ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2, 3
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
27 June 2020 15:28 by เบน ฟรีคิก
เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”



ผมเชื่อว่าทั้งสัปดาห์หรืออาจจะเป็นเดือนที่มีบทความจากผู้คนกล่าวสดุดี “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ล้นตลาดแน่นอนเพราะพวกเราชาว เดอะ ค็อป อดทนอัดอั้นรอมานานถึง 30 ปี

มันนานเกินกว่าที่พวกเราจะเพิกเฉยปล่อยให้ช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ผ่านไปโดยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆ

หลังจบเกมที่ สแตมฟอร์ดบริดจ์ ผมไม่ได้น้ำตาคลอหรืออะไรมากนัก อาจจะเพราะปีนี้นอนมาและถูกตัดสินมาหลายเดือนกับแต้มที่นำห่างจนนับนิ้วมือยังไม่พอด้วยซ้ำ แถมมันง่วงๆเพราะผมเพลียจากการเพิ่งไปเตะบอลที่กลับบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว

ผมขอข้ามในส่วนของความดีใจหรือการรอคอยละกันนะครับเพราะความรู้สึกพวกนี้หลายคนน่าจะนึกภาพออกและทำความเข้าใจได้ไม่ยาก

ที่สำคัญผมคิดว่าในโลกโซเชี่ยลมีคนเขียนได้ดีเยอะมาก ผมเห็นผ่านตาจากการแชร์ของเพื่อนในเฟส ดังนั้นบทความนี้ของผมออกจะน่าเบื่อหรือเหมือนบ่นๆมากกว่า ต้องขออภัยอย่างสูง

ผมไม่แน่ใจแต่ก็ค่อนข้างเชื่อว่าคนที่อายุ 40 ปี+ ณ ตอนนี้เชียร์ “หงส์แดง” เพราะยุค 80-90 เป็นเวลาทองของพลพรรคเครื่องจักรสีแดง

น่าเสียดายครับที่ช่วงนั้นมันไม่ใช่ยุคโซเชี่ยล การเติบโตของฐานแฟนบอลจึงไม่ร้อนระอุเหมือนที่ แมนฯยูไนเต็ด ครองความยิ่งใหญ่ตั้งแต่ประเดิมพรีเมียร์ลีกหนแรก 1993 ยัน 2013 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จนกอบโกยแฟนบอลทั้งชายและหญิงที่เริ่มเชียร์บอลก็ได้เจอความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาแบบประเคนถึงหน้าตัก

เด็กรุ่นใหม่จึงมีแต่ “ผีแดง” ส่วน “หงส์แดง” เริ่มโรยราเป็นได้แค่ไม้ประดับคอยกวนใจ ยูไนเต็ด ในแต่ละซีซั่นเพื่อเป็นตู้ปันสุขให้เหล่า เดอะ ค็อป

สำหรับผมแล้ว...อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนเด็กหมดสิทธิ์ดูบอลถ่ายทอดสดทุกประเภทหากเกิน 3 ทุ่ม ผมเลยได้แต่ดูแต่บอลไทย หรือ รอทัวร์นาเมนท์อย่างฟุตบอลโลก และ บอลยูโร ที่สามารถอ้อนวอนขอพ่อโดยอ้างเหตุผลที่พอฟังขึ้นคือ 4 ปีมีครั้ง

ทำให้ตอนนั้นชีวิตผมรู้จักแต่บอลทีมชาติแถมบ้าคลั่งผู้รักษาประตูเนื่องจากช่วงที่เล่นฟุตบอลแรกๆผมเป็นผู้รักษาประตูจากอิทธิพลของ วากาบายาชิ จากการ์ตูน “ซึบาสะ”

ไอดอลผมจึงมีแต่ชื่อผู้รักษาประตูไม่ว่าจะเป็น โทนี่ ชูมัคเกอร์ (เยอรมัน), ฌอง มารี ฟัฟฟ์ (เบลเยียม), ไรนาร์ด ดาซาเยฟ (โซเวียต), โบโด อิ๊กเนอร์ (เยอรมัน), บรูซ ก๊อปเบลล่า (ซิมบับเว), กัมปนาท อั้งสูงเนิน (ทหารอากาศ), สมปอง นันทประภาศิลป์ (ราชประชา), วิลาศ น้อมเจริญ (ท่าเรือ) ฯลฯ

คือผู้รักษาประตูสมัยก่อนเทห์มากครับและยิ่งทีมชาติเยอรมันส่วนมากประตูจะเป็นกัปตันทีมเลยยิ่งทำให้ใจเราคิดถึงแต่กับการเล่นตำแหน่งนี้

แต่เอาเข้าจริงพออยู่ในสนาม โคตรน่าเบื่อ พวกเพื่อนร่วมทีมก็เล่นกันอะไรไม่รู้ ยิงชาวบ้านไม่ได้ซักที ผมก็เลยต้องออกมาเล่นเป็นกองหน้าแทน พอได้เลี้ยงหลบคู่แข่งแทบจะทั้งทีม, ตีลังกายิง, ไขว้แบบปิยะพงษ์ ผมก็เลิกเป็นประตูไปตลอดชีวิต

ในขณะนั้นนักฟุตบอลผมก็รู้จักแต่ในนามทีมชาติ พวกสังกัดสโมสรนี่จะไม่รู้เรื่องเลย

แล้วสมัยของผมที่มีกลิ่นอายของ “แฟนฉัน” ผมต้องเล่นกระโดดหนังยาง, เล่นตุ๊กตา, ดีดลูกแก้ว กับเพื่อนผู้หญิงในหมู่บ้าน ผมจึงได้อิทธิพลมาเต็มๆ

ผมดัดแปลงการเล่นตุ๊กตากระดาษเป็นการวาดรูปนักฟุตบอลขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ 7 ซม. แล้วตัดมันออกมา เขียนชื่อไว้ด้านหลังให้รู้ว่าใครเป็นใคร มีครบทุกชาติครับ อังกฤษ, เยอรมัน, ไทย, บราซิล, ญี่ปุ่น, อิตาลี แล้วก็เอาไม้ไอติมมาต่อกันเป็นเสาโกล์ปักลงในดินน้ำมัน แล้วก็นั่งเล่นนั่งพากย์ มีจดตารางคะแนน เข้ารอบตกรอบ

มีอยู่วันนึงผมคุยกับเพื่อนซี้ที่ชื่อ ”ตั้ม” ตอนอยู่ชั้นประถม 4 หรือ 5 นี่แหละผมถามมันว่าตอนนี้ใครเก่งที่สุดวะ มันตอบทันทีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมถามต่อแล้วอยู่ชาติไหน มันบอกอังกฤษ

ผมกลับถึงบ้านปุ๊บ รีบไปวาดนักฟุตบอลขึ้นมาใหม่ทันทีหนึ่งคน แล้วเขียนชื่อข้างหลังว่า “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” พร้อมยัดใส่เข้าเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติอังกฤษ

อีกวันพอเจอตั้ม ผมก็ยังถามมันโง่ๆต่อว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใส่เบอร์อะไรวะ มันบอกมึงบ้าหรือเปล่า มันเป็นทีมบอลของอังกฤษ

นั่นเป็นการกรุยทางขั้นต้นของผม...

อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนการดูบอลของผมที่แท้จริงมาเกิดขึ้นเอาในช่วงเย็น ณ ห้องเรียนผมกับไอ้ตั้มชวนกันเล่นฟุตบอล “กระดาษ” ด้วยการดึงจากหน้ากลางของสมุดการบ้านแล้วใช้ดินสอเขียนผู้เล่น 11 ตัว ก่อนปั้นกระดาษเล็กๆเป็นลูกบอลใช้ปากเป่าเพื่อไปยิงประตูอีกฝั่ง

ตั้มมันบอกว่ามันจะใช้ทีม แมนฯยูฯ ว่าแล้วมันก็เขียนๆชื่อนักเตะลงไป แล้วในระหว่างที่มันเขียนอยู่ก็ถามผมว่าแล้วมึงจะเป็นทีมอะไร

ผมคิดแป๊บนึงบอกงั้นขอ “บราซิล” ละกัน!!

ตั้มได้ยินเช่นนั้น มันตะโกนบอก เอ้ย บอลระดับสโมสรจะมาเตะกับทีมชาติได้ไง แพ้ยับดิ่

ผมรู้จักแต่ทีมชาติ จะให้ทำยังไง ตั้มมันก็เลยบอกงั้นมึงเล่นเป็น ลิเวอร์พูล คู่ปรับ แมนฯยูฯ เดี๋ยวกูไล่ชื่อให้ มันก็เขียน จอห์น บาร์นส, เอียน รัช, ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์, อลัน แฮนเซ่น, บรูซ กร๊อบเบลลาร์ ฯลฯ

ตั้มมันรู้จักนักบอลสโมสรเยอะเพราะเชียร์ “ผีแดง” ตามพ่อ ดังนั้นมันจึงมีโอกาสได้ดูบอลบ่อย ตอนนั้นผมก็เริ่มเข้าห้องสมุดเพื่อตามอ่านข่าวและข้อมูลของ ลิเวอร์พูล เพื่อที่จะได้คุยกับตั้มรู้เรื่องกว่านี้

แน่นอนครับ ช่วงนั้นเหลือบดูตารางกี่ครั้ง “หงส์แดง” ไม่ที่ 1 กับที่ 2 แล้วสมัยนั้นเสียประตูน้อยด้วย จะจบฤดูกาลมะรอมมะร่อเพิ่งตัวเลขหลัก 10 กว่าๆ

เรียกว่าผมเสพความเป็น ลิเวอร์พูล ผ่านตัวหนังสืออย่างเดียว ที่เหลือก็เป็นดูตามข่าวกีฬา รายงานผลมีไฮท์ไลท์ยิงประตูสั้นๆ

จนกระทั่งวันนึง ลิเวอร์พูล ในฐานะแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ชิง เอฟเอ คัพ ปี 1988 กับ วิมเบิลดัน โดย“หงส์แดง” ฟอร์มเหนือกว่าไม่ต้องสืบ เป็นต่อด้วยอัตราต่อรองน่าเกลียดมาก

แต่พอมีโอกาสดูปุ๊บก็วินาสสันตะโรแพ้พลิกล็อกแถม จอห์น อัลดริจด์ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงจุดโทษไม่เข้าในรายการ เอฟเอ คัพ (ในเวลาปกติ)

ผมจำได้ว่าพอยิงไม่เข้า “อัลโด้” เสียใจหน้าตาถอดสีเหมือนไม่อยากเล่นต่อแล้วจนไม่นานก็โดนเปลี่ยนตัวออก

เหมือนคำสาปที่พอผมเริ่มได้รู้จักและเริ่มมีใจให้ทีมๆนี้ความบรรลัยก็เริ่มคืบคลานเข้ามาทีละนิด

ในฤดูกาลถัดมาคือ 1988-89 ก็เกิดเหตุการณ์ “ฮิลสเบอร์เรอห์” ที่มีผู้เสียชีวิต 96 คน ผมเป็นสักขีพยานในเกมถ่ายทอดสดวันนั้นและถูกยกเลิกหลังเตะไปได้แค่ 6 นาทีภาพแฟนบอลถูกอัดกับรั้วจนสิ้นลมตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารเป็นอะไรที่หดหู่จนไม่อยากตามดูต่อ

ยังไม่จบครับมันมีความดราม่าปิดท้ายตอกย้ำความฉิบหายเมื่อ “แชมป์เก่า” ลิเวอร์พูล บี้กับ อาร์เซนอล มาตลอด 9 เดือนจนถึงนัดสุดท้ายที่ราวกับถูกเขียนบทไว้เมื่อ “ปืนใหญ่” ต้องมาเยือนที่แอนฟิลด์

ตอนนั้นดูแล้วยังไงก็แชมป์ครับเพราะ ”หงส์แดง” นำ 3 แต้มประตูได้เสียดีกว่า 4 ลูก

เรียกว่าแพ้คาบ้านด้วยผลต่าง 1 ลูกก็ยังแชมป์!!

แต่ก็นั่นละฮะท่านผู้ชม ลิเวอร์พูล ดันแพ้คาบ้าน 2-0 แถมโดน ไมเคิ่ล โธมัส (ที่ แกรม ซูเนสส์ ซื้อมาร่วมทีมในปี 1991) ยิงทดเจ็บ ทำให้ประตูได้เสียเท่ากันแต่ “ปืนใหญ่” ยิงได้ 73 ส่วน หงส์ 65 จึงกลายเป็นเกมในตำนานที่ เดอะ ค็อป ลืมไม่ลง

คู่นี้ผมจำได้ว่าตื่นมาฟังผลช่วงข่าวสั้นทางช่อง 7 ราวๆ 9-10 โมงเช้า พอรู้ผลก็ช็อกทำอะไรไม่ถูก

ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสได้ดูคู่นี้ทาง youtube ทีไรผมเสียดายช่วงทดเจ็บที่ จอห์น บาร์นส ตัดบอลได้แล้วลากไปเกือบๆมุมธงแต่ไม่ยอมเผาเวลา ซึ่งสมัยก่อนเล่นกับแบบลูกผู้ชายมาก ไม่มีสำออย ไม่มีแกล้งเจ็บ “ปีกนิลกาฬ” ก็เลยเลือกเลี้ยงจี้เข้าเขตโทษก่อนถูกตัดได้ ซึ่งตอนนั้นเป็นกฏเก่าสามารถคืนหลังผู้รักษาประตู

จากตรงนั้นเองครับที่เป็นจุดเริ่มต้นเพียงแค่ 3 จังหวะขึ้นเกมครั้งสุดท้ายของทีมเยือนก่อนเป็นประตู 2-0

แอนฟิลด์แตก!!

ปีนั้น ลิเวอร์พูล จึงได้แค่แชมป์เดียวคือ เอฟเอ คัพด้วยการเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-2

และมาถึงซีซั่นสุดท้ายแห่งความยิ่งใหญ่ของ “หงส์แดง” ที่จบลงด้วยการคว้าแชมป์ลีก 1989-90 แต่ในฤดูกาลถัดมาซึ่งเตะมาถึงปลายๆเดือน กุมภาพันธ์ โดย “แชมป์เก่า” นำหน้า อาร์เซนอล อยู่ 3 แต้มก็ทราบข่าวช็อกเมื่อ เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออก

เป็นการลาออกหลังเสมอ 4-4 กับ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เอฟเอ คัพ รอบ 5 ได้เพียงแค่ 2 วัน

คิงเคนนี่ ถูก “เดอะ ค็อป” ส่วนใหญ่ตราหน้าว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้สโมสรตกต่ำ เป็นพวกเอาตัวรอด ทิ้งทีมในยามคับขันเนื่องจากเห็น ลิเวอร์พูล อยู่ในช่วงขาลง นักเตะตัวหลักอายุอานามเฉียด 30 กันครึ่งทีม กลัวรับไม่ได้กับความล้มเหลว

ผมเห็นสื่อไทยเคยด่า ดัลกลิช ว่าควรหากระโปรงมาใส่ด้วยซ้ำ ตอนนั้นเราเองเป็นผู้เสพข่าว ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต จึงเหมือนรับข้อมูลข้างเดียวก็พาลเกลียดตามไปด้วย

ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงมาถูกเปิดเผยในหลายปีต่อมา คือนอกจากเขาต้องแบกรับความเครียดความกดดันกับหน้าที่ผู้นำซึ่งแชมป์และแชมป์เท่านั้นที่สโมสรแห่งนี้ต้องการ เหตุการณ์ฮิลสเบอร์เรอห์เป็นอีกสารเร่งที่ทำให้ คิงเคนนี่ บอกกับตัวเองว่า “enough is enough”

เขาต้องมาคอยปลอบประโลมครอบครัวเหยื่อผู้เสียชีวิตหลายหลังคาเรือน การไปงานศพของแฟนบอลทั้ง 96 คนอย่างต่อเนื่องทำให้เขาเริ่มเครียด จิตใจหดหู่ อารมณ์แปรปรวนถึงขนาดตะคอกใส่ลูกๆเวลาอยู่บ้าน

ความเด็ดขาดในฐานะผู้สั่งการก็ไม่เหมือนเก่า เกมกับ เอฟเวอร์ตัน ตอนนำ 4-3 เขาตั้งใจจะถอย แยน โมลบี้ มาเล่นเป็นสวิปเปอร์เพราะเห็นว่า โทนี่ ค็อตตี้ กำลังป่วนแนวรับหนักขึ้นเรือยๆแต่ รอนนี่ มอแรน มือขวาแย้งว่า “wait and see” จนสุดท้ายถูกตีเสมอ 4-4

ดัลกลิช ยอมรับว่าความเด็ดขาดที่เคยมีมันหายไป จะรับความเห็นจากคนรอบข้างยังไงเขาก็ควรเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง มันไม่ใช่คุณสมบัติของผู้จัดการทีมที่ดีอีกต่อไปแล้ว นี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่รวมกันแล้วจึงทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้ แอนฟิลด์

น้ำตาของ “คิงเคนนี่” ในระหว่างวิดีโอ คอลล์ กับ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่อุทิศแชมป์ลีกสูงสุดให้เขาจึงเหมือนสะกิดอดีต เหมือนเป็นการปลดปล่อยพันธะและชนักที่หลายคนมองว่าเขาคือต้นเหตุ

“หงส์แดง” ในยุค JK จึงเหมือนเป็นผู้ทำให้การเล่าขานเรื่องราวในอดีตเป็นหนัง happy ending ซักเรื่องนึงที่ Mission accomplished โดยตัวเอกของเรื่อง

สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด เองก็พยายามจะนำถ้วยใบนี้กลับสู่ homeland และตั้งใจจะลบล้างอดีตให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ ฮิลสเบอร์เรอห์ ที่ จอน พอล กิลฮูเลย์ ลูกพี่ลูกน้องเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

การสูญเสียญาติพี่น้องเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ “สตีวี่จี” ตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล และอาสาทำภารกิจที่ไม่มีใครทำสำเร็จอีกเลยนับตั้งแต่ปี 1990

แม้ในบั้นปลาย กัปตันพลังไดนาโม อาจทำไม่สำเร็จแต่วันนี้นักเตะ “หงส์แดง” แทบทุกคนได้อุทิศมันให้เขาเพราะเราต้องไม่ลืมว่าในระหว่างที่ความพยายามกระชากถ้วยใบนี้ปีแล้วปีเล่า ตัว เจอร์ราร์ด เองได้แบกทีมนำแชมป์รายการอื่นมาต่ออายุให้ เดอะ ค็อป ได้ฉลองเพื่อรอเวลาที่เหมาะสม

ลิเวอร์พูล ลองผิดลองถูกกับผู้จัดการทีมมาถึง 8 คนก่อนมาลงเอยและ “ชั่ย” กับคนที่ 9

การคว้าแชมป์ลีกที่เตะกันยาวนาน 9 เดือนเต็มต้องมีความสม่ำเสมอเป็นอันดับแรก ซึ่งฟังดูง่ายแต่มันยากมากที่จะกระตุ้นให้ลูกทีมลงสนามด้วยทัศนะคติที่ว่ามันคือ “นัดสุดท้าย”

หลายๆทีมพยายามทำแล้วแต่มันยืนระยะไม่ไหว บางสโมสรต้องกลายร่างเป็นสิงห์บอลถ้วยเพราะฉาบฉวยไขว่คว้าได้เร็วกว่า สร้างแรงจูงใจได้ดีกว่ากับระบบนัดเดียวรู้ผล

“ผู้นำทัพ” เท่านั้นครับที่จะสามารถทำให้ “ขุนพล” ยอมสละชีพในสนามรบได้แบบไม่มีเงื่อนไข

เหตุการณ์ในอดีตมันเติมเต็มอบอุ่นเสมอเมื่อได้นึกย้อนกลับไปและมันจะยิ่งหอมหวานเข้าไปอีกหากความสำเร็จได้เกิดขึ้นแล้วในยุคปัจจุบัน

ถ้าหากในวันนั้น “ตั้ม” เอ่ยปากชวนผมให้มาเชียร์ “แมนฯยูฯ” ด้วยกัน ผมเชื่อว่าผมไปแน่ๆ แต่ในเมื่อหยิบยื่น “ลิเวอร์พูล” มาให้

ผมคงไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจากคำว่า “ขอบคุณมาก”
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Mon Jun 29, 2020 00:26, ทั้งหมด 7 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 Oct 2005
ตอบ: 4777
ที่อยู่: Coruscant
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 15:39
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใส่เบอร์อะไร >>>>. ลั่นเลยครับ
เห็นใจเซอร์เคนนี่ มากๆครับ การรอคอยสิ้นสุดซักที
แก้ไขล่าสุดโดย TheKopHero เมื่อ Sat Jun 27, 2020 15:41, ทั้งหมด 2 ครั้ง
5
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ก.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Feb 2006
ตอบ: 4774
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 15:42
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
เขียนได้ดี

ผมก็ไม่รู้ว่าเชียร์ลิเวอร์พูลตอนไหน จำไม่ได้มันเกิดขึ้นยังไง แต่ดูเหมือนมันจะแฝงอยู่กับผมตั้งแต่เกิด
5
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวซัลโวยุโรป
Status: I'm Not perfect But I'm Limited Edition.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 Dec 2007
ตอบ: 13875
ที่อยู่: Anfield & BayArena
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 16:06
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
ผมชอบอ่านจุดเริ่มต้นการเลือกทีมเชียร์ของแต่ละคนมาก มันมีเรื่องราวที่ไม่เหมือนกัน
อย่างผมเชียร์เพราะได้เห็นรูปสตีฟ แม็คมานามาน บนหน้าหนังสือพิมพ์ จากนั้นก็ได้รู้ว่าคือทีมลิเวอร์พูล
พี่เบนขอบคุณตั้ม ผมคงต้องขอบคุณแม็คก้า
5
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 Jan 2020
ตอบ: 48
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 16:06
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
ผมดูฟุตบอลครั้งแรกก็ ลิเวอร์พูล ช่อง7 คนบรรยายก็บอกเครื่องจักรสีแดง ไอ้เราก็มองไม่ออก เพราะ ทีวีตอนนั้น ขาวดำ 55 เมื่อ 31 ปีที่แล้วววววว ช่อง 7ถ่ายสดบ่อย
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Jun 2020
ตอบ: 145
ที่อยู่: Bangkok, Thailand
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 16:06
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
ผมเริ่มดูบอลเป็นตอน 7 ขวบ แต่ก็ไม่ได้มีทีมเชียร์อะไรเป็นเรื่องเป็นราว

จนกระทั้่งได้อ่านนิตยสารสตาร์ซอคเกอร์รายสัปดาห์ ตอนปลายปี 1990

เนื้อเรื่องหลักเป็นอันเดอร์ส ลิมพาร์ กับชัยชนะที่ไฮบิวรี่เหนือลิเวอร์พูล 3-0 พร้อมเรื่องอื้อฉาวในการพุ่งล้มให้ทีมได้จุดโทษ

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม และเริ่มเอาใจช่วยหงส์แดงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นั่นคือฤดูกาลแรกของผมในการประกาศตัวเป็น The Kop และมันคือฤดูกาลแรกที่เราเริ่มนับหนึ่ง จนถึง 30 ในปีนี้ บางทียังนึกโทษตัวเองว่ากรูเป็นตัวกาลกิณีของทีมรึเปล่า

ผมน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวตอนไบรตันขึ้นนำซิตี้ 1-0 ในนัดสุดท้ายฤดูกาลก่อน แต่ก็แอบมีความหวังได้แค่ 2 นาที

เมื่อต้นปีนี้วางแผนจะไปดูนัดสุดท้ายที่นิวคาสเซิ่ล และไปร่วมขบวนแห่ที่เมืองลิเวอร์พูล เจอค่าโรงแรมคืนละแสนถึงกับผงะ ต้องวางแผนใหม่เป็นเช่ารถไปนอนนอกเมือง และระหว่างที่เตรียมขอวีซ่า โควิดก็มา

หวังว่าเราจะกลับมาบินข้ามประเทศได้ เมื่อถึงเวลาแห่แชมป์ที่รอคอย

See you in Liverpool !!!
แก้ไขล่าสุดโดย MarcoVanBasten เมื่อ Sat Jun 27, 2020 16:10, ทั้งหมด 1 ครั้ง
7
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะเทศบาล
Status: แค่มองเผินๆ ไม่ได้ลงมาสัมผัสเอง แล้วทำเป็นรู้ดี บอ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 1805
ที่อยู่: League Of Legends
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 16:16
เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”
ผมชอบยุคแมคก้ามาก คลาสสิคสุดๆ

แต่ผมแฟนนิวนะเพราะชอบเชียเรอมากกว่า อิอิ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status:
: 1 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Sep 2010
ตอบ: 5384
ที่อยู่: เชียงใหม่....เจ้า...
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 16:17
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
ผมก็โดนคล้ายกัน คือรู้จักลิเวอร์พูลเป็นทีมแรกในชีวิต

ขอสารภาพว่างงใจตัวเองมาก ทีมบ้าอะไร ตั้งแต่เชียร์มาไม่เคยได้แชมป์ลีกเลยซักครั้ง แต่ทำไมตูยังด้านหน้าเชียร์อยู่ได้ เพื่อนที่เชียร์ผีจะข่ม จะบลัฟยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจ เหมือนโดนมนต์สะกด

อดทนมาจนถึงวันนี้.....พอมองย้อนไป ผมกลับรู้สึกว่าวันเวลาที่ผ่านมานี่แหล่ะ ช่วยบ่มให้ชัยชนะในวันนี้หอมหวานยิ่งขึ้น

YNWAครับ
6
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ฟุตฺบอลํ ปรมํ สุขํ
การได้เล่นฟุตบอล...คือความสุขอย่างยิ่ง


ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 15 Mar 2020
ตอบ: 140
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 16:28
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
ขอบคุณสำหรับบทควาทครับ อ่านจนจบครับผม ของผมน่าจะมาจากคุณพ่อที่เป็นแฟนหงส์แดง จนทำให้ซึมซับมาเรื่อยๆจนไม่รู้ว่าเริ่มเป๋นตอนไหนเหมือนกันครับ 555
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลไทยพรีเมียร์ลีก
Status: Always a Red
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 3342
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 17:01
[RE]เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”
สำหรับผมจำจุดเริ่มต้นการเชียร์แมนยูได้ดีเลยว่าเริ่มจากเอริค คันโตน่า สมัยนั้นจะชอบตัดรูปคันโตน่าจากหนังสือพิมพ์ออกมาแปะกาวไว้ที่ฝาผนัง ค่อยๆนั่งจำหน้าจำชื่อนักเตะแมนยูไปเรื่อยๆ บ่อยเข้าๆเราเริ่มรู้สึกอินกับทีมจนมันฝังลึกในความรู้สึกกระทั่งปัจจุบัน
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Mar 2018
ตอบ: 6880
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 17:03
ถูกแบนแล้ว
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
เข้ามาดูคนแก่รำลึกความหลังกัน

2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2016
ตอบ: 2179
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 17:07
[RE]เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”
ยุคก่อนหน้านั้นสัก 5-10 ปี ส่วนใหญ่จะเชียร์หงส์เพราะผลงานดีมากเล่นสนุก เลยเลือกเชียร์แมนยู บรรยากาศตอนนี้ไม่ต่างจาก30 กว่าปีก่อนที่หงส์อยู่เหนือแมนยู ความสำเร็จจากการพัฒนาของทั้งสองทีมยกระดับบอลอังกฤษขึ้นไปเรื่อยๆ ปีนี้หงส์เล่นดีมากกว่าทุกทีม
สมควรเป็นแชมป์จริงๆ ยินดีด้วยครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status: すごい いたい
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Sep 2013
ตอบ: 10189
ที่อยู่: BLINK
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 17:44
[RE]เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”
อ่านเพลินมากครับพี่เบน
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งเจลีก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2017
ตอบ: 16465
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 18:01
[RE: เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”]
https://www.instagram.com/p/CB5h2Eaguo0/

6
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status: หงส์แดงแทงทะลุช่อง
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Sep 2017
ตอบ: 1041
ที่อยู่: Anfield
โพสเมื่อ: Sat Jun 27, 2020 19:05
[RE]เมื่อผมถูกยัดเยียดให้เป็นแฟน “ลิเวอร์พูล”
YNWA
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2, 3
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel