สวัสดีครับ เมื่อวานผมไปเจอบทความมาสองอัน พูดถึงเฟร็ดเป็นหลักเหมือนกันทั้งคู่ เลยอยากแปลมาให้อ่านกัน
อันแรก พูดถึงว่า เฟร็ดมีคุณสมบัติพอที่จะเล่นตำแหน่ง CDM คู่ป๊อกบาได้หรือไม่
อันที่สอง เป็นบทวิเคราะห์เกมกับโคเปนเฮเกน โดยเน้นที่บทบาทของเฟร็ดในการจับคู่กับป๊อกบา
ไปอ่านกันเลยครับ (คำเตือน: รูปกับ GIF เยอะมากนะครับ ถ้าเน็ตไม่แรงอาจจะอืดหน่อย)
1.) มาจากเพจในทวิตเตอร์ @utd_Visionary คุณ Jamie Scott
"เฟร็ดจะสามารถกลับมามีบทบาทสำคัญในแผน 4-2-3-1 ได้อย่างไร"
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้ชัดว่าเฟร็ดจะสามารถยืนระยะเป็นตัวจริงได้
แต่จะพูดถึงว่า เฟร็ดจะสามารถเป็นอะไหล่คนสำคัญสำหรับตำแหน่งมิดฟิลด์
โฮลด์บอลเคียงคู่ป๊อกบาได้อย่างไร
แมนฯ ยูไนเต็ดบิลด์อัพด้วยหลังสาม ปกติคือมาติช CDM ลงต่ำมาอยู่ตรงไลน์กองหลัง
เพื่อช่วยทีมลำเลียงบอลขึ้นไปในไลน์แรก
ป๊อกบาก็มักจะมายืนสูงขึ้นไป ทำมุมเป็นสี่เหลี่ยมรูปเพชรกับแผงหลัง
เมื่อมาติชถอยลงมาอยู่ตรงกลางแผงหลัง แมคไกวร์หรือลินเดอเลิฟก็สามารถเลือกที่จะ
พาบอลขึ้นไปตรงพื้นที่ Half-space ได้ * ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้บ่อย และได้ผลดี
Half-space คือบริเวณดังกล่าว เป็นพื้นที่จุดยุทธศาสตร์เลย
ข้อจำกัดของมาติชคือ มุมที่จะสามารถเลือกจ่ายได้ค่อนข้างจำกัด (เพราะมักใช้แต่เท้าซ้าย)
ขาดความคล่องแคล่วว่องไว และด้วยอายุที่ไม่น้อยแล้ว ซึ่งก็เป็นปัญหาที่โอเล่ต้องคิด
แก้ไข ด้วยการหาตัวแทนในอนาคต
ในกรณีที่ยังไม่สามารถหาตัวแทนมาได้ ก็จะลองดูว่าเฟร็ดจะสามารถมาทดแทน
ตำแหน่งตรงนี้ได้ยังไง
แต่ตัวเฟร็ดเองก็มีจุดอ่อนเช่นกัน คือ เรื่องเกมรับ และการครองบอล
ในประเด็นเรื่อง "การครองบอล" นั้น ตอนอยู่ชักตาร์ โดเน็ตส์ก เฟร็ดเป็นนักเตะ
ประเภทกล้าได้กล้าเสีย ซึ่งจะเหมาะสมกับตำแหน่งบ็อกซ์ทูบ็อกซ์หรือตำแหน่ง
นักเตะหมายเลข "8" มากกว่า จะเห็นได้จากในรูปว่าค่าการครองบอล/การเก็บบอล
ด้วยการจ่าย มาติชจะมีค่าตรงนี้สูงกว่า
ถ้ามองในเรื่องสถิติแล้ว อาจจะมองว่าต่างไม่ได้มากขนาดนั้น มองข้ามไปก็ได้
แต่การเสียบอลของเฟร็ดนั้นเป็นปัญหาใหญ่พอตัว อย่างเช่นในเกมที่ผ่านมากับ
โคเปนเฮเกน ที่เฟร็ดเสียบอลในการบิลด์อัพด่านที่หนึ่ง ทำให้คู่แข่งมีโอกาสยิ่งจ่อ ๆ
และมากไปกว่านั้น เฟร็ดยังชอบจ่ายลูกยากอีกด้วยเวลาได้บอล ตอนที่เล่นที่ยูเครน
เฟร็ดก็ได้รับบทบาทให้รับบทจ่ายบอลเสี่ยง ไม่ได้รับหน้าที่ให้รักษาการครองบอลเท่าไหร่นัก
รูปข้างล่างนี้เฟร็ดจ่ายบอลทะลุช่องแบบสุดสวยให้เพื่อน
อีกตัวอย่างหนึ่ง เฟร็ดได้บอลในขณะที่อยู่เฟส 2 (Ball Progression ลำเลียงบอลตรงกลาง)
เฟร็ดรับบอลแล้วหนีการกดดัน การรับบอลแบบหันหลังให้โกลฝั่งตรงข้ามแบบนี้
ไม่ใช่หน้าที่ของเฟร็ดในตำแหน่งโฮลด์บอลคู่ป๊อกบา แต่เป็นหน้าที่ของป๊อกบามากกว่า
อีกตัวอย่างหนึ่ง เฟร็ดเลี้ยงผ่านคู่แข่งด้วยการใช้สกิล แต่ก็เสี่ยงเอาการอยู่เหมือนกัน
ถ้าเฟร็ดรับหน้าที่โฮลด์บอลของแมนฯยูฯ แล้วอยู่ในช่วงบิลด์อัพด่านแรก แฟน ๆ คงไม่
อยากเห็นเฟร็ดทำแบบนี้เป็นแน่
แล้วในรูปนี้ เฟร็ดเลี้ยงพาบอลขึ้นมาเพื่อไหลให้เพื่อนเข้าช่องอย่างสวยงาม
หน้าที่ของ "ตำแหน่งมาติช" เพียงแค่ต้องการให้เฟร็ดจ่ายบอลเร็ว ๆ ให้ป๊อกบาหรือ
บรูโน่เท่านั้น ไม่มีให้เลี้ยงบอล
ถ้าพูดถึงเรื่องเกมรับแล้ว การส่งเฟร็ดลงไปก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน เวลาที่เฟร็ดเล่นกับ
คนที่จะระวังหลังให้ เฟร็ดรับหน้าที่ตัวทำลายเกมแบบวิ่งพล่าน เข้าไปบี้คู่แข่งถึงลูกถึงคน
ด้วยความเร็วและแรง แต่ถ้าคู่กับป๊อกบาแล้ว เฟร็ดต้องคอยดักทางตรงกลาง
แทนที่จะเข้าไปเพรสซิ่ง แต่ต้อง"ถ่วงเวลา" ให้คู่แข่งเข้าตำแหน่งอันตรายช้าที่สุด
ลองเอาความเสี่ยงในเรื่องเกมรับของเฟร็ดมาเทียบกับมาติชดู เราจะเห็นได้ว่ามาติช
จะเล่นเสี่ยงน้อยกว่าเยอะ ซึ่งก็ส่งผลให้เกมรับตรงกลางมั่นคงเวลาที่ต้องเล่นคู่กับป๊อกบา
เฟร็ดมักจะเคลื่อนที่เยอะ ดังที่เห็นในรูปข้างล่างนี้ ซึ่งเป็นช็อตที่เฟร็ดเข้าไปกดดันได้สำเร็จ
ถ้าเฟร็ดจะต้องได้เล่นในตำแหน่งโฮลด์บอล เฟร็ดจะทำให้ป๊อกบาที่วินัยไม่ได้เคร่งครัดมากเท่าไหร่
ยิ่งดูแย่ไปอีก และอาจทำให้แผลในแผงหลังถูกเปิดออกด้วย
แต่เฟร็ดก็แสดงให้เห็นว่าเขาก็สามารถเล่นเกมรับได้ดีใช้ได้เหมือนกันนะ เฟร็ดเป็นคนที่มุ่งมั่น
ถ้าได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเคร่งครัด ก็น่าจะสามารถไปต่อยอดตรงนี้ได้
เฟร็ดสามารถตั้งรับได้ดีในตำแหน่งตรงกลาง แต่เขาต้องท่องไว้ว่าอย่าไปตามบอลมากไป
ให้บังทางถ่วงคู่แข่งไว้ มากกว่าไปประชิดตัว
ผลงานของเฟร็ดในนัดเจอโคเปนเฮเกนก็ถือว่าส่งสัญญาณที่ดีไม่น้อย เฟร็ดดูจะยืนตำแหน่ง
ได้มีวินัยดี เวลาคู่ป๊อกบา เขาก็ต้องรักษาตำแหน่งตรงที่วงไว้นี่ให้ดี
และเฟร็ดก็ยังมีอาวุธที่จะมาใช้ได้ในการจ่ายบอล เฟร็ดเก่งในการวางบอลทะแยงมุม
ช็อตล่างเป็นช็อตที่เฟร็ดเกือบวางบอลให้เพื่อนได้สำเร็จ (แต่ตำแหน่งที่ยืนมันตรงกลางมากไป
มุมจ่ายมันยาก)
ถ้ามาดูรูปนี้ตอนอยู่ที่ชักตาร์ มุมนี้ง่ายกว่าเพราะอยู่ตรงตำแหน่ง Half-space พอดี
ถ้ายูไนเต็ดให้เฟร็ดมายืนเป็นกลางรับฝั่งขวา แล้วใช้สกิลในการจ่ายบอลทะแยงมุม
อาจจะเวิร์คก็ได้ เฟร็ดสามารถเลี้ยงขึ้นมาตรงบริเวณ Half-space แล้วจ่ายบอลทะแยงมุม
โดยที่ไม่โดนกดดันมาก น่าจะเข้าท่าอยู่
และยิ่งไปกว่านั้น เฟร็ดยังโชว์สกิลการเลี้ยงผ่าน 1 ต่อ 1 ตรงบริเวณกรอบโทษด้านซ้าย
ตัวอย่างนี้เฟร็ดหลอกคู่แข่งสองคนแล้วสามารถหาพื้นที่ครอสบอลได้
นี่ก็เป็นสัญญาณว่าเฟร็ดอาจจะมีประโยชน์มากเวลาไปยืนตรงไลน์กองหลัง โดยยืนเป็นตัวซ้ายสุด
สามารถหาช่องงาม ๆ จ่ายให้เพื่อนขึ้นหน้าได้
สรุปคือ เฟร็ดสามารถเล่นตำแหน่งของมาติชได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า
1. เขารู้จักรักษาตำแหน่งให้ดี ใช้การไตร่ตรอง (โดยเฉพาะในเรื่องเกมรับ
และการป้องกันเคาน์เตอร์แอทแทค)
2. ให้เฟร็ดลงมาบิลด์อัพตรงฝั่งซ้ายของปราการหลังสามคน
3. ถ้าเขาสามารถตัดสินใจได้มีเหตุผล และเลือกถ่วงเวลาคู่แข่งมากกว่าเข้าไปตามบอล
ในเวลาป้องกัน
ถ้าพูดถึงเรื่องความหลากหลาย + มุมที่ใช้ในการจ่ายบอลแล้ว เฟร็ดเหนือกว่ามาติช
แต่ถ้านับตอนนี้ มาติชให้ความมั่นคง และช่วยทีมเก็บบอลได้ดีกว่า ซึ่งเฟร็ดก็ต้องเรียนรู้ไป
ถ้าถามผม คิดว่าเฟร็ดจะทำได้มั้ย ผมก็อยากให้เป็นอย่างงั้นแหละ แต่น่าจะเป็นงานหินสำหรับ
เฟร็ดเลย น่าจะเป็นไปได้ยาก
บทความที่ 2 วิเคราะห์เกมกับโคเปนเฮเกน
ที่มา
https://thebusbybabe.sbnation.com/2020/8/12/21363754/manchester-united-tactical-analysis-reds-got-the-job-done-against-copenhagen-europa-league
โดยคุณ Pauly Kwestel
ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้เขียนวิเคราะห์หลังเกมยูโรป้าลีคของยูไนเต็ดบ่อยนัก แต่ผมตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าโซลชาร์ใช้เฟร็ดลงคู่ป๊อกบาเมื่อไหร่ ผมจะเขียนถึงทันที และเกมนี้พอดูอีกรอบก็น่าสนใจมาก เป็นแมตช์ที่น่าหงุดหงิด ค่อนข้างจืดเลยแหละ ทุกคนก็คงได้ดูแล้วรู้สึกเหมือนกัน แต่พอมาลองดูอีกรอบหนึ่ง จะมีหลายเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย
อย่างแรกคือ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ จริง ๆ มันก็มีแท็กติกของโซลชาร์ที่เอ๊ะ ๆ อยู่เหมือนกัน แต่รวม ๆ แล้วแผนที่ว่าก็น่าจะจบเกมได้ใน 90 นาทีนะ แต่ก็ดันเจอโกลเทพ แล้วก็โชคไม่ดีเสียก่อน เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้
อย่างที่สองคือ รอบแรกที่ดูสด ผมคิดว่าเฟร็ดก็ไม่เลวเลยนะกับตำแหน่ง CDM แต่ก็ยังดีไม่พอที่จะทำให้มาติชร้อน ๆ หนาว ๆ ได้ แต่มาดูอีกทีไม่ใช่แฮะ เฟร็ดเล่นดีมากเลย
เกมนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่หลังล็อคดาวน์ที่ แม้จะสลับให้ตัวสำรองมาเล่นบ้างเล็กน้อย ก็ไม่ต้องเปลี่ยนแผน ยังคงใช้แผนเดิมกับนักเตะอะไหล่ที่มาทดแทน
เราเห็นกันไปแล้วในเกมกับพาเลซที่เปลี่ยน แม็คโทมิเนย์ลงมาแทนมาติช แล้วทรงบอลเปลี่ยนไปขนาดไหน
กุญแจสำคัญที่ส่งผลให้ฟอร์มหลังล็อคดาวน์ดีมากคือ การเล่นตำแหน่งของมาติช มาติชถอยไปยืนหลังสามเวลาที่ทีมต้องการบิลด์อัพขึ้นไป เพื่อให้ฟูลแบ็คดันขึ้นไป แล้วเปิดพื้นที่ให้ป๊อกบากับบรูโน่ในตรงมิดฟิลด์
แต่เมื่อแม็คทอมลงมาแทน ไม่ว่าจะเป็นเกมกับพาเลซ หรือเมื่อลงเป็นตัวสำรอง เขามักจะลืมหรือถอยลงมาช้าเกินไปเวลาทีมจะบิลด์อัพ จนแม็คไกวร์ต้องเตือน
และแม็คทอมก็ไม่ทำหน้าที่นี้อย่างเคร่งครัด จนกระทั่งต้องไปให้โค้ชสั่งก่อนในช่วงพักดื่มน้ำ
แต่เฟร็ดไม่จำเป็นต้องให้ใครสั่ง ตั้งแต่เริ่มเกมเลย เฟร็ดถอยลงมายืนหลังสามให้ฟูลแบ็คดันขึ้นไปช่วงบิลด์อัพ เมื่อฟูลแบ็คขึ้นสูงแล้ว แม็คไกวร์ก็มีอิสระในการวางบอลยาวให้แรชฟอร์ด
เฟร็ดเข้าใจการยืนตำแหน่งดีมาก แม้ว่าลูกนี้จะจ่ายเน้นปลอดภัยไปนิด
บทบาทของตำแหน่งนี้เน้นง่าย ๆ เข้าไว้ก่อน CDM ได้รับหน้าที่ให้ถอยลงไปหลัง เพื่อให้ป๊อกบาได้มีอิสระในการเล่นมากขึ้น และทำให้ป๊อกบาได้รับบอลง่ายขึ้นด้วย เวลาได้บอล ง่าย ๆ เลยก็คือ มองหาตัวเลือกที่จะจ่ายขึ้นหน้าให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะจ่ายให้ผู้เล่นตัวอันตรายของทีมคุณได้เข้าถึงตำแหน่งที่จะโจมตีคู่แข่งได้ให้เร็วที่สุด
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่สถิติตัวเลขของเกมรุกยูไนเต็ดพุ่งพรวดเวลาที่มาติชอยู่ในทีม เพราะเขาจ่ายขึ้นหน้าให้นักเตะตัวรุกตัวทำเกมได้ดี
ละเฟร็ดก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีในเกมที่ผ่านมา และทำได้ตลอดทั้งเกมด้วย ติดที่ว่า นักเตะตัวรุกของเราเกิดเล่นติด ๆ ขัด ๆ กันซะงั้น
และนี่เป็นจังหวะที่เฟร็ดตัดบอลได้แล้วจ่ายไปให้มาร์คซิยัลเพื่อโต้กลับ แต่มาร์คซิยัลกับแรชฟอร์ดเกิดไม่เข้าใจกัน
ไม่กี่นาทีต่อมา เฟร็ดก็โชว์ให้เห็นถึงความว่องไว พุ่งเข้ามาตัดเกม แล้วออกบอลโต้กลับ แต่ทีมจบไม่ลง
และนี่คือการจ่ายตัดไลน์เข้าช่องของเฟร็ด
และนี่เป็นช็อตที่เฟร็ดโชว์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ไม่ยอมโดนเบียด แล้วผ่านบอลไปให้มาร์คซิยัลได้
และจุดนี้ เฟร็ดสแกนหาพื้นที่แล้วรับบอล พลิกตัวแล้วจ่ายบอลให้บรูโน่ น้ำหนักทิศทางยอดเยี่ยมมาก
จังหวะสุดท้ายมาร์คซิยัลจับบอลพลาดไปนิด
ก็เป็นตัวอย่างที่ได้เห็นจังหวะการเล่นที่ยอดเยี่ยมของเฟร็ด ความเข้าใจเรื่องตำแหน่งของเฟร็ดเยี่ยมมาก
เกมรับก็เล่นได้ดุดันและมีส่วนร่วมตลอด การยืนตำแหน่งในเกมรับของเฟร็ดดีกว่าที่คนทั่วไปคิดนัก
(เขาจะวิ่งไล่เยอะ ๆ ก็ตอนที่เล่นบ็อกซ์ทูบ็อกซ์นั่นแหละ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เอื้อให้เล่นแบบนั้นอยู่แล้ว)
และเรื่องราวในช่วงเวลาปกติก็เป็นเช่นนี่แล ด้วยตำแหน่งของเฟร็ดและมาติชที่ทำหน้าที่เคลื่อนบอลไปข้างหน้าเฉย ๆ ส่วนบอลจะไปสู่ก้นตาข่ายมั้ยนั้น พวกเขาไม่ค่อยมีผลต่อส่วนนั้นเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับเกมรุกทั้งสี่คน ที่แมตช์นี้เล่นกันไม่เป๊ะเท่าไหร่
อย่างเช่นจังหวะที่มาร์คซิยัลจ่ายบอลเกินให้กรีดวูด
หรือจังหวะนี้ที่วิลเลียมส์จ่ายย้อนหลังให้แรชฟอร์ดนิด ๆ และป๊อกบาก็มาจ่ายขาดอีก
หรือตรงนี้ที่จ่ายบอลขึ้นหน้ากันสวย ตัวรุกวิ่งฉีกตำแหน่งกันดีแล้ว แต่บรูโน่จ่ายแรงไป
หรือจังหวะนี้ที่บรูโนที่ถนัดยิงไกล ลูกนี้มีช่องแล้วแต่ไม่ยิง เลือกจ่ายก็เบาหวิว
ก็เป็นจังหวะเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้แหละที่พอมีเยอะ ๆ เข้าตลอดทั้งเกม มันก็จะทำให้เจาะยิงประตูยากเข้าไปอีก
มีช็อตบางช็อตของเฟร็ดที่อยากให้ทุกคนได้ดู
อันแรกก็ลูกจ่ายพลาดลูกนั้นแหละ คิดว่าทุกคนได้ดูคงไม่ลืม และคงกาดอกจันใหญ่ ๆ ในใจ
หมายหัวเอาไว้แล้ว
บอกจริง ๆ เลยว่า ลูกนี้ผมไม่ถือเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อทีมก็ไม่ได้เสียประตู เป็นเรื่องของการตัดสินใจเสี้ยววินาทีมากกว่า เขาตั้งใจจะยัดบอลไปให้วาน บิสซาก้า แต่พลาด ไม่ใช่เรื่องของการหลุดตำแหน่งแต่อย่างใด
แต่จริง ๆ แล้วลูกนี้ก็ไม่ควร ควรจ่ายให้บายี่ง่ายสุด
อีกสองช็อตเป็นเรื่องราวดี ๆ
ลูกแรกเป็นจังหวะเซ็ตพีซ โคเปนเฮเกนเคลียร์บอลออกมาหาเฟร็ด เฟร็ดเห็นจังหวะการวิ่ง แล้วหยอดไปให้แรชฟอร์ด น้ำหนักเกินนิดเดียว
ลูกจ่ายอาจจะพลาดไป แต่มีจุดดี ๆ ที่น่าสนใจอยู่นะ อย่างแรกคือ เฟร็ดพอได้บอลก็มองหาตัวจ่ายทันที ไม่ได้คืนหลังหรือเล่นเซฟแต่อย่างใด
เขาเห็นแล้วว่าแรชฟอร์ดวิ่งไปก็หยอดจงใจให้เลย มาติชกับแม็คทอมไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้ให้เห็น น้ำหนักอาจจะขาด อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ลงเล่นเยอะ แต่ลูกจ่ายแบบนี้เป็นสิ่งที่คุณอยากจะเห็นนักเตะในตำแหน่งโฮลด์บอลเล่น
และจังหวะที่สองคือจังหวะที่เฟร็ดจ่ายทะลุช่องให้นักเตะเกมรุก
จริงอยู่ที่หน้กที่หลักของคุณคือการโฮลด์บอล อยู่รอเพื่อเตรียมเล่นเกมรับ แต่มันจะมีจังหวะที่คุณได้ขึ้นหน้าและต้องสร้างเกมรุกเองด้วย ตั้งแต่ป๊อกบาหายเจ็บกลับมา แต่ละทีมมักจะจับตายบรูโน่กับป๊อกบา แต่ปล่อยให้แม็คทอมหรือมาติชครองบอล
คติหลักคือ "อย่าให้บรูโน่กับป๊อกบาได้บอล แต่ปล่อยให้แม็คทอมกับมาติชสร้างเกมรุกดู"
ยูไนเต็ดไม่ได้ต้องการตัวสำรอง (หรือตัวที่จะมาแทน) มาติชเท่านั้น แต่ยังต้องการมิดฟิลด์ที่สามารถลงโทษคู่แข่งได้ถ้าปล่อยให้เขาว่าง
เฟร็ดมีสถิติ Key Passes ที่สูงกว่ามาติชและแม็คทอม (เพราะปกติเล่นตำแหน่งสูงกว่ามาติชด้วยแหละ) มีค่า xA (ค่าความน่าจะเป็นของการแอสซิสต์ในแต่ละแมตช์) และมีสถิติการสร้างสรรค์การทำประตูที่สูงกว่าทั้งคู่เยอะ เพราะทั้งคู่ไม่ใช่สไตล์สร้างสรรค์เกมซะเท่าไหร่
และนี่ก็เป็นคุณสมบัติสำคัญที่เฟร็ดจะมอบให้แก่ทีมได้ ถ้าเฟร็ดพยายามเล่นลูกจ่ายทะลุแบบนี้ เดี๋ยวมันก็ได้ผลเอง แล้วถ้าทีมต่าง ๆ เริ่มตระหนักในความอันตรายตรงนี้เมื่อไหร่ ป๊อกบากับบรูโน่ก็จะมีพื้นที่เล่นมากขึ้น
ตอนที่ผมดูรอบแรก ผมก็คิดนะว่ามาติชลงมาแล้วสร้างความแตกต่างจริง ๆ แต่มาดูอีกทีแล้วไม่ใช่
ยูไนเต็ดได้ยิงแค่สองครั้งช่วง 20 นาทีสุดท้าย คือลูกแรชฟอร์ด กับมาร์คซิยัลจากระยะไกล
แต่เกมมาเปลี่ยนจริง ๆ ตอนมาต้าลงมาช่วงต่อเวลา
แม้มาต้าจะแรงวิ่งไม่ค่อยดีแล้ว แต่เรื่องความฉลาดต้องยกให้ โดยเฉพาะกับทีมที่เหนื่อยจนแทบขาดใจแล้วอย่างโคเปนเฮเกน มาต้ารับหน้าที่เพลย์เมคเกอร์อีกตัวที่สามารถถอยมารับบอลต่ำ แล้วพลิกเกมได้
จากนั้น มาต้าก็เข้าแทรกไปยังตำแหน่งอันตราย จนจ่ายให้ทีมได้ลูกโทษ
จากจุดนั้นมา สาเหตุที่โคเปนเฮเกนเสียแค่ลูกเดียวคือฟอร์มองค์ลงของ จอห์นส์สัน
ช่วง 70 นาทีแรก ที่ 11 ตัวแรกเล่น ยูไนเต็ดยิงไป 14 ครั้ง ค่า xG คือ 1.3 (ค่าความน่าจะเป็นของการยิงประตู หมายความว่าในช่วงเวลา 70 นาทีนี้ยูไนเต็ดน่าจะยิงได้ 1 ลูก กับอีก .3) ลองเอาไปคิดเป็น
"ต่อ 90 นาที" ก็จะได้ค่า xG เท่ากับ 1.67 + จังหวะยิง 18 ครั้ง
จังหวะยิง 18 ครั้งนี้ก็เท่า ๆ กับค่าเฉลี่ยของฤดูกาลนี้เลย (19.57) ส่วนค่า xG ก็พอ ๆ กับนัดเจอเวสต์แฮมกับ เลสเตอร์
ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะการขาดหายไปของลุค ชอว์ในนัดเหล่านี้ และการไม่มีแบ็คซ้ายถนัดซ้ายส่งผลต่อการขึ้นเกมของยูไนเต็ดอย่างหนัก
แล้วนัดที่ผ่านมา เกมรุกจากแบ็คของยูไนเต็ดแทบจะบอด ทางด้านขวา กรีดวูดก็ไม่ได้ช่วยวาน บิสซาก้าอะไรเท่าไหร่ กรีนวูดต้องยืนประจำริมเส้น จนกว่าวาน บิสซาก้าจะเติมขึ้นมา
เกมหลัง ๆ กรีนวูดได้รับอิสระให้เคลื่อนที่อิสระได้ แต่ต้องมีคนมาเติมตรงจุดนั้น นัดที่ผ่านมากรีนวูดก็เคลื่อนที่ฉีกออกมาแต่ไม่มีใครมาเติมตรงตำแหน่งกรีดวูด เมื่อบอลมาถึงวานบิสซาก้าแล้วก็ไม่รู้จะจ่ายให้ใครเพราะโดนล้อมไว้สามคน
ทางด้านซ้ายก็เป็นเหมือนทุกที วิลเลียมส์ตัดเข้าเท้าขวามากเกินไป ทำให้เกมไม่ไหลลื่น หรือไม่ก็เติมขึ้นมาช้า
อย่างจังหวะนี้ แรชฟอร์ดรอวิลเลียมส์เติมมา นานกว่าจะมา
พอวิลเลียมส์มาถึงแล้ว ไม่มีกองหลังคนไหนตามไปเลย เพราะรู้ว่าวิลเลียมส์จะไม่ทำอันตรายใด ๆ เหมือนกับเวสต์แฮมเลยที่ปล่อย
แต่ถึงจะมีอุปสรรคที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ยูไนเต็ดก็ค่อนข้างสบายทีเดียว โรเมโร่ไม่ได้มีงานให้ทำ และน่าจะขึ้นนำไปได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ยูไนเต็ดแทบไม่พยายามเลยช่วงแรก คือแทบไม่วิ่งกันเลย
ดูสิ ไม่เคลื่อนที่กันเลย เชื่อว่าเป็นคำสั่งมาจากผู้จัดการทีม
และดูจะเป็นกลยุทธ์ที่ผ่อนแรงเอาไว้ในช่วงแรก ไม่เพรสซิ่งอะไรเท่าไหร่ จะรอให้คู่แข่งจ่ายไปจ่ายมามากกว่า
น่าสนใจว่าทำไมโซลชาร์ถึงเลือกใช้ "แผนมูรินโญ่" แบบนั้น ทำให้ต้องตั้งคำถามกับผู้จัดการทีมซะหน่อย
เข้าใจได้ว่า อากาศที่โคโลญจน์มันร้อนและชื้นมาก ถ้าให้เพรสซิ่งตลอด 90 นาที ไม่ไหวแน่
แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่า ทำไมโซลชาร์ถึงส่งตัวหลักไปครบตั้งแต่แรกขนาดนั้น ถ้าจะไม่ไล่บอลขนาดนี้
เดาได้ว่าแผนคือจะเอาชนะได้แบบชิล ๆ นำสามสี่ศูนย์แล้วค่อยเปลี่ยนตัวรวดเดียว แต่แท็คติกที่ใช้ตอนแรก
มันขัดกันเหลือเกิน
ทำไมถึงไม่ให้พวกสด ๆ อย่างอิกกาโล่ ลินการ์ด และเปร์เรร่า มาวิ่งเพรสซิ่งซัก 60 นาที แล้วค่อยส่งอาวุธหลักลงมา?
จริง ๆ ก็รู้แหละว่า ตัวสำรองลงมาแล้วทำหน้าที่ได้ไม่ดีในนัดก่อน ๆ แต่นั่นมันเป็นเพราะส่งชุดบีลงพร้อมกันไง
มันต่างกันนะเมื่อเทียบกับการส่งพวกนี้ลงไปเล่นกับป๊อกบากับบรูโน่ และสั่งให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี มันต่างออกไปตรงที่ความกดดันไม่ได้อยู่ที่คุณว่าจะต้อง perform ถ้ามาเล่นกับทีมชุดหลัก
ขนาดมาต้ายังสร้างความแตกต่างได้ขนาดนี้ ลองคิดดูว่าถ้าส่งแรชฟอร์ดกับมาร์คเซียลลงมาช่วงท้ายจะสร้างความแตกต่างได้ขนาดไหน ดูมาร์คเซียลยังเงียบมาตั้ง 80 นาที
แต่โซลชาร์เล่นแบ่งรับแบ่งสู้ ส่งตัวจริงไป 10 คน (โรเมโร่ก็ถือเป็นตัวจริงในบอลถ้วย) แต่กลับให้ไปเล่นแค่ 60 % วิ่งเหยาะ ๆ กัน เลยจนแล้วจนรอด นักเตะก็ดูเหนื่อยอยู่ดีเมื่อถึงครึ่งทางของครึ่งหลัง แถมยังต้องต่อเวลาครึ่งชั่วโมง
พอถึงครึ่งหลังก็แทบไม่เปลี่ยนตัวก็ตอกย้ำเรื่องที่ยูไนเต็ดไม่ค่อยมีตัวพลิกเกมอยู่บนม้านั่งสำรอง การที่โซลชาร์ใช้ตัวจริงเกือบหมดแล้วเล่นแบบผ่อนแรงก็แสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อใจตัวสำรองน้อยมาก
พอแอสตัน วิลล่าเห็นแมนฯยูฯต้องการตัวเปลี่ยนเกมแบบนี้แล้ว ก็คงยิ้มพร้อมชี้ไปที่ราคา 80 ล้านปอนด์ของกรีลิช ลองนึกดูว่าถ้ามีใครซักคนที่คุณภาพขนาดนั้นแล้วสามารถทดแทนแล้วลงตัวจริงได้สบาย ๆ เพื่อให้แรชฟอร์ดได้พัก และเป็นการตอกย้ำเข้าไปอีกว่ายูไนเต็ดจำเป็นต้องได้ซานโช่แค่ไหน
เกมนี้อาจจะน่าเบื่อไปซะหน่อย แต่ก็มีจุดดี ๆ อยู่ เฟร็ดอาจจะไม่ได้ถึงขนาดเป็นตัวตายตัวแทนมาติชอะไรแต่ถ้าทีมต้องการเขาก็สามารถมาทดแทน โดยที่คุณภาพไม่ลดลง
ถ้าเป็นช่วงต้นฤดูกาล เกมแบบนี้มักจะไม่เข้าทางยูไนเต็ดเท่าไหร่ ถ้านาน ๆ ไปแล้วยังยิงประตูไม่ได้จนน่าหงุดหงิดแบบนี้ บางทีก็อาจจะไล่เพรสซิ่งหนักเกินไปจนทำให้อีกฝั่งสวนจนตุงได้
แต่เกมที่ผ่านมาทีมไม่ได้ปล่อยให้ความหงุดหงิดนั้นครอบงำ แต่เล่นไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ นวดจนโอกาสมาถึง และเมื่อมาถึงก็ฉวยเอาได้ ก็นับเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับทีมพลังหนุ่มแบบนี้
ยูไนเต็ดมาเจอเข้ากับยันต์มหาอุด ยิ่งชนเสา/คาน ไป สามครั้ง ก็ดวงไม่ดีนั่นแหละ เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นกันได้ แต่ที่สำคัญคือยูไนเต็ดผ่านเข้ารอบรองแล้ว
ได้แต่หวังว่าต่อเวลา 30 นาทีนี้จะไม่วกกลับมาแว้งกัดในเกมต่อ ๆ ไป
-----จบ-----