ผู้ช่วยแมวมอง
Status: Would you rather die a hero?
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Jun 2019
ตอบ: 8343
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Aug 12, 2020 02:51
“ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” : นิธิ เอียวศรีวงศ์
ศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เชื่อว่าแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนและผู้เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์จะรักษา "พื้นที่สันติวิธี" ไว้ให้มากที่สุดเพื่อผลักดันข้อเรียกร้องให้เป็น "ญัตติสาธารณะ"
ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ และนักวิจารณ์การเมืองไทยมองว่าการเคลื่อนไหวของนายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และการชุมนุมที่ใช้ชื่อว่า "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" เมื่อ 10 ส.ค. เป็นการ "ขยับเพดาน" การเคลื่อนไหวต่อสาธารณะ และอาจนำมาสู่ความรุนแรง "หากฝ่ายอนุรักษนิยมไม่ยอมให้ขยับเพดาน"
ศ.ดร. นิธิเห็นว่า รัฐไทย "ไม่เหลือความชอบธรรม" ในการนำกฎหมายมาจัดการกับผู้ชุมนุมอีกต่อไป หลังออกหมายจับนายอานนท์ เพราะเขาเห็นว่าเนื้อหาคำปราศรัยของทนายความหนุ่มไม่ผิดกฎหมายฉบับใด แต่สิ่งที่อาจตามมาหลังจากนี้ คือหากผู้กุมอำนาจรัฐจัดตั้งอีกฝ่ายให้ออกมาตอบโต้ ก็อาจเกิดความรุนแรง
"ไม่ใช่ความรุนแรงทุกครั้งที่ไม่ชอบธรรมเสมอไป ไม่จริงหรอก คนอย่าง เชอร์ชิล (วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ) พร้อมใช้ความรุนแรงทันทีถ้าอินเดียหือขึ้นมา คนอังกฤษบอกถูกต้องแล้ว กระทืบเลย ก็กลายเป็นความชอบธรรม" อดีตอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้ความเห็น
"แต่ปัญหาของไทยคือถ้าจะใช้ความรุนแรงกับนักศึกษาตอนนี้ยังเป็นความชอบธรรมหรือไม่ อย่างเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่เกิดความรุนแรง แต่คนไทยจำนวนมากในเวลานั้นก็รู้สึกว่าดีแล้ว มันเป็นลูกญวน ลูกเจ๊ก เห็นเป็นความชอบธรรมในการทำลายทำร้าย แต่ถ้าเกิดขึ้นครั้งนี้จะรุนแรงกว่า และไม่สามารถโทษได้ว่าเป็นลูกจีน" ศ.ดร. นิธิ ที่ถูกกล่าวหาว่าจากกลุ่มนักกิจกรรมฝั่งนิยมเจ้าว่าเป็น "นักวิชาการเสื้อแดง" คาดการณ์
ช่วงเย็นของวันที่ 10 ส.ค. ผู้ชุมนุมหลายพันคนรวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต ร่วมกิจกรรม "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" โดยกลุ่มผู้จัดงานได้ประกาศข้อเรียกร้อง 10 ข้อว่าด้วยการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
ก่อนหน้านั้น ประชาชนอีกกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า "ศูนย์กลางประสานนักศึกษาอาชีวะ ประชาชนปกป้องสถาบัน" หรือ ศอปส. ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมเปิดเผยว่ามีการจัดตั้งเครือข่ายขึ้นมาในทุกจังหวัด เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของขบวนการนักเรียน นิสิต นักศึกษา กรณีมีเนื้อหาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
ศ.ดร. นิธิเห็นว่า กลุ่มที่ใช้ชื่ออาชีวะที่ออกมาเคลื่อนไหวอาจยังไม่ใช่ "ตัวจริง" เพราะอาชีวะตัวจริงก็มีอนาคตของตัวเองที่ต้องปกป้องดูแล ก็คงไม่อยากมายุ่งเรื่องแบบนี้
"อาชีวะเคยมีบทบาทสูงมากในเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งมาจากการสร้างขึ้นของ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) ต้องใช้เงินมหาศาลและใช้เวลาพอสมควรในการควานหาตัวคนทั้งเด็กจบแล้วและเด็กที่ยังเรียนอยู่ โดยเด็กเหล่านั้นต้องสามารถแจกจ่ายผลประโยชน์ให้คนที่จะเข้าร่วมได้ และทำให้เจ้าหน้าที่รัฐหันหน้าไปทางอื่นเวลาที่อาชีวะปาระเบิด" ศ.ดร. นิธิวิเคราะห์
"ดังนั้นถ้านักศึกษาปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปสัก 6 เดือน กอ.รมน. ก็น่าจะจัดตั้งฝ่ายต่อต้านทัน ถ้าจัดตั้งได้เมื่อไรนะคุณเอ้ย..." นักวิชาการวัย 80 ปีผู้นี้อุทานเสียงสูง
ศ.ดร. นิธิ เปรียบการเคลื่อนไหวของนายอานนท์ และข้อเรียกร้อง 10 ข้อที่ถูกประกาศเมื่อ 10 ส.ค. ว่าคล้ายกับวีรกรรมของเด็กชายในนิทานอีสปเรื่อง "พระราชากับชุดล่องหน"
"สิ่งที่คุณอานนท์ทำ มันคล้าย ๆ กับเด็กที่ไปตะโกน 'The king is naked.' (พระราชาไม่ใส่เสื้อผ้า) ในนิทาน เราทุกคนถูกทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่ ไม่จริง ไม่มี ไม่มอง จนกระทั่งมีเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา คนก็เริ่มพูดต่อ ๆ กัน บทบาทของคุณอานนท์ก็เหมือนเด็กชายคนนั้น" ศ.ดร. นิธิกล่าว
นายอานนท์เป็นหนึ่งในผู้ปราศรัยในการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "เยาวชนปลดแอก" เมื่อ 18 ก.ค. และอีกหลายเวที รวมถึงเวทีที่ ถ.ราชดำเนิน เมื่อ 3 ส.ค. ซึ่งเขาได้อภิปรายปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อนถูกออกหมายจับลงวันที่ 6 ส.ค. ในความผิดหลายข้อหา ทว่าไม่ปรากฏข้อหาละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ตามที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเข้าแจ้งความดำเนินคดีแต่อย่างใด
นายอานนท์เปิดปราศรัยซ้ำในหัวข้อเดียวกันนี้ที่ จ.เชียงใหม่ และ มธ. ซึ่งในเวทีล่าสุดไม่ใช่แค่ทนายความวัย 35 ปี แต่มีนักศึกษาอีกอย่างน้อย 2 คนที่เปิดปราศรัยประเด็นที่เกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันฯ
หนึ่งในข้อเรียกร้องของนักศึกษาที่เรียกตัวเองว่ากลุ่ม "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ที่ ศ.ดร.นิธิให้ความสนใจเป็นพิเศษ ปรากฏอยู่ในข้อ 7 ของแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ซึ่งระบุว่า "ยกเลิกพระราชอำนาจการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ" เพราะที่ผ่านมา สังคมอาจมองไม่เห็น หรือไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายต่อการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตย หรือทำให้โอกาสการเลือกนโยบายแคบลงในหมู่ประชาชน
"แต่ทันทีที่มีคนหนึ่งคนตะโกนออกมา แม้คุณจะไม่สามารถพูดได้ แต่มันก็เข้าไปอยู่ในใจคุณแล้ว" นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์กล่าว
ในโลกสมัยใหม่ ศ.ดร. นิธิมองเห็นทางเลือก-ทางรอดสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ 2 แนวทาง
กลายเป็น "เสาหลักประชาธิปไตย" โดยกษัตริย์ไม่แทรกแซง หรือหากจะแทรกแซง ก็จะทำเป็นการส่วนตัวหรืออยู่เบื้องหลัง แต่ไม่ใช้พระราชอำนาจ รูปแบบนี้ปรากฏในประเทศอังกฤษ และ "เป็นธรรมเนียมว่าพระราชดำรัสเกี่ยวกับการเมือง รัฐบาลจะเป็นผู้ยกร่างถวายให้แก่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ดังนั้นฝ่ายค้านอาจคัดค้านหรือต่อต้านได้ เพราะรู้ว่าท่านไม่ได้พูด แต่พูดตามสิ่งที่รัฐบาลเขียน"
กลายเป็น "invisible" (มองไม่เห็น) ถ้าเมื่อไรที่สังคมมองเห็นก็จะกลายเป็นบทบาทไป ดังนั้นหากเสด็จไปเปิดงานที่มีลำดับขั้นตอนเหมือนกันเป็นประจำ พิธีกรรมก็จะช่วยปิดบังตัวตนเอาไว้ กษัตริย์จะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง นี่คือวิธีที่จะทำให้สถาบันดำรงอยู่อย่างมั่นคง รูปแบบนี้ปรากฏชัดเจนในประเทศญี่ปุ่น และ "จักรพรรดิจะไม่มีพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการเมืองเลย เมื่อใดที่มีพิธีกรรม ก็จะตรัส 2-3 ประโยค และเป็นคำพูดที่ทุกคนคาดเดาได้"
ในการพิจารณาข้อเสนอแนะต่าง ๆ ศ.ดร. นิธิแนะให้แยะตัวบุคคลออกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตามเขายอมรับว่านับจากเหตุการณ์ปฏิวัติสยาม 24 มิ.ย. 2475 ประเทศไทยไม่ได้พัฒนาตัวสถาบันฯ เหมือนที่เราไม่ได้พัฒนาสถาบันนายกรัฐมนตรี แต่หวังว่าจะได้คนดีเป็นนายกฯ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่
"เราเลือกมาอาจผิด ๆ ถูก ๆ แต่ต้องมีกฎหมายกำกับให้นายกฯ ไม่สามารถทำชั่วได้มากนัก นี่เป็นจุดสำคัญ และเป็นจุดที่ผมคิดว่าอยู่ในความคิดของนักศึกษาทีต้องการพัฒนาสถาบันฯ ให้กลายเป็นสถาบันอย่างแท้จริง" ศ.ดร. นิธิกล่าว
"จินตนาการต่อระบอบประชาธิปไตย" ที่ขบวนการนักศึกษากับฝ่ายอนุรักษนิยมมีไม่เหมือนกัน ทำให้เพดานในการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในพื้นที่สาธารณะแตกต่างกันไปด้วย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเยาวชน ได้ "ทะลุเพดานไปแล้ว" ตามความเห็นของนักวิชาการผู้นี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กรุ่นหลังไม่มีภาพจำและประสบการณ์ในอดีตแบบรุ่นพ่อแม่ จึงไม่ตกอยู่ภายใต้การถูกครอบงำด้วยกระบวนทัศน์แบบเก่า อีกทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักวิชาการหลายแขนงวิชาค่อย ๆ สร้างความรู้และขยายออกสู่สังคม ทำให้เกิดการสั่งสมข้อมูล เกิดวิธีการมองโลกใหม่
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. นิธิประเมินว่า ข้อเรียกร้อง "ข้อ 0" ที่อยู่เหนือ 3 ข้อเรียกร้องของเครือข่ายนักศึกษา ซึ่งได้แก่ หยุดคุกคามประชาชน, แก้รัฐธรรมนูญ, ยุบสภา เป็นไปได้ยากที่คนในสภาจะร่วมเคลื่อนไหวด้วย เพราะนักการเมืองยังค่อนข้างเชื่อมั่นว่าในระบบที่เป็นอยู่ ถ้ามีการเลือกตั้ง ก็ยังมีหาทางหลุดเข้าไปเป็น ส.ส. ได้ ดังนั้นนักเลือกตั้งจะไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง จนกว่าจะมั่นใจว่าข้างนั้นชนะแน่ ๆ
ส่วนความเคลื่อนไหวของคนการเมืองอดีตพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ที่กลายเป็นพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในปัจจุบัน ที่เปิดตัวในระนาบเดียวกับขบวนการนักศึกษา ศ.ดร. นิธิอธิบายว่า เป็นเพราะ อนค. โผล่ขึ้นมาได้จากการเปลี่ยนแปลง และเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในสุญญากาศจากการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจุดยืนและผลประโยชน์ของ อนค. จึงอยู่กับความเปลี่ยนแปลง จึงต้องมีบทบาทนำหน้าเป็นธรรมดา แต่ครั้นจะหวังให้พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคอื่น ๆ มาร่วมด้วย คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้มีผลประโยชน์แบบนั้น อย่าลืมว่านักการเมืองไทยเป็นตัวตามที่สุด
เช่นเดียวกับสื่อมวลชนกระแสหลักที่เขาเห็นว่า "ไม่กล้ากระจายความคิดของนักศึกษาออกไปสู่ข้างนอก ทำให้โซเชียลมีเดียต้องเป็นตัวนำ" ซึ่งส่วนตัวเขาเข้าใจทั้งสื่อและนักการเมืองที่ยังไม่แน่ใจว่าจะโดดไปฝั่งไหนดี และก็เป็นความอ่อนแอของมนุษย์ด้วย
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เคยประกาศไว้เมื่อเดือน ก.ย. 2561 ว่า "รัชกาลนี้ต้องสงบที่สุด อย่าให้เกิดการประท้วง"
แต่นักวิชาการชื่อดังมองว่า "ผมคิดว่าประยุทธ์จบแล้ว แต่ปัญหาคือยังไม่รู้ว่าจะเริ่มฉากใหม่อย่างไร" หลังเครือข่ายนักศึกษาออกมาดักคอว่าห้ามรัฐประหารซ้ำ และไม่รับข้อเสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ และเป็นเหตุผลที่ทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังอยู่ในอำนาจในปัจจุบัน
"ปรากฏการณ์ใหม่" ที่เกิดขึ้น ทำให้นักประวัติศาสตร์รายนี้คาดหวังจะเห็น "ฉันทมติใหม่" ในสังคมหากฝ่ายอนุรักษนิยมเลือกทางที่รักษาตัวสถาบันเอาไว้
เขาอธิบายว่า ในเมืองไทยมีจารีตนิยมอยู่ ทว่าคนที่ภักดีต่อจารีตนิยมจริง ๆ มีน้อยมาก เพราะตัวจารีตนิยมไม่สามารถพัฒนาความคิดตัวเองให้เด่นชัดในสังคมปัจจุบันได้ คนที่รู้สึกตัวว่าเป็นจารีตนิยมก็เพื่อผลประโยชน์ ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ส่วนคนที่ภักดีด้วยความสุจริตใจอาจมีไม่มากนัก
"คนที่ไปเป็นฝ่ายเดียวกับ คสช. หรือ สนช. ผมว่าเขาไม่ใช่คนคอนเซอร์เวทิฟ (อนุรักษนิยม) จริง ๆ ถ้าลองเอาเทียบกับพวกคอมมิวนิสต์ คนละเรื่องเลยนะ เพราะคอนเซอร์เวทิฟไม่ได้มีพันธะทางใจกับสิ่งที่พูดถึงมากเพียงพอ" ศ.ดร. นิธิกล่าว
เขาชี้ว่า ในทางกลับกัน หากพิจารณาเฉพาะคำพูดของนักศึกษาที่ยื่น 10 ข้อเสนอในการปฏิรูปสถาบันฯ, อานนท์ หรือแม้แต่ ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่ลี้ภัยในประเทศญี่ปุ่น ก็เพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่ในประเทศไทย หลังถูกใช้ประโยชน์จนเสียหายและดำรงอยู่ได้ยากอยู่แล้วในโลกสมัยใหม่
"นี่คือจงรักภักดีด้วยความสุจริตใจ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้อะไรเลยจากการออกมาพูดเรื่องนี้ มีเสี่ยงภัยด้วยซ้ำ"
แก้ไขล่าสุดโดย Wolvesgangster เมื่อ Wed Aug 12, 2020 03:01, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ