white steed พิมพ์ว่า:
ขออนุญาตเสริมนิดนึงครับ
กำลังของสมาธินั้นช่วยข่มนิวรณ์ ยังไม่ได้ถูกละถูกขจัดออกจริงๆ
พระท่านเปรียบเสมือนหินทับหญ้า ที่พอหมดกำลังสมาธิหญ้าก็จะกลับมาเจริญเติบโตได้อีกครับ
พอท่านฝึกสมาธิไประดับนึงแล้ว อยากแนะนำให้ท่านยกขึ้นไปปฏิบัติในเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน
ที่จะเป็นส่วนของการขัดเกลาและละกิเลสจริงๆ เสมือนท่านมีมีดที่ลับคมไว้ดีแล้ว ต้องนำมีดนั้นไปใช้ในการตัดกิเลสครับ
ขอบคุณครับ
เป็นอย่างนั้นครับ การกำจัดมี 2 แบบ คือ
แบบชั่วคราว จากการบรรลุฌาน
แบบถาวร จากการบรรลุอรหัตผล
จริงๆ
ข้างบนผมต้องการสื่อว่าถูกกำจัด(ชั่วคราว)
ขออนุญาตแก้ใขครับ (เพิ่มคำว่าชั่วคราว)
การกำจัดออกขณะนั้น คือไม่มีนิวรณ์
แต่เป็นเพียงสภาวะชั่วคราวจากการข่มด้วยกุศลกรรม
ย่อมเข้าถึงฌานได้ ตามพระพุทธพจน์ว่า
"สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน..."
ในส่วนของการเจริญสมาธิทั่วไปที่เป็นเพียงสมถะนั้น
เห็นด้วยที่ควรจะต้องเจริญวิปัสนาควบคู่ไปด้วย
แต่ในส่วนการเจริญสติปัฎฐานสี่ มีกายคตาสติเป็นต้น
เป็นการ built-in วิปัสนากรรมฐานไปในตัว
(ใช้ไตรลักษณ์เป็นอารมณ์กรรมฐาน จนได้สมาธิ
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "มีธรรมเอกผุดขึ้น")
เป็นการใช้สติพิจารณาตามความเป็นจริง
เป็นสัมมาสติ จนได้อารมณ์เป็นกรรมฐาน
บรรลุสมาธิ อันเป็นสัมมาสมาธิ ย่อมมีผลมาก
ดังพระพุทธพจน์ว่า
"เป็นทางเอก เป็นไปเพื่อการบรรลุธรรมที่ถูกต้อง"
ผมเน้นเจริญสตินำ พิจารณากายในกาย
คือ เห็นว่ากายนี้ไม่สะอาด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นดั่งหัวฝี เป็นดั่งโรค ไม่ใช่ของเราหรือของใคร
อย่างนี้เป็นอารมณ์ของวิปัสนา
เป็นไปเพื่อสั่งสม อสุภสัญญา มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
เพียงแต่ผมยังไปไม่ถึงสภาวะสัมมาสมาธิครับ
ถ้าผมยังไม่ละความพยายาม
ยังไงสักวันตั้งใจว่าต้องข่มนิวรณ์ให้หมดจนได้
สาธุครับ