“ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท “การจัดการฟุตบอลอาชีพ” ที่ มรภ.สวนสุนันทา หวังนำความรู้ไปต่อยอด สานฝันเก้าอี้นายกลูกหนังไทยในอนาคต

“ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย หัวหอกทีมชาติไทย ของ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี เปิดเผยถึงอนาคตในเส้นทางลูกหนังว่า ขณะนี้ตนเองมีอายุ 35 ปีแล้ว คงจะสามารถลงเล่นในฐานะนักเตะได้อีกประมาณ 5 ปี หลังจากนั้นก็คงจะอยู่ในวงการฟุตบอลไทยต่อไป โดยตั้งเป้าหมายว่าจะก้าวขึ้นไปทำงานในระดับบริหาร ไม่ว่าจะเป็นระดับสโมสร สมาคมกีฬาฟุตบอล หรือแม้แต่สหพันธ์กีฬานานานาชาติ อย่าง เอเอฟซี หรือ ฟีฟ่า ต่อไป

“เพื่อเป็นการเติมเต็มในการสานฝันดังกล่าว ผมจึงตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการฟุตบอลอาชีพ วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งถือเป็นหลักสูตรที่ตรงกับใจมากที่สุด โดยจะเริ่มเรียนในภาคการศึกษา 2563 ที่จะเปิดภาคเรียนในวันที่ 20 ก.ค.นี้”

“ลีซอ” กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้มีคนอยากให้ไปเรียนหลักสูตรโค้ช แต่ตนเองยังไม่อยากเรียน อยากมุ่งมั่นสร้างผลงานในสนามให้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ในเวลานี้พร้อมแล้วที่จะกลับไปเรียนอีกครั้ง โดยหลังจากปรึกษากับครอบครัว ได้ข้อสรุปว่า ไหนๆ ก็เล่นบอลอาชีพ อยู่ในวงการมาแล้ว ถ้าไม่อยากเป็นโค้ชก็ควรทำงานด้านบริหาร ซึ่งการเข้ามาเรียนหลักสูตรการจัดการฟุตบอลนี้ ถือเป็นความรู้ตรงสายการประกอบอาชีพในอนาคต ที่ในความฝันลึกๆ ของตัวเอง อยากจะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลไทยให้ได้

สำหรับ ธีรเทพ วิโนทัย เริ่มมีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลไทยตั้งแต่อายุ 10 ปี เมื่อร่วมทีมลูกหนัง “ชงโคสีม่วง” กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย คว้าแชมป์ฟุตบอลนอร์เวย์คัพ ที่ประเทศนอร์เวย์ 3 สมัยซ้อน หลังจากนั้นเมื่ออายุ 14 ปี ติดทีมเยาวชนไทยไปแข่งขันฟุตบอลเยาวชน 17 ปี ชิงแชมป์โลก ที่ประเทศนิวซีแลนด์ และได้ไปเล่นให้กับ “ปราสาทเรือนแก้ว” คริสตัล พาเลซ ในประเทศอังกฤษ จากนั้นก้าวขึ้นไปติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ เมื่ออายุ 19 ปี จนถึงปัจจุบัน ส่วนการเล่นในระดับสโมสร ถือเป็นจอมพเนจรคนหนึ่ง ผ่านการเล่นให้ทีมชั้นนำมาแล้วมากมาย อาทิ บีอีซี โทโรศาสน, เคลินเซ (เบลเยียม), เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, บางกอกกล๊าส, เพื่อนตำรวจ, แบงคอก ยูไนเต็ด และต้นสังกัดปัจจุบัน คือ ชลบุรี เอฟซี

ขณะที่ รศ.ดร.ชุติกาญจน์ ศรีวิบูลย์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวว่า ขอต้อนรับ “ลีซอ” เข้าสู่การเป็นนักศึกษาของ มรภ.สวนสุนันทา ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏอันดับ 1 ของประเทศไทย การตัดสินใจเข้าศึกษาต่อของลีซอในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง เพื่อต่อยอดไปสู่อนาคตหลังจากอำลาอาชีพนักฟุตบอลแล้ว ยังจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทย ที่เห็นลีซอเป็นไอดอล ในเรื่องของการศึกษา การวางแผนอนาคตชีวิต เพื่อการประสบความสำเร็จในอนาคต

สำหรับหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการฟุตบอลอาชีพ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เปิดสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ขณะนี้กำลังเปิดรับสมัครนักศึกษาในปีการศึกษา 2563 โดยผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ นายนิกร นันทวงศ์ โทร 02-160-1558, 098-2602394 (ในเวลาราชการ) หรือดูรายละเอียดที่ Facebook: MBA การจัดการฟุตบอลอาชีพ

เสื้อเหลือง

สเป็คเราต้องใส่แว่นตลอดสินะ

นายใส่แว่นมั้ย

เริ่มจะสายเหลืองแร่ะ

เรื่องฝีเท้าในสนามก็เป็นที่่ยอมรับกัน...

แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับอีกสำหรับลีซอคือ เรื่องการศึกษา

ลีซอถือว่าเป็นนักแตะที่ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก

ในขณะที่อยู่ในวัยเล่าเรียน เขาไปล่าฝันที่อังกฤษ ไม่ได้เรียนเต็มที่

พอกลับมาไทยมีชื่อเสียโด่งดังตั้งแต่เด็ก เป็นหลายคนคงทิ้งการเรียนไปเอาดีทางฟุตบอลอย่างเดียวแล้ว

แต่ลีซอไม่ ถึงจะเลยวัยที่จะเรียนมัธยมเหมือนคนอื่น แต่เขาก็ไม่ทิ้งการเรียน

เรียน กศน. ต่อ มหาลัย ควบคู่ไปกับการเล่นกีฬา

เหมือนกับตอนนี้ที่อยู่ในช่วงปลายอาชีพ นักเตะหลายคนอาจหาอาชีพเสริม หรือไม่ก็เรียนโค้ช

แต่ลีซอเลือกที่จะเรียนต่อ ป.โท เพื่อเป้าหมายจะเป็นผู้บริหาร

นับถือ..

จัดไปครับบบ

ไม่ได้มีอคติอะไรนะ แต่ ลุคมันไม่ให้จริงๆ ดูล่กๆ พูดจาออกไลฟ์ส่วนตัวยังติดหยาบคายอยู่บ่อยๆ ถ้าในนักบอลเจเนอเรชั่นเจนเดียวกัน ผมว่าสุเชาว์บุคลิกภาพได้มากกว่า แต่การไปยืน ณ จุดๆนั้นต้องมีทักษะการบริหารจัดการรอบด้าน ซึ่งถ้ามี ปสก มาก่อนจะมีโอกาสมากกว่า ส่วนซอถ้าสามารถพัฒนาบุคลิกภาพและทักษะการบริหารให้เหมาะสมก็ยังพอมีความเป็นไปได้

นักเตะคนอื่นๆ เปิดร้านขายของแล้ว เพราะวุฒิหาสมัครงานยาก อย่างแถวบ้านผมคนนึง นักเตะ ดี1

เปิดอคาเดมี่ แต่ไม่ดัง สักพักเจ๊ง ไม่มีคนมาเรียน ก็รับจ้างขายของไป ด้วยวุฒิ ม.6

แต่ลีซอ สินทวีชัย ไม่ทิ้งการเรียน อย่างน้อยๆ ก็ ป ตรี

เพราะพวกนี้บางอย่างต้องใช้วุฒิด้วย ในการเข้าไปนั่งเป็นฝ่ายบริหาร

ถ้าไปสายโค้ช ก็แค่ต้องมีไลนเซ็นต์ แต่ไม่สามรถพัฒนาวงการได้ มันแค่พัฒนาทีมตัวเอง

ถ้าสายบริหารมันพัฒนาได้หมดทุกภาคส่วนมากกว่า