ ทำให้เขากวาดรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของเชลซีมาครอง จะว่าไปดาวรุ่งเชลซีที่ขึ้นมาได้ ทำไมทุกคนถึงลืมชื่อ มิเกล นะ ตอนนั้นยังไม่ 20 ปีเลยด้วยซ้ำ อย่างว่าแหละ ก็ไม่ใช่ลูกหม้อขนานแท้ ไม่นับแล้วกัน
ด้วยความที่ตัวรุกระดับซูเปอร์สตาร์เต็มทีมไปหมด ทำให้เขาต้องเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพทีม เรื่องนี้ทำเอา แซมสัน เซียเซีย อดีตเฮดโค้ชประจำชาติหัวเสียพอสมควร
"ผมคิดว่าเขาไม่ได้เล่นตำแหน่งธรรมชาติของเขานะ พวกคุณก็เห็นในปี 2005 เรารักที่เห็นมิเกลสร้างโอกาสมากมายให้กองหน้าทำประตู"
ซึ่งมิเกลก็ไม่ได้สนใจคอมเม้นท์นั้นเท่าไร เมื่อ มูรินโญ่ มองว่า เขามี Potential ที่จะเล่นในตำแหน่งเดียวกับ โคล้ด มาเกเลเล่ เขาจึงเริ่มปรับตัวและภูมิใจมากกับผลงานตลอดระยะเวลา 11 ปี เพราะ มาเกเลเล่ แสดงให้เห็นแล้วว่า ตัวตัดเกมสำคัญกับทีมมากมายขนาดไหน แม้ไม่ใช่ตำแหน่งความฝันในวัยเด็กก็ตาม
"มันเป็นตำแหน่งที่ถูกวิจารณ์มากอยู่นะ แฟนบอลจะมองไม่ค่อยออกหรอกว่าผมทำอะไรอยู่ พวกเขาเข้าสนามมาเพื่อดูลูกบอลลงไปกองในก้นตาข่าย แต่ผมจะไม่ทำแบบนั้น!"
"ผมสามารถเล่นได้ดีแม้ไม่ได้สัมผัสที่ลูกฟุตบอล มันคือการยืนตำแหน่งและซ้อนเพื่อน ผมยืนอยู่ข้างหน้าแผงแบ็คโฟร์ ด้านหลังทุกๆคนในทีม ผมสามารถสร้างบาลานซ์ให้กับทีมได้ ถึงแม้ว่าผมอยากบุกไปข้างหน้าก็เถอะ"
"ผมว่าผมเล่นตำแหน่งนี้ได้ดีเลยนะ"
กองกลางเลือดน้ำเงิน คนปิดทองหลังพระ
โอบี มิเกล ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เล่นถ่อมตัวในสนาม เขาไม่ค่อยชอบการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงสีมากนัก ทำให้ไลฟ์สไตล์นอกจอทีวี แทบจะลอกสำเนากับในสนามมาเลย ไม่มีเรื่องอื้อฉาว ไม่มีการทะเลาะกับเพื่อนร่วมทีม ไม่เกรียนเลอะเทอะกับนักข่าว เขาไม่มีจุดด่างพร้อยตลอดการทำงานในค็อปแฮม
เขาใช้เวลาไปกว่า 185 นัด เพื่อเบิกประตูให้เชลซี เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการเป็น ‘โล่ด่านแรก’ ของ ปีเตอร์ เช็ค ก็เชลซีขึ้นชื่อว่าเป็น 'จ้าวแห่งศาสตร์รถบัส' นี่ มีหรือเขาจะปล่อยให้คู่แข่งเจาะไข่แดงง่ายๆ แต่พูดก็พูดเถอะ คนปิดทองหลังพระมันน่าน้อยใจที่ไร้คนเหลียวแล หากมีการเก็บสถิติกันละเอียดกันตั้งแต่แรก เขาคงได้รับการยกย่องมากกว่านี้
หากคุณสังเกตคลิป Goal Compilation ในยุคนั้นดีๆ คุณจะพบว่า ประมาณ 40% ของประตูจาก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ฟลอร็องต์ มาลูด้า หรือ นิโคล่า อเนลก้า จุดเริ่มต้นล้วนมาจากการตัดเกมคู่แข่งของมิเกลทั้งสิ้น
2 แชมป์พรีเมียร์ ลีก
3 แชมป์เอฟเอ คัพ
1 ลีค คัพ
1 คอมมิวนิตี้ ชิลด์
1 ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก
1 ยูโรป้า ลีก
ในวัย 33 ปี ณ เวลานี้ เขายังคงเป็นมิดฟิลด์ที่ถูกลืม ตัวตลกที่ถูกล้อในยุครุ่งเรืองของเดอะบลูส์ ทั้งๆที่ บางที มิเกล อาจเป็นหนึ่งในกองกลางที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของเชลซีก็ได้
โดยในปี 2019 มีการบันทึกสถิติว่า เขาคือนักเตะที่จ่ายบอลได้ดีที่สุดของลีคตุรกีที่ 93.7% ทำได้ดีกว่าแข้งเชลซีเมื่อ 12 เดือนที่แล้วทุกคน
กองกลางตัวรับที่ฝากสถิติไว้เทียบเท่า ฮาเวียร์ มาสเคราโน่
ในฐานะกองกลางตัวรับที่ทำงานสกปรกเพื่อทีม คุณคิดว่าสถิติไหนสำคัญที่สุดสำหรับทีมอย่างเชลซี การจ่ายบอลแบบเวิร์ลคลาสเหรอ? หรือการโชว์เทคนิคเอาตัวรอดในที่แคบแบบเหนือชั้น? ผมไม่คิดแบบนั้นนะ
เขามีอัตรา Tackle Sucess หรือ 'การเข้าปะทะสำเร็จ' สูงถึง 78% ในพรีเมียร์ ลีค มากกว่ายอดตัวทำลายเกมทั้งหลาย อาทิ เนมันย่า มาติช หรือ มาร์ค โนเบิล มันเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงจนน่าเหลือเชื่อ เพราะแข้งที่ได้รับการเชิดชูอย่างกว้างขวาง ทั้ง ยายา ตูเร่ ยังมีแค่ 73% เท่านั้น ขณะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มีตัวเลขไว้นอนกอดเพียง 62%
สื่อในช่วงหลังยกให้ว่า เขาคือหนึ่งในนักเตะที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ในแบบที่ถูกประเมินต่ำไปมาก โดยคุณแทบไม่อาจหาศิลปะลูกหนังชิ้นไหนมาทดแทนได้
อธิบายให้เข้าใจสไตล์ใส่เนื้อ-ไม่มีน้ำ คือ มิเกลมีร่างกายที่สูงใหญ่ กำยำ มันช่วยให้แข็งแกร่งเวลาปะทะ แต่สถิตินี้ไม่ใช่แค่พุ่งเข้าชนเพียงอย่างเดียว การสไลด์ตัดบอลก็อยู่ในหัวข้อนี้ด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องบอกว่า เขามีกึ๋นและจู่โจมได้แม่นยำ ยามทำลายเกมรุกฝ่ายตรงข้าม
จุดเด่นอีกด้านของมิเกล คือ การทำ Interception ไป 374 ครั้ง และเปลี่ยนเกมรับเป็นเกมรุกได้ในทันทีที่เห็นช่องโอกาส ด้วยความที่เป็นตัวรุกมาก่อน ทำให้เขามีทักษะเอาตัวรอดมากพอสมควร กับตำแหน่ง Holding Midfield เคียงข้าง หลุยส์ รามิเรส ในทศวรรษหลัง
แอบยิ้มอยู่เหมือนกันนะครับ ที่อย่างน้อย สื่อฟุตบอลต่างๆเริ่มกลับมาเขียนอวย โอบี มิเกล ย้อนหลังกันบ้างแล้ว เพราะทักษะของเขาเข้ากับฟุตบอลในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เขามีทั้ง พละกำลัง ความแข็งแกร่งของร่างกาย การจ่ายบอลแบบง่ายๆ และยึดครองพื้นที่ให้ทีม ภาพจำของผมกับมิเกล คือ หาคน 1v1 ผ่านแกยากมาก
พูดง่ายๆว่า ครบเครื่องในทุกด้าน เปลี่ยนรับเป็นรุก และสร้างสมดุลจากการชะลอเกมแดนกลาง
ผู้นำแห่งความกล้าหาญ
มิเกลจำได้ทุกโมเม้นต์สำคัญของเขากับเชลซี เขารำลึกถึงประตูแรกกับแม็คเคิ่ลส์ฟิลด์, ประตูตัดสินผลของดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ในศึกเอฟเอ คัพ, ลูกตีเสมอ 'เสือใต้' เพื่อขึ้นไปชูถ้วยประวัติศาสตร์ที่มิวนิค และการคว้าถ้วยยุโรปเล็กที่อัมสเตอดัม โมเม้นต์เหล่านี้อยู่ในจดหมายที่ร่างให้กับแฟนบอล การจากลาเพื่ออนาคตของทีมเป็นวัฏจักรที่เขาเข้าใจเป็นอย่างดี
อีกหนึ่งผลผลิตกัปตันทีมชาติในสีเสื้อเชลซี ผมภูมิใจมากที่ครั้งหนึ่ง เขาเคยสวมเสื้อสีน้ำเงินลงสนาม ไม่ใช่แค่ฝีเท้าและความภักดีในฐานะตัวสำรองอดทนของทีมเท่านั้น แต่ยังมีหัวใจที่ห้าวหาญและมุ่งมั่นไม่แพ้ใครอีกต่างหาก
เขาคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จในยุครุ่งเรืองแบบที่ จอห์น เทอร์รี่ เคยกล่าวไว้ อย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องนี้ กัปตันเจทีขอการันตีด้วยตัวเอง
อังเดร วิลลาส โบอาส ยังแปลกใจถึงทุกวันนี้ว่า เขาลงแข่งที่ บริททานน่า สเตเดี้ยม ไปได้ยังไง เพราะเหตุการณ์ที่คุณพ่อถูกลักพาตัวยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ โดยที่คนที่รู้เรื่องนี้ทีแรก มีเพียงแค่ ซาโลมอน กาลู เพื่อนร่วมทีมเท่านั้น กุนซือชาวโปรตุเกสถึงกับออกปากว่า
"Amazing Mentality Toughness" หรือ
"สภาพจิตใจทรหดของเอ็งนี่มันโคตรอัศจรรย์เลย"
และนั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่คุณพ่อของเขาโดนแบบนั้น ในฟุตบอลโลกปี 2018 รอบแบ่งกลุ่มที่พบกับทีมชาติอาร์เจนติน่า เขาได้รู้ข่าวก่อนแข่งเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น หากเป็นคนทั่วไปคงต้องขอถอนตัวไปก่อนแล้ว แต่นั่นไม่ใช่มิเกล เขารู้ดีว่า ต่อให้ถอนตัวไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น ให้เรื่องแบบนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการเอาดีกว่า ซึ่งคุณพ่อเขาก็ปลอดภัยดีครับ
เขากล่าวประโยคหล่อๆ ในฐานะวีรบุรุษลูกหนังของไนจีเรีย กับการให้สัมภาษณ์หลังจากเกมนั้น
"สุดท้ายผมก็คิดได้ว่า ผมไม่อยากทำให้ชาวไนจีเรียนอีก 180 ล้านคนต้องผิดหวัง" - จอห์น โอบี มิเกล