มาร์เชโล่ ลิปปี้ อดีตนายใหญ่ทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ออกมายอมรับว่า ถึงกับตะลึงที่เห็นช็อต ซีเนอดีน ซีดาน โหม่งใส่ มาร์โก มาเตรัชชซี่

ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 ซีดาน สร้างวีรกรรมช็อคโลกด้วยการไปเฮดบัตต์ใส่ มาร์โก้ มาเตรัซซี่ จนโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม

"ผมตะลึงไปเลยกับพฤติกรรมของ ซีดาน" ลิปปี้ กล่าว

"ผมเคยทำงานร่วมกับเขาที่ยูเวนตุส เขาเป็นคนที่สุดยอดมาก เขาทั้งถ่อมตัว และชาญฉลาดอย่างยิ่ง"

ท้ายที่สุดเกมเสมอกัน 1-1 หลังช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่ทีมชาติอิตาลีจะเอาชนะไปได้จากการดวลลูกจุดโทษ

"ผมต้องดูเกมนั้น 20 รอบ และมันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก"

"ผมเลือก กรอสโซ่ ยิงจุดโทษคนสุดท้าย เพราะจำเป็นต้องให้คนที่ยิงดีที่สุดทำหน้าที่นั้น ผมจำได้ว่า กรอสโซ่ ยิงจุดโทษลูกสุดท้ายใส่ ออสเตรเลีย และยิงประตูช่วงทดเวลาบาดเจ็บใส่เยอรมัน"

"ผมบอกเขาว่า นายเป็นคนที่ชอบยิงนาทีสุดท้าย ดังนั้นนายรับหน้าที่ยิงคนที่ 5 เขาแทบไม่อยากเชื่อเรื่องนั้นเลย"

พูดถึงแทคติคในนัดชิง ลิปปี้ก็มาแปลก เล่นแบบเสี่ยง เล่นแบบเดิมพันวัดใจ มากไปหน่อย


แผนต้นเกม มาดี ฟอร์มโหด แต่ก็ใช้แรงเยอะอยู่
แผนเอกที่ทำให้ได้แชมป์ (4-1-3-1-1 หรือยืนแบบง่ายๆ ก็คือ 4-4-2) ยังคงเล่นแบบใช้แรงเยอะ ทั้งๆที่ใช้พลังงานมหาศาล มาจากเกมกับเยอรมัน (เกมนั้น วิ่งเยอะกว่าปกติ + เล่น 120 นาที)

แผนแก้เกม ก็ไม่ได้ผ่อนเกมลงเลย หลังจากที่ใช้แรงไปเยอะ พยายามบุกเหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิม
เปลี่ยนมาใช้ 4-3-3 แบบที่เขาเคยพายูเว่ได้ ucl ในปี 1996 แต่เกมก็ไม่ค่อยต่อเนื่องแล้ว ยิ่งเล่นยิ่งโรย ต่อเกมไม่ติด

ที่สำคัญ 2 ตัวสำคัญ ถูกเปลี่ยนออก ต๊อตติกับแปรอตต้า

ต๊อตติ มาบอลโลก แบบร่างกายไม่เต็ม 100 แต่ยังมีทริคเพลย์ มีการเก็บบอล มีการจ่ายบอลอยู่บ้าง แต่พอเปลี่ยนเดล ลงมา แทบไม่มีซักจังหวะเลยมั้งที่เดล สร้างประโยชน์ในเกมบุกให้ทีม
บอลโลก 2006 ก็เป็นอะไรที่แปลกดีสำหรับอิตาลี เพราะเบอร์ 10 ง่อยมากทั้ง 2 คน แต่เพราะระบบทีม ทำให้ไปถึงแชมป์

อีกตัว แปรอตต้า ตัวนี้ สำคัญกว่าที่คิด
เป็นตัวพลังงานโดยแท้ แต่ว่าการยืนตำแหน่งฉลาดสุดๆ
ใช้งานได้เกือบทุกแบบ ให้วิ่งเข้าช่องก็ทำได้ ให้ยืนประคองก็ทำได้ เพรสซิ่งก็ทำได้ ไล่บอล ประกบตัวก็ทำได้
เป็นตัวสร้างความสมดุลให้ทีม วิ่งเยอะ


ถ้าซีดานไม่โดนไล่ออก อิตาลีอาจจะแพ้ ในช่วงต่อเวลาอีกครั้งก็ได้ แบบที่เจอมาใน ยูโร 2000 และ บอลโลก 2002 เพราะแรงตกไปเยอะมากแล้ว ตัวเก็บบอลก็ทำอะไรไม่ได้

ตะลึงกว่านั้นคือมีคนทำแอพ ซีดานเฮดบัต ออกมาให้ได้เล่นทันที 5555

ช่วงว่าง อยู่บ้าน ท่านจะได้เห็นคนขุดอดีตมาคุยกัน

พูดถึงแทคติคในนัดชิง ลิปปี้ก็มาแปลก เล่นแบบเสี่ยง เล่นแบบเดิมพันวัดใจ มากไปหน่อย


แผนต้นเกม มาดี ฟอร์มโหด แต่ก็ใช้แรงเยอะอยู่
แผนเอกที่ทำให้ได้แชมป์ (4-1-3-1-1 หรือยืนแบบง่ายๆ ก็คือ 4-4-2) ยังคงเล่นแบบใช้แรงเยอะ ทั้งๆที่ใช้พลังงานมหาศาล มาจากเกมกับเยอรมัน (เกมนั้น วิ่งเยอะกว่าปกติ + เล่น 120 นาที)

แผนแก้เกม ก็ไม่ได้ผ่อนเกมลงเลย หลังจากที่ใช้แรงไปเยอะ พยายามบุกเหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิม
เปลี่ยนมาใช้ 4-3-3 แบบที่เขาเคยพายูเว่ได้ ucl ในปี 1996 แต่เกมก็ไม่ค่อยต่อเนื่องแล้ว ยิ่งเล่นยิ่งโรย ต่อเกมไม่ติด

ที่สำคัญ 2 ตัวสำคัญ ถูกเปลี่ยนออก ต๊อตติกับแปรอตต้า

ต๊อตติ มาบอลโลก แบบร่างกายไม่เต็ม 100 แต่ยังมีทริคเพลย์ มีการเก็บบอล มีการจ่ายบอลอยู่บ้าง แต่พอเปลี่ยนเดล ลงมา แทบไม่มีซักจังหวะเลยมั้งที่เดล สร้างประโยชน์ในเกมบุกให้ทีม
บอลโลก 2006 ก็เป็นอะไรที่แปลกดีสำหรับอิตาลี เพราะเบอร์ 10 ง่อยมากทั้ง 2 คน แต่เพราะระบบทีม ทำให้ไปถึงแชมป์

อีกตัว แปรอตต้า ตัวนี้ สำคัญกว่าที่คิด
เป็นตัวพลังงานโดยแท้ แต่ว่าการยืนตำแหน่งฉลาดสุดๆ
ใช้งานได้เกือบทุกแบบ ให้วิ่งเข้าช่องก็ทำได้ ให้ยืนประคองก็ทำได้ เพรสซิ่งก็ทำได้ ไล่บอล ประกบตัวก็ทำได้
เป็นตัวสร้างความสมดุลให้ทีม วิ่งเยอะ


ถ้าซีดานไม่โดนไล่ออก อิตาลีอาจจะแพ้ ในช่วงต่อเวลาอีกครั้งก็ได้ แบบที่เจอมาใน ยูโร 2000 และ บอลโลก 2002 เพราะแรงตกไปเยอะมากแล้ว ตัวเก็บบอลก็ทำอะไรไม่ได้

ฝรั่งเศสกดทั้งเกมส์ คันนา ก็ตามเก็บสุดทุกตัว เหลือสิบคนก็ยังกดใส่เหมือนเดิม แพ้ลูกโทษ โคตรจะเศร้า ซีดานมาพีคตอนบอลโลกพอดี น่าเสียดาย

ทุกวันนี้ โทษแบนก็ยังถูกแขวนไว้ เพราะแกเลิกเล่นหลังแมตนั้นพอดี 5555

WC 2006 ทำให้ผมรักชายที่ชื่อ Fabio Cannavaro แบบยกให้เป็นกองหลังอันดับหนึ่งในใจตลอดกาลมาจนถึงทุกวันนี้

ครึ่งแรกเป็นของอิตาลีนะ

โทษแบนมันใช้หมดไปแล้วครับ คือนับแมตช์ที่ฝรั่งเศสลงเล่นหลังจากวันนั้น ต่อให้ซีดานไม่ถูกเรียกมาเล่น ก็ถือว่าใช้โทษแล้ว

เป็นทัวร์นาเมนต์ที่คันนามีชอตตัดสินใจแบบวัดใจเยอะมาก แล้วเดาถูกเกือบหมดอีกต่างหาก เลยแบบโคตรเด่น
อย่างลูก 2-0 ที่ยิงเยอรมัน จุดเริ่มก็จากคันนาเลย กล้ามากทุกกระบวนการ



กล้าวิ่งหลุดออกจากตำแหน่ง เพื่อมาแย่งโหม่งในตำแหน่งของกองกลาง ถ้าพลาดนี่โอ้โห

เห็นด้วยครับ นอกเหนือจากความสามารถแล้วก็คือความเป็นผู้นำ และความสุขุมเยือกเย็นนี่แหละครับ จังหวะดวลจุดโทษนัดชิงคนอื่นไม่กล้าที่จะมอง แต่คันนายืนกอดอกแบบโคตรหล่อ โคตรเท่

บอลไม่มีคำว่า ถ้า ครับ เหลือตัวเท่ากันก็อาจจะแพ้ในเวลาก็ได้

นี่สินะที่มาของคำว่าหัวแข็ง

อองรี เล่นดีมากปี 06 ร่างพีคเลย

เดี๊ยวคนยิงจุดโทษท้ายเกมส์กับออสเตรเลียคือ ต๊อตติ ไหม

แปลผิดหรือลิปปี้จำผิด เพราะกรอสโซ่คือคนทำทีมได้ลูกจุดโทษ