เรื่องมีอยู่ว่า

นาย ก ประกาศขาย นาฬิกาเรือนนึง 50000 บาท และ นาย ข ได้มาซื้อไป โดยไม่มีการทำสัญญาใดๆ
ต่อมา นาย ค สนใจจะซื้อและให้เงิน 60000บาท นาย ก เลยไปขอนาฬิกาจาก นาย ข บอกจะยืมใส่วันนึง
แต่ นาย ก ได้เอานาฬิกาไปขายให้นาย ค

แบบนี้ นาย ข สามารถฟ้องร้อง นาย ก ได้หรือไม่ครับ ?

คุณ..(ระบุชื่อด้วยจะได้เรียกถูก).. ตอบเค้าหน่อยครับ
ssเรา มีมายแล้ว มีหมิวแล้ว รอๆๆๆ

ได้แน่นอนครับ เคยดูจากเพจน้าเน็ค เค้ามีทนายมาพูดเรื่องประมานนี้ หากมีการซื้อขายกัน ไม่ว่าจะปากเปล่า หรืออะไร แต่ถ้าตกลงกันแล้วและรู้ว่าของชิ้นไหนที่ทำการซื้อขายกัน ถ้าเบี้ยวนัด สามารถฟ้องร้องได้

หลักฐานการซื้อขาย ของนายก.ข. เกิดขึ้นยัง

จ่ายเงินกันแล้วหรือยัง มีข้อความคุยกันด้วยไหม


ถ้าจ่ายแล้วมีหลักฐานการถ่านโอนกรรมสิทธิ์ พอเอามายอมรับได้ครับว่าเปลี่ยนเจ้าของแล้ว


การที่ ก.ไปขายต่อ ข. เท่ากับว่าเป็นการยักยอกทรัพย์ เป็นคดีอาญา

แต่ถ้ายังไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น สัญญาปากเปล่า แต่มีข้อความสัญญาจะซื้อจะขาย สามารถฟ้องแพ่งได้ ว่าเป็นค่าเสียโอกาส หรือผิดาญญา แต่ต้องคำนวนว่าเสียโอกาสตีเป็นเงินเท่าไหร่ แล้วคุ้มกับการที่ไปฟ้องไหม

เรื่องนาฬิกา คนนี้น่าจะเชี่ยวชาญ คุณประวิ...

คิดว่า น่าจะได้นะ เพราะการซื้อขายระหว่าง ก กับ ข จบลงแล้ว
การที่ ก โกหกว่าขอยืมไปใส่ แล้วไปขายนาย ค แบบนี้ถือเป็นการยักยอกทรัพย์หรือป่าว?

แต่จากที่เล่า เหมือน ก กับ ข รู้จักกัน เป็นเพื่อนกันหรือป่าว?
ถ้าไปแจ้งความ ตำรวจอาจให้ไกล่เกลี่ยก่อนมั้ง

ไม่แน่ใจเท่าไหร่ รอผู้เชี่ยวชาญดีกว่าคับ

ซื้อขายกันแบบไหน ถ้ามีหลักฐานคุยแชทยิ่งดี

ส่วนนาย ก. คงจะโดนยักยอกแน่ๆ

นาฬิกา เป็นสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องทำตามแบบ ซื้อขายสมบูรณ์แล้ว กรรมสิทธิ์เป็นของ ข

ก ยืมแต่เอาไปขาย ยักยอกทรัพย์

แก้ไข ข ป็น ก

กรรมสิทธิ์ในนาฬิกา โอนไปยังนาย ข. แล้ว ตั้งแต่ นาย ก. ประกาศขาย และ ขาย ข. ตกลงซื้อ แม้ยังไม่มีการชำระราคา หรือ ส่งมอบทรัพย์สิน

แค่ตกลงด้วยวาจาก็เกิดสัญญาแล้ว และกรรมสิทธิ์โอนไปทันทีตั้งแต่เกิดสัญญา

ส่วนเรื่องชำระราคา และ ส่งมอบ เป็นหน้าที่ของผู้ซื้อและผู้ขาย หลังจากเกิดสัญญา

สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 20000 บาท ขึ้นไป ต้องทำสัญญาเป็นหนังสือ ถึงฟ้องร้องบังคับคดีได้ แต่สัญญาซื้อขายยังสมบรูณ์อยู่ เมื่อได้ส่งมอบทรัพย์สินแล้ว เมื่อสัญญาซื้อขายสมบรูณ์ นาย ก เป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น แล้ว แล้วนาย ข มายืมไป แล้วขายให้ นาย ค. เป็นยักยอกทรัพย์

ถ้า ค สุจริตเสียค่าตอบแทน อาจเรียกนาฬิกาคืนไม่ได้
แต่ ข อาจฟ้องแพ่งเรียกทรัพย์คืนกับ ก ได้ หรือฟ้องอาญาฐานยักยอก
เพื่อบีบ ก ให้คืนเงินก็ได้

การซื้อขายของเฉพาะสิ่ง (ของที่เลือกแบบ สี รุ่น ชนิด แล้วไม่ต้องตวง ไม่ต้องวัดแล้ว) พวกนี้กรรมสิทธิ์โอนตั้งแต่ตกลงซื้อขายกัน ไม่ต้องจ่ายเงินกรรมสิทธิ์ ก็โอนแล้วค่ะ

พอกรรมสิทธิ์โอนแล้ว ข ให้ ก ยืม เป็นการมอบการครอบครอง ถ้า ก เอาไปเป็นของตนเอง หรือ ไปขายต่อ (เบียดบังไปเป็นของบุคคลอื่น) ก็ฟ้องยักยอกทรัพย์ได้ค่ะ

คดียอมความได้ ต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนะคะ

ข้างบนตอบแบบในอุดมคติ ยังไม่พูดถึงหลักฐานนะ
เพราะถ้าหลักฐานไม่พอจะพิสูจน์ ก็ค่อยมาว่ากันใหม่

ให้ผมมองมันมีสองสัญญานะ
ยืมใช้คงรูประหว่าง ข กับ ก และสัญญาซื้อขาย ระหว่าง ก กับ ข และ ก กับ ค

1. ก กับ ข กรรมสิทธ์โอนกันแล้ว นับแต่ตกลงกัน แต่ หน้าที่ ส่งมอบ เป็นของผู้ขาย ผู้ซื้อ โอนเงิน

2. ถ้าเป็นเรื่องของ คุ่สัญญา เรื่องซื้อขาย ก็ตามความเห็นข้างบนบอก ต้อง มีสัญญาถึงฟ้องได้

3. เมือ กรรมสิทธ์โอนแล้ว แต่ ก ขอยืม ข ใส่ เป็นสัญญายืมใช้คงรุป และมี คุณสมบัติของผู้ยืม เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะตัดสินใจให้ยืมหรือเปล่า


4. ก เอาไปขายให้ ค แต่เรื่องจาก ก มีแค่สิทธิ ครอบครองแทน จากสัญญายืมใช้คงรูป การขายไม่ จึงขายไม่ได้ สิทธิครอบครองที่ ข ให้ ก นั้น เพราะ เป็นเรืองเฉพาะตัวของ ก

ผมแนะนำให้ ข ฟ้อง ก ด้วยเรื่อง สัญญายืม(ใช้คงรูป) เรียกกรรมสิทธิ์คืน น่าจะ 1366 มั้ง ขี้เกียจเปิดประมวล

แล้ว ส่วนสัญญา ซื้อขาย ก กับ ค ให้เรา ฟ้องให้เป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญา

เพราะ ก ไม่มีสิทธ ทำสัญญาขาย ของให้ ค กไม่ได้มีกรรมสิทธ์ เมือ ก ไม่มีกรรมสิทธ์ สัญญาซื้อขายก็เป็น โมฆะ



แนวน่าจะเป็นแบบนี้ครับ คิดว่าได้ของคืน พร้อมเรียกค่าเสียหายได้

อันนี้ในส่วนของแพ่งนะครับ

ในทางอาญา ก็แจ้งความ คดียักยอกทรัพย์ กับ ก ได้

ข ต้องแสดงสิทธิบนของให้ได้
หลักฐานโอนเงิน พยาน chat log รูปถ่าย

เสริมครับ
เป็นผม จะฟ้องข ในสัญญาซื้อขาย แต่ผมจะฟ้อง ข กับ ค เป็น จำเลย ร่วมกัน
แล้วก็นำสืบ สัญญาซื้อขายด้วย พยานหลักฐาน ต่างๆเอา คือเราแค่แสดงว่ากรรมสิทธ์ โอนจริงๆ ก็พอละ แล้วนำสืบให้ได้ว่า ก ขาย ให้ ข จริงๆ รอจน คำพิพากษา ออก

ผมเอาคำพิพากษา ไป ฟ้อง ก อีกที เพราะเราได้หลักฐานเป็นหนังสือ ละ

ท่านนี้ตอบเกือบหมดทุกประเด็นละ แต่ขอเสริมนิดนึง ความเห็นผมมองว่าถ้าจะฟ้อง ก็ต้องฟ้อง ค ด้วย เป็นการฟ้องใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากบุคคลภายนอก ไม่งั้นศาลยกฟ้องเพราะเหตุคำพิพากษาไม่ผูกพันคู่ความแน่นอน ทั้งส่วนตัวเห็นว่าฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายก็ไม่ได้เพราะผู้ขายส่งมอบทรัพย์ให้ผู้ซื้ออันเป็นการปฏิบัติชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว การมาหลอกขอยืมแล้วเบียดบังไปขายนั้นเป็นเรื่องละเมิด

ทางที่ดีที่สุดคือ ฟ้องยักยอก แล้วขอให้คืนทรัพย์หรือใช้ราคาเข้าไปในคดีอาญาด้วย หรือถ้าอยากฟ้องแยก ก็ไปฟ้องคดีอาญากับแพ่งแยกกันเป็น 2 คำฟ้อง โดยในคำฟ้องแพ่งให้ฟ้องนาย ค เข้ามาด้วย บรรยายว่าเป็นผู้รับโอนทรัพย์ที่นาย ข ไม่มีกรรมสิทธิ์ ในวันนัดของคดีแพ่งก็แถลงศาลขอให้จำหน่ายคดีชั่วคราวรอผลคดีอาญาถึงที่สุด พอคดีอาญาถึงที่สุดก็ไปแถลงขอให้ศาลหยิบคดีขึ้นพิจารณาใหม่ แล้วเราก็ยืนคำพยานหลักฐานเป็นคำพิพากษาคดีอาญาเข้าไป