รวม 9 นักเตะเชลซีโพสต์อำลาแฟรงค์ แลมพาร์ด
1. 'กัปตัน' เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า
"ผมแบ่งปันความทรงจำมากมายกับคุณมาตั้งแต่ปี 2012 ตอนแรกในฐานะเพื่อนร่วมทีม จากนั้นในฐานะผู้จัดการทีม ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะเลยจากคุณ ขอให้โชคดีกับอนาคตข้างหน้านะครับ"
อัซปิลิกวยต้าเคยกล่าวว่า การได้แชร์ห้องแต่งตัวกับแฟร้งค์ แลมพาร์ด สมัยที่ยังเป็นผู้เล่น คือ เกียรติในชีวิตและช่วยขัดเกลาทัศนคติของเขา จนสามารถสวมปลอกแขนกัปตันทีมได้อย่างเต็มภาคภูมิ
2. 'รองกัปตันคนที่สอง' ธิอาโก้ ซิลวา
"ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมา ผมอยากจะขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่คุณและทีมงานมอบให้ผม อย่างที่ผมเคยบอกคุณไง มันราวกับว่าเราร่วมงานกันมาทศวรรษนึงเลย ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ ตำนาน"
ธิอาโก้ ซิลวา คือ ผู้นำในห้องแต่งตัวที่แท้จริง เขามีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งวุฒิภาวะและทัศนคติ เขาคือผู้เล่นเชลซีคนแรกที่โพสต์ขอบคุณอดีตกุนซือชาวอังกฤษ โดยทั้งคู่เคยสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติลงแข่งขันกันมาแล้ว ในแมตช์กระชับมิตรปี 2013 ผลลงเอยที่เสมอกันไป 2-2
3. เอดูอาร์ด เมนดี้
"คุณนำผมเข้ามาเชลซีเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ ในฐานะแฟนบอลเชลซี ผมมีรู้สึกพิเศษมากที่ได้เล่นภายใต้การบังคับบัญชาของคุณ ผมอยากขอบคุณคุณและทีมงาน สำหรับความเชื่อมั่นที่มีต่อผม และทุกๆสิ่งที่สอนผม ขอบคุณครับ"
เมนดี้เป็นหนึ่งในแข้งที่เข้าร่วมรั้วแสตมฟอร์ด บริดจ์ ในยุคของแลมพาร์ด โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาถูกคว้าเข้ามา คือ 'คาแรกเตอร์ของเขา' เมนดี้เป็นคนยิ้มเก่งและสร้างพลังบวกอยู่เสมอ เขายังเป็นนักเตะที่ทำงานหนักในสนามซ้อมและห้องแต่งตัว แน่นอนว่า ฝีมือการเซฟก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน
4. เบน ซีเวลล์
"คุณเชื่อในตัวผมอย่างแรงกล้า จนนำผมเข้ามาสู่สโมสรที่ผมรักในตอนนี้ ผมทราบซึ้งกับมันเสมอเลยนะ ขอบคุณมากครับป๋า"
คำว่า 'ป๋า' ในที่นี้ ไม่ใช่การแปลเองสั่วๆของผม เพราะคำว่า Gaffer มันก็อารมณ์เรียกเจ้านายว่า 'ลูกพี่(แต่มีอายุหน่อย)' อะไรทำนองนั้น ซึ่งเอาจริงๆ แลมพาร์ดเองก็เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว ไม่ใช่นักเตะหมายเลข 8 ที่ผมยังจำติดหูติดตาอยู่อีกต่อไป โดยซีเวลล์คือ นักเตะคนแรกๆที่แลมพาร์ดอยากได้ตัว
5. 'นักเตะหมายเลข 10' คริสเตียน พูลิซิซ
"ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยกับความเชื่อใจที่คุณมีให้ผม จะไม่ลืม 18 เดือนที่ผ่านมา ขอให้โชคดีนะครับ"
จากผลงานระดับมาสเตอร์พีซของเขา ทำให้แฟร้งค์ แลมพาร์ด ตัดสินใจโทรไปหาคริสเตียนด้วยตัวเองว่า เขาจะต้องใส่เสื้อหมายเลข 10 ลงสนามในฤดูกาลถัดไป เหตุการณ์นี้ทำเอาพูลิซิซเนื้อเต้นเลยล่ะ โดยแลมพาร์ดกล่าวกับสื่อว่า คริสเตียนคือคนที่คู่ควรกับหน้าที่รับผิดชอบของเสื้อหมายเลขนี้
6. แทมมี่ อับราฮัม
"แบบอย่าง อาจารย์ และยอดผู้จัดการทีม ขอบคุณนะครับป๋า"
อีกหนึ่งนักเตะลูกหม้อประจำทีม ออกมาลารุ่นพี่และอาจารย์กันแบบสั้นๆ
7. 'เดอะ นิว เรจิสต้า' บิลลี่ กิลมัวร์
"ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาส ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวผม นับเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เรียนรู้จากคุณ"
ลูกชายของทหารเรือรักษาพระองค์ ละทิ้งอาชีพนายแบบตัวน้อยอนาคตไกล และยอมจากบ้านมากว่า 434 ไมล์ เพื่อเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ในที่สุด คุณพ่อและคุณแม่ของเขาก็ได้เชิดหน้าชูตาเสียที ความโล่งอกที่ได้เห็นลูกชายตัวน้อยลงสนามตามรอยเท้า 'เชสก์ ฟาเบรกาส' อดีตมิดฟิลด์เท้าชั่งทอง ผู้เปรียบเสมือนไอดอลของเขาในเดอะ บริดจ์
8. รีซ เจมส์
"ในฐานะแฟนบอลเชลซีตั้งแต่เด็ก ผมมองคุณมาโดยตลอด ผมอธิบายไม่ได้เลยว่ารู้สึกยังไงที่ได้ลงเล่นให้คุณ ทุกอย่างมันเหมือนฝันไป ผมไม่รู้จะขอบคุณความเชื่อมั่นและโอกาสที่คุณให้ผมได้ลงเล่นกับสโมสรวัยเด็กของผมได้ยังไง"
"ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่สอนผมนะ ผมจะใช้มันจนถึงวันสุดท้ายของอาชีพนี้เลยครับ"
"ขอบคุณที่ให้โอกาสผมใช้ชีวิตอย่างที่ผมฝัน ผมจะสำนึกมันตราบชั่วนิรันดร์"
คงไม่ต้องอธิบายต่อก็คงพอรู้ว่า รีซ เจมส์ คือ หนึ่งในแก๊งเด็กนรกที่สำนึกและรักแลมพาร์ดมากที่สุด
9. 'ว่าที่กัปตันทีมเจนใหม่' เมสัน เมาท์
"ผมเรียนรู้จากคุณทั้งสองมามากมาย ขอบคุณมากนะครับ"
จะให้ปิดที่คนอื่นก็ไม่ได้ มรดกล้ำค่าและลูกรักเบอร์ 1 ของป๋าแลมพ์ เอาล่ะ ทำความเข้าใจกันก่อน ผมรู้ว่ามันมีบางเกมที่เมสันเล่นไม่ดี และบางครั้งก็ฝืนใช้งานมากเกินไป แต่ผมเชื่อมั่นในเด็กคนนี้อย่างเต็มเปี่ยมว่า เขาคือตัวแทนของป๋าแลมพ์ ไม่ใช่ในแง่ของฝีเท้า แต่เป็นความมุ่งมั่น
ขณะที่ชายอีกคนหนึ่งที่เมาท์พูดถึง คือ จอร์ดี้ มอร์ริส มือขวาของแลมพาร์ดและอดีตนักเตะสิงโตน้ำเงินครามยุค 90 ตัวจอร์ดี้เองก็เป็นลูกหม้อของสโมสรเช่นกัน ความรักที่มีให้ทีมไม่ได้แพ้ใครเลย เขานี่แหละภาพสะท้อนสำคัญของทัศนคติเด็กอะคาเดมี่
Spoil
"ก็แค่เด็กบ้านๆจากลอนดอนตะวันตก ที่ฝันอยากรับใช้สโมสรบ้านเกิดของเขา" - จอร์ดี้ มอร์ริส
วันนี้ผมร้องไห้ 3 รอบแล้ว กับการปลดผู้จัดการทีมในวงการกีฬาคนนึง โลกฟุตบอลนี่แม่งบ้ามากที่ทำให้เราอินได้ขนาดนี้ เข้าใจสโมสรที่สุดและรักแลมพาร์ดที่สุดเช่นกัน ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ทั้งแลมพาร์ด มอร์ริส และทีมงาน Once Blues, Always Blues.