“ซิตี้” ที่ไม่ใช่ “ซิตี้”...ปรากฏการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก (มั๊ง)
หากเป็นทีมไก่กาคงไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไรแต่คุณเคยเห็น แมนฯ ซิตี้ ยุค เป๊ป กวาดิโอล่า เกิด human error ในเกมเดียวพร้อมกัน 3 ครั้งจนเป็นจุดโทษไหมครับ?
3 ใน 5 ที่โดน เลสเตอร์กระหน่ำมาจาก 3 แนวรับที่ไม่ซ้ำหน้าจนทำให้ “เป๊ป” โดนยิงคาบ้าน 5 ลูกเป็นหนแรกในอาชีพผู้จัดการทีมสวนทางกับ % การครองบอลที่ 72 กับ 28
จากผลการแข่งขันในเกมนี้มีสถิติใหม่ๆเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น ซิตี้ แพ้ในบ้าน 5 ลูกในรอบ 17 ปี, “จิ้งจอก” ชนะ “เรือใบ” ที่เอติฮัดเป็นหนแรกหลังก่อนหน้านี้แพ้มา 4 ปีรวด
ครับ หากวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโคตรทีมเต็งหนึ่งทุกรายการคงต้องบอกว่ามันอยู่ที่แนวรับนี่แหละซึ่งปัญหามาพักใหญ่ๆตั้งแต่ปีที่แล้ว
แต่การขาด ลาปอร์ต ตัวแบกในแผงแบ็คโฟว์และมาหนักเอาตรง 3 กองหลังนัดกันผิดพลาดซึ่งรวมกับปัจจัยที่อยู่นอก “สมการ” อย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ทำให้เราได้เห็นฝุ่นใต้พรมกองใหญ่
การที่ เป๊ป เลือกถอดตัวรับอย่าง แฟร์นานดินโญ่ ออกตั้งแต่นาที 51 เพื่อหมายจะเอาประตูขึ้นนำแต่กลายเป็นของเข้าตัวเมื่อช่องว่างระหว่างกลางและแนวรับกว้างพอที่จะให้แข้งทีมเยือนมีเวลาลำเลียงและมากพอที่จะจับจังหวะการสอดไลน์ของ วาร์ดี้
สไตล์การเล่นของ โรดรี้ เองที่พูดได้ว่าหลวมโครกยิ่งไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระรับแรงกระแทกใดๆให้แผงหลัง
การเล่น “บอลเพรส” มันจะสมบูรณ์เมื่อกลางต้องมีส่วนสำคัญในการเกาะติดตัวที่ได้บอลแบบถึงเนื้อถึงตัว หาไม่แล้วพวกแนวรับที่ดันไลน์สูงจะ “งานเข้า” เพราะถ้าถูกแทงจะมีพื้นที่ให้คู่ต่อสู้ที่มีความเร็วควบแซงไปได้ง่ายๆ
แล้ว วาร์ดี้ แกมีความเร็วและถนัดในการวิ่งสอดหนีกับดักล้ำหน้าอยู่แล้ว ยิ่ง “เรือใบ” พยายามบุกทวงประตูคืนเท่าไหร่ยิ่งโดนแทงทะลุมากขึ้นเท่านั้น
กลางของ ซิตี้ ถ้าให้เปรียบก็เหมือนหมอที่ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ ภาระจึงตกไปอยู่ที่นางพยาบาล
บทสรุปของความล้มเหลวของ “ตัวชน” ในแดนกลางถึงขนาดที่ว่าลูกยิงไกลสุดสวยของ เจมส์ แมดดิสัน แกมีเวลาลากมีเวลาเงยหน้ามองอยู่หลายวินาทีจนเห็น เอแดร์ซอน ออกมาไกลเส้นประตู สะดวกขนาดนั้นได้ก็คิดดูว่าวันนี้ “เรือใบ” อาการหนักแค่ไหน
อย่างไรก็ตามเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ซิตี้ พลาดอย่างเดียวมันไม่พอครับ คู่แข่งต้องมีความสามารถด้วย
ใช่ครับ เราต้องปรบมือให้กับการเล่นของ “จิ้งจอก” ที่ทำการบ้านมาดีโดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาที่ต้องเล่นตั้งรับ ทุกๆคนเล่นได้อย่างมีวินัยทั้งแผงหลังจนถึงแดนกลาง
ทีมเยือนเหมือนรู้ทางบอลเจ้าถิ่นว่าจะทำอะไรกับบอลในช็อตต่อไปหรือจะแทงไปที่ตำแหน่งไหน
เราจึงเห็นการบล็อก, การแหย่สกัด และการดักบอล มากมายมหาศาลทำให้ผมนึกถึงวันที่ อาร์เซนอล เขี่ย ซิตี้ ร่วง เอฟเอ คัพ ด้วยการดักกินการบุกทุกรูปแบบของลูกทีม เป๊ป
การไร้แนวรุกอย่าง กุน อเกวโร่, เชซุส และ แบร์นาโด้ ซิลวา ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งแต่ถามว่าชื่อชั้นนักเตะ เลสเตอร์ เป็นรองตั้งแต่อยู่ในมุ้งจึงแทบอ้างไม่ขึ้น
ถ้าถามผมหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับ “ซิตี้”?
คำตอบคือ เป๊ป และลูกทีมยังคงเป็นเต็ง 1 และจะกลับมาด้วยการติวเข้มอย่างหนักเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ที่ผมขอใช้ว่าปรากฏการณ์ไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง
รวมถึงปรับแต่งแนวรับให้เข้าที่ ลาปอร์ตกลับมาหาคู่ที่ลงตัว (ดิดาซ ตัวใหม่ โรเตชั่น อาเก้) หรือ เมนดี้ (ตัวบ่อ) ที่ยังไม่ใช่ตัวเลือกแรก
ผมเชื่อว่านัดต่อไปกับ ลีดส์ เป็นอะไรที่โคตรน่าดูมาก บอลเพรสเหมือนกันหลังเน่าเหมือนกัน ความสามารถเฉพาะตัวอาจมีส่วนสำคัญในการชี้วัดผลการแข่งขันนัดนี้ได้เลยครับว่าจะจบไวหรือวัดกันจนนาทีสุดท้าย
ฟอร์มแค่ชั่วคราว แต่คลาสมันถาวร ผมยังอิงข้าง เป๊ป อยู่เล็กน้อยครับ
ที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือคู่ สเปอร์ส กับ นิวคาสเซิ่ล
ผมไม่รู้ป่านนี้แฟน “คลับไก่” นอนหลับกันไหมเพราะอย่าว่าแต่ 3 แต้มเลยครับ เกมนี้ทุกๆคนคิดว่าต้องมี 4-5 ลูก ตุนประตูได้เสียด้วยซ้ำ
เพราะรูปเกมมันคนละเรื่องเลย นิวคาสเซิ่ล สู้ไม่ได้ในทุกๆมิติ ไม่มีโอกาสยิงให้ ญอริส ได้เซฟตลอดทั้งเกมจนกระทั่งโดนจุดโทษในนาที 90+7
ลูกยิงชนเสา+ชนคาน ของ ซน เฮือง มิน รวมถึงการประเคนทั้งหัวทั้งตีนของ แฮร์รี่ เคน และเหล่าเพื่อนไก่ไม่สามารถพา สเปอร์ส ทิ้งห่าง 2 ลูกได้เลย
ในเกมฟุตบอลการนำ 1-0 โดยที่รูปเกมเหนือกว่าผมมองว่าเหมือนเป็นคำ “หยาบคาย” ถ้าให้เลือกได้ช่วงที่คุณมีเวลาและกำลังพีคลูก 2 ต้องมาโดยไม่มีข้อแม้ครับ
ทุกๆทีมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วทั้งนั้นถ้า 1-0 ถูกลากไปจนถึงท้ายเกมเมื่อนั้นคุณไม่มีความสุขและไม่มีความแน่นอนกับชีวิตใดๆ
ตรงกันข้ามมันเหมือนคุณเชื้อเชิญให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดการ์ดพลีชีพ ผมในฐานะแฟน ลิเวอร์พูล ผ่านชีวิตดีแต่ป้อล่อไม่เป็นมาเยอะ ยิงเป็นสิบได้แค่ลูกเดียวแล้วโดนรองบ่อนตีเสมอ ไม่ก็โดนยิงแซง!!
แต่ประเด็นที่มีการพูดถึงกันคือลูกที่ “ไก่เดือยทอง” มันดูโหดร้ายเกินไป ตอนนี้ดุลพินิจ “บอลทูแฮนด์” เหมือนจะไม่มีแล้ว คือถ้าบอลโดนแขนไม่ว่าจะในลักษณะไหนคือจุดโทษหมด
ผมว่าแบบนี้โลกอยู่ยาก ดูแล้วไม่สนุก สงสารทีมที่เหนือกว่าแต่กลับมาเสียชนิดที่พูดได้เต็มปากว่าแล้วจะให้กูทำยังไงกับแขนกับมือดี?
ใช่ครับการกระโดดเล่นบอลกลางอากาศมันก็ต้องทรงตัว ไดเออร์ ไม่ได้จะเอามือไปขวางการทำประตู หันหลังให้บอลหาไม่เจอด้วยซ้ำ
จุดโทษเมื่อมือโดนบอลเนี่ยผมว่าควรใช้ในจังหวะที่ขวางวิถีบอลที่ยิงเข้ากรอบแล้วคุณไปกางแขนเพื่อทำการบล็อกแบบนี้เป่าได้ทุกกรณี
ถ้าไม่ใช่การยิงแต่เป็นลูกมาม่าขลุกขลิกที่ไม่ได้เป็นลูกยิงเพื่อทำประตูมันควร play on
การกางแขนผิดรูปอย่างเช่นที่ โมเปย์ ทำแฮนด์บอลในจังหวะที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ โหม่งก็เข้าข่ายใช้มือเพื่อขัดขวางการเล่น พวกนี้ใช้คอมเมนเซนส์ประกอบด้วยมันตัดสินไม่ยากครับ
หากยึดมาตรฐานในเคส ไดเออร์ กับเคส โจเอล วอร์ด (ในเกม พาเลซ แพ้ เอฟเวอร์ตัน) อีกหน่อยไม่ต้องทำอะไรกันแล้วครับ เตะอัดมืออัดแขนอัดตัวในกรอบเขตโทษไว้ก่อน อยู่มุมอับมุมไหนก็เตะๆไปก่อนลุ้นประตูแบบนี้ง่ายดีออก
แล้วที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือฟรีคิกที่ นิวคาสเซิ่ล ได้จนนำมาสู่จุดโทษอันกังขา แท้จริงแล้วมันไม่ควรเป็นลูกฟาว์ลด้วยซ้ำหากใครได้เห็นภาพรีเพลย์ (ซึ่ง VAR ควรใช้ตรงนี้ด้วย) เพราะ โจลินตัน พุ่งชน ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก ถ้าเป็นบาสก็เป็น offensive foul
ฤดูกาลที่แล้วเรามีปัญหากับ VAR กับประเด็นตีเส้นลากจากไม่ล้ำจนให้มันล้ำ ขนรักแร้ยังล้ำจนลูกสวยๆถูกริบ ทีมที่ควรได้ประตูกลับเป็นฝ่ายแพ้
มาตอนนี้เพิ่งเตะมาแค่ 3 นัดแต่ความวุ่นวายเกิดขึ้นเยอะเหลือเกินกับกฏที่คลุมเคลือ วีคนี้คุณรอดวีคหน้าคุณอาจโดน ไม่มีมาตรฐานที่ตายตัว
ตอนแรกก็นึกว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยให้ความยุติธรรมกับผู้ชนะ (ที่คู่ควร) คนแพ้ก็จะได้แพ้แบบไม่ต้องมาอาศัยกลโกงตบตา
แต่ตอนนี้ดูหยุมหยิมไร้ทิศทางเหมือนเราต้องให้คนแค่ไม่กี่คนเป็นคนกำหนดอนาคตของพวกเรานับล้านคน!!
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Mon Sep 28, 2020 03:10, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ