ผมมองว่าประเด็นซื้อรถ โอนที่ดิน มันมาทีหลังนะครับ

ที่ผมยอม คือยอมเรื่องคอนโดตั้งแต่ทีแรกต่างหาก

ซึ่งถ้ายอมตั้งแต่ตอนนั้น เค้าอาจไม่ได้บังคับเรื่องที่คุณบอกก็ได้

เพราะผมเองก็ไม่ชอบเป็นหนี้อยู่เป็นทุนเดิมแล้ว

ในเมื่อเค้าขอ แล้วผมมีเงินพอเหมือนเจ้าของกระทู้ แบบนี้ทำไมผมจะไม่ยอมปิดหนี้ล่ะครับ

แต่อันนี้เหมือนกับว่าไม่ยอมเคลียร์หนี้ตามที่เค้าขอ เลยมาทะเลาะกัน

ที่ผมว่าเค้าเรียกร้องต่างๆ เค้าเรียกเพื่อกีดกันเฉยๆ ไม่ได้อยากได้จริงๆหรอก

ส่วนเรื่องโอนมรดก ถ้าเค้าบังคับให้ทำแต่แรก โดยไม่ได้ทำหลังจากที่ทะเลาะกันก่อน

อันนี้ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน เพราะมันมากเกินไป  

ผมเคยคบกับผู้หญิงคนนึง จนใกล้จะแต่งงานด้วย
คือผมกับผู้หญิงคนนั้นอ่ะ ทำงานมีเงิน พอกินพอใช้ ได้ค่อนข้างสบาย หนี้บ้านเค้าไม่มี ส่วนของผมมีหนี้เป็นคอนโดของน้องชายผม 1 แห่ง ที่ผมยื่นกู้ไว้ตั้งแต่ก่อนคบกับผู้หญิงคนนี้เพราะตอนนั้นน้องผมไม่มีหลักประกันอะไร เป็นพ่อค้า มีเงินแต่ไม่มีเครดิต แต่น้องชายผมเป็นคนผ่อน ผ่อนมาได้ 5 ปีกว่าๆแล้ว ไม่เคยมีปัญหา จนผมลืมไปแล้วว่าผมมีชื่อเป็นเจ้าของคอนโดนี้ เพราะน้องผมผ่อนตรงเวลาตลอด ผมมานึกขึ้นได้ตอนปีที่แล้วที่มี Apps ของธนาคารแล้วมันสรุปยอดให้ แต่ผมก็ไม่เคยมีปัญหาได้จ่ายเงิน
ก่อนแต่งงาน ผมก็เลยเอามาเคลียร์เรื่องหนี้ เรื่องค่าใช้จ่ายที่ติดค้างอยู่ทั้ง 2 คน
ซึ่งเค้าไม่มีหนี้ และบ้านเค้าเป็นนิสัยแบบ ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมเป็นหนี้
พอทางบ้านเค้ารับรู้ถึงหนี้ก้อนนี้ของผม ทางบ้านเค้าบังคับให้น้องชายผม หาเงินมาโปะหนี้คอนโดก้อนนี้ทันที
ผมไม่ยอม เพราะวงเงินที่จะปิดหนี้คอนโดนี้ เอาจริงๆ ผมเอาเงินเก็บของผมปิดไปเลยก็ได้ น้องชายผมก็เอาเงินไปปิดหนี้ทีเดียวเลยก็ได้ แต่น้องชายผมเป็นพ่อค้า เงินหมุน ที่ต้องมีเงินสดไว้ในตัวประมาณหนึ่ง
คราวนี้ทะเลาะกัน ใหญ่โต
พอทะเลาะกันไปๆมาๆ ทางบ้านผู้หญิงก็เริ่มเรียกร้องเอาหลักประกันจากผม ให้ผมซื้อรถให้โดยเป็นชื่อของผู้หญิง ให้ผมโอนที่ดินที่เป็นมรดกที่แม่ผมยกให้เพื่อให้ไปสร้างบ้านแต่งงานเป็นชื่อของผู้หญิง
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เคลียร์เรื่องนี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วแหละ ว่าเค้าต้องการอะไรจากตัวผม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
จนตอนนี้ จากที่รักผู้หญิงคนนี้มาก ไม่เคยคิดจะเลิก
ตอนนี้เริ่มมีความคิดแล้วว่า ขนาดยังไม่แต่งยังมาวุ่นวายกับน้องชายผมขนาดนี้ ถ้าแต่งแล้วจะขนาดไหน
ผมควรทนต่อไปหรือเลิกเลยดีครับ