จากข่าวคุณ สอ. ผมว่าเรามองการทุจริต เป็นเรื่องเล็กน้อยกันมากไปไหม
ช่วงนี้ข่าวคุณ สอ กำลังติดเทรน ผมก็ได้ไล่ๆอ่านข่าวทั้งใน fb ใน ss แล้วก็อ่านคอมเม้นท์มาเรื่อยๆ
คอมเม้นท์ที่เห็นบ่อยๆคือ แกไม่ได้ฆ่าใครตาย, ติดแป้บเดียวเดี๋ยวก็ออก , แกมีคุณงามความดีทำประโยชน์
แนวๆว่าความผิดแกเล็กๆน้อยๆ ทำความดีเยอะ ติดไม่นานหรอก
จริงๆผมทันช่วงคุณสอ ตั้งแต่แกจัดรายการแรกๆ จนมาถึงช่วงพีคเลยหละ
ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าในวางการข่าว แกมีอิทธิพลมากจริงๆ เอาง่ายๆว่า ครั้งหนึ่งแกเคยแบกช่อง 3 อ่ะ เห็นหน้าแกตั้งแต่เช้า เที่ยง ยันเย็น
หรือแกเคยมีอิทธิพล ขนาดมีคำพูดเล่นๆว่า ไม่ว่าเรื่องอะไร อยากให้คดีคืบหน้า ต้องแจ้งสรยุทธ์
หรือแกเคยมีอิทธิพลมากจนสามารถเชิญแขกรับเชิญระดับโลก มานั่งในรายการขอแกได้
อะ ซึ่งผมจะขอแยกเรื่องนั้นไว้ก่อนนะ
ทีนี้กลับมาดูเรื่องที่ผมอยากจะพูด
คือผมว่าเรามองเรื่องการทุจริต หรือการคอรัปชั่น ว่ามันไม่ได้เดือดร้อนใคร มันไม่ได้ไปฆ่าใครตาย
ผมว่าแนวคิดแบบนี้ มันทำให้ความผิดที่เกิดจากคดีแบบนี้มันดูซอฟท์ลงไปทันที
ทั้งๆที่จริงๆแล้วเงินที่เกิดขึ้น หรือได้มาจากขั้นตอนการทุจริต มันอาจจะไปทำลายชีวิตการทำงาน ครอบครัว หรือแม้กระทั่งการดำเนินชีวิตประจำวันของเราได้อย่างคาดไม่ถึง
การทุจริตของคุณ สอ
ผมถึงค่อนข้างแปลกใจว่า เอ้ยย.. ทำไมเราถึงตระหนักถึงโทษของการคอรัปชั่นได้น้อยจัง
แน่นอนว่ามันไม่ได้ดูโหดเหี้ยม ทำร้าย หรือสะเทือนขวัญ เหมือนคดีไอซ์หีบเหล็ก หรือเปรี้ยวหั่นศพ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาจากการคอรัปชั่นมันไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
ถ้าลองมองในภาพความเสียหาย ในแบบภาพใหญ่ การที่คนเราไปยิงใครตาย ผู้เสียหาย หรือคู่กรณีอาจจะ 1-1 , 1-2 แต่การทุจริตแบบนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจจะเป็นหลักสิบหรือหลักร้อย
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นในคดีของคุณสอ ที่ทุจริตไปหลัก 100+ ล้าน
ถ้าเงินจำนวนนี้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง อสมท. อาจจะมีเงินจ้างรายการดีๆ ผู้ประกอบการดีๆ โดยไม่ต้องลอยแพนักข่าว หรือผู้ดำเนินรายการ เนื่องจากการขาดทุนของบริษัทก็ได้
อสมท.ปิดฉากช่อง 14 MCOT Family
Spoil
https://www.thebangkokinsight.com/207990/
“ทีวีดิจิทัล”ระส่ำปลดพันคน รีดน้ำหนัก”อสมท”เปิดเออร์ลี่
Spoil
https://www.prachachat.net/marketing/news-328558
พอนักข่าว รายการ ผู้จัดถูกลอยแพ ผลกระทบมันก็เป็นวงกว้าง เห็นไหมว่ามันเดือดร้อนไปในภาพมุมกว้างแบบนี้
นี่ยังไม่รวมเงินภาษีที่ควรจะเข้าระบบอย่างถูกต้องเสียอีก
อีกเรื่องหนึ่งที่น่ากลัวคือ คือแนวความคิดที่ว่า "ทำดีมาเยอะแล้ว เพิ่งทำไม่ดีนิดเดียวเอง"
หรือที่เราเรียกว่า Moral licensing
Moral Licensing เป็นสภาพทางจิตวิทยาที่เรียกว่า(การรู้สึกว่าตนเองได้รับอนุญาตให้ทำชั่ว)
ปกติคนเราเวลาคดโกงคนอื่น จิตใต้สำนึกจะรู้สึกแย่อยู่แล้วครับ คนจำพวกนี้ มักจะไปทำบุญทำทาน เพื่อสะสมแต้มบุญ ให้ตนเองรู้สึกดีขึ้นมา
พอถึงเวลาที่จะโกง ก็มักจะคิดว่า "ทำดีมาเยอะแล้ว ทำผิดนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไป"
@‘สรยุทธ’อ้างเคยทำความดี แต่กลับทำผิดไม่เกรงกลัวกฎหมาย จึงเป็นเหตุไม่รอลงโทษ
...โดยจำเลยที่ 3 (นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา) ระบุว่า เคยประกอบคุณงามความดีนั้น
ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นสื่อมวลชนอาวุโส แต่กลับกระทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่วงการสื่อมวลชน จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1, 3 และ 4
อันนี้ตัดบางส่วนมาจาก ข่าวอิศรา
สรุปว่าศาลก็ไม่เห็นด้วยครับ ก็ว่ากันไปตามการตัดสิน
ดังนั้นส่วนที่อยากจะคุยกันกับเพื่อนๆใน ss คืออยากให้รู้สึกว่า คดีของคุณ สอ มันไม่ได้เป็นคดีที่ดีกว่า คดีอื่นๆ หรือโทษทัณฑ์อื่นๆซักเท่าไร
ผมชอบคุณ สอ นะ อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกเลย ฝีไม้ลายมือ การเล่าข่าว รวมทั้งการลงพื้นที่ต่างๆอย่างรวดเร็ว การเป็นที่น่าเชื่อถือในการทำงานข่าว
แต่กับคดีที่เกิดขึ้น ผมว่ามันคนละเรื่องไปจริงๆ เอาความดีมามองชดเชยกันไม่ได้เลย
เหมือนคำพูดของแกเองแหละครับ ที่แกพูดบ่อยๆว่า
"ต่างกรรม ต่างวาระครับ"